ความคิดเห็นที่ 1 คนดู เท่าที่ดูก็พบว่า หนังจากค่าย Walt Disney ยังคงเป็นหนังที่ดูได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปยังคนแก่เกิน 60 รูปแบบการนำเสนอค่อนข้างที่จะสามารถตีความได้หลายหัวข้อ หนังสอดแทรกประเด็นที่ค่อนข้างหลากหลายไว้เพื่อให้คนดูหลายๆ วัยสามารถได้อะไรกลับไปคิด (แต่ไม่หนักมากแบบ Joker) ซึ่งถ้าดูผ่านไปเรื่อยๆ น่าจะได้หลายๆ อารมณ์นะ แต่ถ้าจะเจาะเป็นประเด็นๆ หรือพยายามดูว่าหนังมันจะสื่ออะไรเป็นเนื้อหาหลักกันแน่? อาจจะมีบางท่านที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกได้ว่าหนังยัดเยียดเล็กๆ เรื่องนี้ คงต้องถามตัวท่านเองว่า รับได้มั้ยที่หนังมันมีหลายประเด็นอยู่ หากท่านเป็นแบบข้ามาคนเดียวขอเสพย์เต็มที่แบบสุดๆ อาจจะไม่สนุกในบางอารมณ์ได้ แต่ถ้าท่านเป็นคนดูแบบปล่อยใจ ปล่อยวางให้หนังมันพาความคิดไป ท่านก็จะเจอกับจุดสะเทือนอารมณ์เพียบ!! สำหรับท่านที่เป็นคู่รัก จูงมือกันไปดู แนะนำว่า ...อย่าลืมเตือนคนข้างๆ ก่อนเรื่องน้ำหูน้ำตาไหล แล้วพาลจะเอาขี้มูกมาป้ายแขน (ไม่มีอะไรหรอก แซวเล่นๆ แค่บอกว่าเผื่อผ้าเช็ดหน้าไปด้วย หรือถ้ามั่นใจ ฉีดน้ำหอมหรือโรลออนใต้วงแขนรอไว้ได้เลย สำหรับท่านผู้ชาย) ...ส่วนท่านที่จะพาบุตรหลานไปดู เด็กเล็ก เจ้าหนูจำไม ก็รบกวนนิดนึง ไปลองหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ก่อน - ขยะ, มลภาวะ, Pollutions หรือเรื่องโลกร้อน - เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ไม่ต้องถึงกับช่ำชอง แต่ อย่างน้อยแนะนำให้ลองไปดูเรื่อง A.I.หรือ I, robot การเข้าใจในเรื่อง AVG (Automatic Vehicle Guidance ซึ่งไม่ยากหรอก แต่ถ้าไม่ไหวก็ข้ามได้นะ), Main board หรือบทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เล็กๆ น้อยๆ ...ทำไมเหรอ? ก็เพราะเรื่องนี้ถ้าจะให้สนุกและสร้างนิสัยให้เด็กๆ เป็นผู้รักการอ่าน ผู้ปกครองสามารถเป็นผู้เริ่มต้นได้จากเรื่องนี้เลย - ความรู้เกี่ยวกับอวกาศเบื้องต้น เหตุผลก็คื่อๆ กันกับตะกี้ ทำไมต้องรบกวนให้ไปลองหาความรู้มา เพราะท่านจะได้เตรียมตอบคำถามเหล่านี้ได้ หลัง.... เน้น! หลัง จากที่ดูเสร็จแล้วนะฮะ (ระหว่างนั้นเตรียมรับมือกับการที่เด็กๆ ยังไม่เข้มแข็งพอกับมารยาททางสังคมเกี่ยวกับการดูหนังกับคนหมู่มาก เข้าใจน่ะฮะ และไม่ต่อต้านต้านด้วยถ้าจะเจอเด็กๆ กว่าครึ่งโรง) คือ... เข้าใจว่าหนังเด็กดูได้ แต่ข้าเจ้าก็กลัวว่าท่านจะไปเจอกับคนดูบางท่านที่อารมณ์มองเด็กเป็นผีเหมือนกัน แล้วบอกไว้เลยฮะ เรื่องนี้ร้ายกาจถึงขั้นเข้าถึงหรือชักจูงอารมณ์เศร้าเด็กเล็กๆ ที่พออ่านออกเขียนได้ (3 ขวบขึ้นไป) รอบที่ข้าเจ้าไปดูมา ร้องกันระงมอย่างกับไปงานศพกันเกือบทั้งโรงเลย.... จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 02:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตัวอย่างหนัง กับ เครื่องฉาย และ หนังสั้น ข้าเจ้าดูโรงธรรมดาฮะ (แต่ขอบ่นหน่อยเหอะ หนังแค่ชั่วโมงเศษๆ ไม่ถึงครึ่งดีแบบนี้ มันจะคิด 140 บาทกันทำไม หรือเพราะนี่คือเมเจอร์ นี่คือหนังใหม่ นี่คือดูในวันหยุด นี่คือ... ฉายด้วยเครื่องฉายที่ต้องใช้น้ำมัน เลยต้องแพงตามภาวะเงินเฟ้อ!!) ไม่ค่อยอะไรมากกับเรื่องนี้ที่จะไปขวนขวายดูโรง Digital (เหตุผลอยู่ในวงเล็บก่อน เริ่มต้น 140 บาท ถ้าโรง Digital ก็แกลบกันไป) ขอบอกว่า ไม่ค่อยต่างกัน เมื่อเทียบกับโรง Digital ที่เคยไปดูมากับเรื่องอื่นๆ (เออ IMAX มันยังมี TDK ฉายอยู่นะฮะ) ... แล้วก็... ตัวอย่างหนัง - โลง ต่อ ตาย - Dead Race - อาข่า ผู้น่ารัก - Zohan (อยากดูม้ากกกกก.....!!) - โฆษณา 45 นาที!!!! แม่เจ้าโว้ย.... ถ้าจะออกไปฉี่แล้ว ก็ยังหลับได้อีกตื่นนึง ท่านทั้งหลายก็ลองใช้วิจารณญาณกันเอาเองว่าจะเลือกพาเด็กไปดูตัวอย่างด้วยมั้ย? นั่งทนโฆษณาด้วยมั้ย? หรือเข้าสายนิดนึงแต่ยังดูทันเพราะตามธรรมเนียม PIXAR จะมีหนัง Animation สั้นๆ จากมือใหม่ที่ทางค่ายภูมิใจนำเสนอ สำหรับเรื่องที่ฉายไม่ขอ spoil ละกัน แต่บอกได้เลยว่าได้อารมณ์การ์ตูนจริงๆ จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 02:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Wall-E จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 02:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มาถึงพระเอกของเรื่อง เป็นหุ่นยนต์ที่ถูก Create บทบาทซื่อๆ กับสำเนียงการเปล่งเสียงแบบโบราณ (ตามเทคโนโลยีประมวลผลเสียงในเนื้อเรื่อง) เจ้าหุ่นตัวนี้ ถ้าดูทั้งเรื่อง มันอาจจะเป็นหุ่นตัวสุดท้ายที่อยู่บนโลก แต่ถ้าดูทั้งเรื่อง (อีกเช่นกัน) มันไม่ยังไม่ใช่ตัวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของรุ่นกำจัดขยะ ...ด้วยความที่ถูกโปรแกรมให้กำจัดขยะ ข้าเจ้าคิดว่าบริษัทที่พัฒนาเค้าคงเก่งมากที่สร้างชิพประมวลผลที่สามารถประมวลอารมณ์ได้ แต่เพราะเป็นเทคโนโลยีเกือบ 700 ปี (ตามเนื้อเรื่อง) มันจึงอยู่ในรูปแบบรูปร่างหุ่นที่เรียบง่าย การทำงานไม่ซับซ้อน ซึ่งในความเป็นจริง บอกได้เลยว่าเด็กไทย (ระดับมหาวิทยาลัย) ก็สามารถสร้างได้ เพียงแต่ได้ฟังค์ชันการทำงานที่เก็บและบีบอัดขยะนะ ไม่ใช่เอาไปกองแบบในหนัง ...เพราะการเอาไปกองแบบในหนัง ข้าเจ้าเองเข้าใจว่า เป็นผลจากการพัฒนาทางอารมณ์ของ Wall-E อ๊ะ... ! จริงๆ มันคล้ายกับมนุษย์สมัยก่อนที่ชอบสร้างอะไรแบบนี้ เพียงแต่ข้าเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าสมัยก่อนเค้าสร้างเพราะไม่มีอะไรทำ เบื่อๆ แบบหุ่นตัวนี้ป่าว ถึงได้ชอบสร้างอะไรสูงๆ แบบปิรามิด หรือเรียงกองแบบนี้ สำหรับ Wall-E ข้าเจ้าคิดว่าเพราะมัน ...เหงา หุ่นพระเอกของเรา เรียนรู้อารมณ์จากไหน? ข้าเจ้าเดาว่าน่าจะเริ่มจากป้ายโฆษณาก่อนนะ ไม่น่าใช่วีดีโอ เพราะมันคงยังไม่รู้จักวีดีโอ ถ้าไม่เกิดการสังเกต หรือระบบฐานข้อมูล ...เออ พูดถึงเรื่องนี้ก็พาลให้สงสัยเล็กๆ ว่าระบบฐานข้อมูลของ Wall-E คงล้ำหน้ามากๆ เพราะมันต้องแยกชิ้นขยะออก ว่าควรเอาอะไรมาบีบอัด (ไม่งั้นมันคงไปเอาพวกรถไฟมาบีบแน่ๆ) และน่าจะไฮเทคพอควร จึงไม่ต้องมีการ Upload จาก ศูนย์ และเก็บข้อมูลไว้ในตัวโดยที่ใช้ Hardware ขนาดเล็กมากๆ กินไฟน้อยๆ ...ทีนี้ก็พาลให้จินตนาการไปถึงการพัฒนาการของชิพประมวลผลที่ทำให้มันแสดงท่าทางเลียนแบบมนุษย์ จนถึงขั้นเข้าใจความรู้สึกและแสดงออกอย่างมนุษย์ ได้แก่ - มือสั่นเมื่อใกล้เธอ ...เออ ถ้าเป็นคนก็จะรู้สึกไปถึงใจสั่นเลย ดูแล้วไม่น่าจะมี Sensor ความรู้สึกเกี่ยวกับการสัมผัสขั้นสูง แต่เป็นการเลียนแบบมนุษย์ที่เข้าท่ามาก เรื่องมือสั่นกับการถูกบีบแรงๆ จนแสดงออกให้เรารู้ได้ว่า ...โอยย...อย่าบีบแรง เจ็บ! - ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ ...และอารมณ์ ดวงตากลมโตของ Wall-E ถูกกดทับด้วยเส้นเรียบด้านบนที่ลากโค้งลงด้านข้าง เราจะพบได้ในตาแบบคนเชื้อสายยิว หรือแขกฝรั่ง ซึ่งจะมีนัยน์ตาโศก เช่น โคลิน ฟาเรล (แต่ตูไม่โศกไปกับเอ็งหรอก Bad boy เกิน), แบรท พิตต์ เป็นต้น ฉะนั้น การออกแบบนัยน์ตาของ Wall-E เป็นการจงใจเพื่อให้ตัวละครนี้ สามารถละลายพฤติกรรมคนดูให้คล้อยตามกิจวัตรประจำวันของมันได้ ...ยกเว้นนัยน์ตาใส่คัพ B-33 ล้อเลียนตัวมนุษย์ต่างดาวที่แข่งรถกับอานาคินในวัยเด็ก อันนั้นมันเน้นฮา... - การสื่อทางเสียง... ที่จริงเป็น mode หนึ่งที่ซับซ้อนมากๆ เพราะถ้าไม่ผ่านการประมวลผลแบบใช้ความรู้สึก และอารมณ์ ไม่มีทางที่จะมาเน้นเสียงได้ว่ากำลังหลงใหล อาวรณ์ ค้นหา คิดถึง ...Wall-E ไปถึงขั้นส่งเสียงถอนหายใจ ซึ่งน่าจะเป็นขั้นสุดยอดของการประมวลผลของชิพตัวนี้ เพราะเราก็รู้ๆ กันว่า มันต้องมาจากอารมณ์ที่ซับซ้อนมากๆ (ความคิด แล้วไปสู่อารมณ์) - อารมณ์รัก ...อันนี้เป็นเรื่องที่... เราตีความกันเองว่า Wall-E กับคู่ของเค้ามีอารมณ์นี้ โดยผ่านท่าทางที่ต้องดูทั้งเนื้อเรื่อง... ความรักมันต้องทีการตอบสนองทั้งคู่ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นแค่ความหลงใหลฝ่ายเดียว จนนำไปสู่ความรู้สึกด้านมืดได้... เอ๊ะ! ผิดเรื่อง... การเรียนรู้สถานะแบบนี้ หนังเจตนาให้เราพบว่ามันอยู่ในหุ่นที่มีความบกพร่อง เป็นการสื่ออย่างมีนัยเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่แสดงผ่านมุมมองแนวคิดแบบ Perfectionist คือ... ถ้าเราเจอในคนทั่วๆ ไป การรัก ร้องไห้ คิดถึง อาวรณ์ จนมีอาการแปลกๆ เรามองเป็นเรื่องธรรมดา ...แต่ถ้าเราไปเจอ หรือไปอยู่กับบุคคลหรือกลุ่มสังคมชั้นสูง หรือระบบระเบียบ เราจะพบว่าบุคคลนั้นอาจจะมีความผิดปกติได้ เช่น เรารับได้กับการแสดงความไม่พอใจ เมื่อรับรู้ว่ามีการนินทาว่าร้าย เรามองเป็นเรื่องปกติ แต่จะมองว่าคนๆ นั้นไม่ปกติ ถ้าเราไปพบว่าคนนั้นเป็นนายกฯ ผู้นำ หรือกลุ่มคนภาวะที่กำลังอยู่ในงานสังคม เป็นต้น (ไม่เขวไปการเมืองนะ ยกตัวอย่างเฉยๆ)  สำหรับคน เราอาจจะเรียกว่า ความมั่นคงทางอารมณ์ แต่กับหุ่นยนต์ เค้ามองว่ามันมีความบกพร่อง จนต้องเข้าศูนย์ซ่อม สำหรับท่านที่ดูเรื่องนี้ คิดว่าหลายๆ ท่านส่วนใหญ่น่าจะเลือกที่จะวางตรรกะทางวิทยาศาสตร์ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง หรือปล่อยใจไปเลย น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการเข้าไปดูหนังเรื่องนี้นะฮะ มันจะต่างจากการดู Batman เรื่องนั้นเราอาจจะรู้สึกว่าได้อะไรมาเยอะ ถ้าเริ่มต้นปล่อยใจเหมือนกัน ไม่ใช่ตั้งธงไปก่อนว่าต้องเป็นหนังอารมณ์นั้น อารมณ์นี้ ...Wall-E เป็นหุ่นที่ PIXAR จงใจให้เป็นตัวแทนอารมณ์ชุดหนึ่ง แต่อาจจะอยู่นอกเหนือความเป็นจริงไปบ้างเพื่อความเป็นการ์ตูน และอย่างน้อย ด้วยความจงใจให้ไม่ยึดติดกับตรรกะทางวิศวกรรมมากนัก จึงลงเอยได้อย่างในตอนจบ (แหม ...ดูหนัง Walt Disney มาเกือบ 30 ปี ไม่เคยเห็นมันจบไม่ Happy เลยซักครั้ง) แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 18:22:21 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 03:01:09 จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 5 EVE จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยัยหนูนี่ ...น่ารักน่าชังมาก โดยเฉพาะท่านที่อาจจะคุ้นเคยกับฟังค์ชันค่าย Apple จะพบว่ามีความคล้ายคลึงหรือพยายามส่อออกมา แต่ข้าเจ้าไม่ขอพูดถึงประเด็นนั้นมากนัก EVE เป็นหุ่นที่น่าจะเรียกได้ว่า เด็กรุ่นโคตรเหลน เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษแบบ Wall-E มันชวนให้นึกถึงการหลงรักอารมณ์คนแก่ซื่อๆ เอ๊ะ..! หรือซื่อๆ แบบคนแก่... ช่างเถอะ ...EVE เป็นหุ่นรุ่นในอุดมคติของนักคิดทั้งหลาย ...ในเนื้อเรื่องเราจะพบว่าหุ่นตัวนี้ เน้นหลุดโลกไปเลย คอลอยได้... แหล่งพลังงานไม่จำกัด แถมยิงปืนพลาสม่าได้ด้วย ...ไม่รู้ว่าจงใจป่าว แต่ข้าเจ้าแอบเห็นการกัดเล็กๆ ที่เรื่องนี้ส่งไปยัง Transformer ด้วย คือฉากที่ Wall-E แย่งแขน EVE คืนจากหุ่นยนต์ตรวจสอบ แล้วพลาดทำปืนลั่น มีการทำภาพและเสียงแบบช้าๆ ซึ่งพบได้ในฉากยักษ์ชนยักษ์บนทางด่วนของเรื่อง Transformer สื่อถึงความร้ายกาจที่แฝงอยู่ในหุ่นไฮเทค ...ข้าเจ้าน่าจะคิดมากน่ะ เค้าแค่ต้องการให้ซีนนั้นมันดูบู๊ๆ นิดนึงเท่านั้นเอง สำหรับหุ่นตัวนี้ เราจะสังเกตได้ถึงการซ่อนอารมณ์แบบเดียวกับผู้หญิงวัยแรกรุ่น จากฉากที่เมื่อยานสำรวจโลกปล่อยหุ่นสำรวจตัวนี้ แล้วจากไป ทันใดนั้น... EVE ก็ปลดปล่อยทันที คงอาจจะแสดงถึงความอัดอั้นมานาน เออ ...มันพาลให้นึกถึง Character อะไรรู้มั้ย? ลูกสาวเจ้าสำนักที่ถูกส่งออกมาปฏิบัติภารกิจแล้วพบกับความอิสระครั้งแรก ทำไม... - แววตากับท่าทางที่ EVE แสดง อาการหัวเราะแบบเก็บอาการกุลสตรี กับแววตาที่แสดงออกถึงการยิ้ม ข้าเจ้านึกถึงอาหมวยน่ะ (ยิ่งเป็นหุ่นขาวๆ มนๆ แบบนี้ ไปกันใหญ่เลย อิอิ) เราพบกิริยาท่าทางแบบนี้ได้กับผู้หญิงในหนังจีน หรือหนังญี่ปุ่น คือ มันแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงที่มาจากชนชั้นสูง อยู่ในกฎระเบียบ ด้วยความบริสุทธิ์ของบทบาท ข้าเจ้าไม่ได้นึกไปถึงผู้หญิงในวัฒนธรรมฝรั่งเลย EVE ไม่น่าจะเอากิริยาท่าทางมาจาก โรส เดวิด บูเคเตอร์ หรือหลุดมาจาก Pride & Prejudice - ความอาลัยอาวร ความเสียใจในตอนท้ายเรื่อง มัน... เรียกน้ำตาได้เกือบทั้งโรงนะ แสดงแววตากับท่าทางที่เรียกได้ว่าเรียนรู้อารมณ์จาก Wall-E มาได้ถึงขั้นประมวลอารมณ์แบบมนุษย์สำเร็จในเวลาอันสั้น ฉากที่เรียกอารมณ์ร่วมมันมีที่มามาจากซีนก่อนหน้านี้ที่เป็นการดูวีดีโอจากกล้องวงจรปิดจากหน่วยความจำของ EVE คือ มันจะดีกว่านี้ถ้าซีนนี้ไม่รวบรัดจนเกินไป และได้ดนตรีที่คั้นอารมณ์กว่านี้ - การที่เน้นย้ำถึงภารกิจ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง กลับทำให้ EVE หลงภารกิจกลายเป็นทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง จนเกือบลืมความถูกต้องไปเลย ถ้าไม่ได้การเตือนสติของ Wall-E จะว่าไป EVE ท่าเป็นคนก็น่าจะเป็นสาวแรกรุ่นไม่เกิน 18-19 นะ มีวิทยายุทธ์แก่กล้า อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงแบบวัยรุ่นผสมกับอารมณ์นิ่งๆ เยือกเย็นแบบเซียวเหล่งนึ่ง ขี้อายในบางครั้ง แต่ก็เด็ดเดี่ยว วิชาตัวเบาเป็นเลิศ แถมรักแร้ขาวจั๊วซะด้วย อิอิ หนังให้ EVE แสดงถึงการสัมผัสลึกซึ้งแบบหญิงๆ ที่ให้เราไปตีความกันเองว่าอาจจะเป็นจูบ หรือน้ำตา หรืออะไรที่แสดงว่ารักที่สุด อย่าจากเค้าไปเลยนะ... ในฉากอวกาศกับฉากสุดท้าย จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เพื่อนหุ่นเพี้ยนๆ จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:08:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทำไมข้าเจ้าต้องเรียกว่าเพี้ยนๆ ...เพราะเนื้อเรื่องแยกหุ่นตัวอื่นๆ ที่ถูกควบคุมตาม Guidance เป็นหุ่นปกติ แต่กับหุ่นที่ไม่ทำตาม (หรือทำผิดพลาด) คำสั่งหรือเคลื่อนไหวพื้นฐานตามโปรแกรมจะต้องถูกนำไปกักเพื่อซ่อมบำรุง มันก็เป็นแนวคิดออกไปทางสมบูรณ์นิยม ซึ่งจะมองว่าเค้าเหล่านั้นเพี้ยน แต่เราในฐานะคนดูกลับค้นพบในตอนท้ายเรื่องว่า ...หุ่นเหล่านั้นเค้าพัฒนาไปสู้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น ตกลงสิ่งไหนคือความสมบูรณ์แบบกันแน่ คนหรือหุ่นยนต์...? - หุ่นยนต์ทำความสะอาด นาย Mo เป็นอะไรที่... ข้าเจ้าพบว่าเค้าอาจจะมีการแสดงออกคล้ายมีจุดบกพร่องแบบผู้ป่วยอาการย้ำคิดย้ำทำ ทำแต่สิ่งที่เดิมๆ ซ้ำๆ โดยไม่คิดถึงตรรกะอื่นๆ ซึ่งแสดงออกด้วยการฝืนกระโดดตัวเองออกจากเส้น Guide line เราอาจจะเรียกคนแบบนั้นว่าเพี้ยน ผิดปกติ หรือนอกคอก ...แต่พอดูดีๆ ไปเรื่อยๆ เค้ากลับคนพบจิตใจตัวเองและกลายเป็นขั้นพัฒนาอารมณ์ จากการที่ยึดติดกับหน้าที่ทำความสะอาด ...เหมือนจะสื่อนะว่า บางทีการทำหน้าที่หน้าที่หนึ่ง หากลองทำอะไรที่นอกกรอบดูบ้าง เราก็อาจจะค้นพบเรื่องราว เส้นทาง หรือแม้กระทั่งโลกใบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่กลับไปมาระหว่างเส้นที่ชี้ไปยังจุดทำความสะอาดกับที่เก็บตัวหุ่นยนต์ เป็นผลกระทบจากการติดตามเรื่องราว หรือรอยเท้าของ Wall-E - พวกหุ่นในห้องบำบัด ...ข้าเจ้าขอเรียกว่าห้องบำบัดเพราะหุ่นเหล่านี้สุดท้ายเค้าเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกจนแสดงออกถึงความเป็นคนได้โดยไม่ต้องเกิดจากการซ่อมอีกต่อไป เค้าเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากการความบกพร่อง เอ๊ะ! อารมณ์เหมือนดูเรื่องหลังคาแดงเลย ใครกันแน่ที่เพี้ยน? คนที่วันๆ ต้องทำตามกรอบ เดินตามความคิดคนอื่น หรือชีวิตไม่ได้ลิขิตเอง จนวันนึงเราสูญเสียจิตวิญาณไป กับคนที่เรามองว่าเพี้ยนๆ คิดนอกคอก ทำตัวแตกต่าง ทั้งๆ ที่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน เรากลับพบว่าเค้าไม่ได้เพี้ยน เค้ากลับเป็นคนที่เรียกได้ว่า พิเศษ เค้าเป็นเพื่อนแท้ได้ ไปไหนเฮด้วย หุ่น secure มาขวางก็มีหุ่นนักมวยมาช่วย ...การช่วยๆ กันส่งต้นไม้เป็นทอดๆ ของหุ่นเหล่านี้ซึ่งร่วมมือกับคน กลายเป็นว่าเค้าคือส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว ไม่ใช่พวกเพี้ยน ...นี่อาจจะเป็นสิ่งที่หนังพยายามจะสอน Topic หนึ่งให้คนดู เนื้อเรื่องค่อนข้างฉลาดมากที่จะเอาลักษณะทางเทคโนโลยีมาแสดงเชื่อมโยงความเป็นสัญลักษณ์ได้ เรื่องนี้เป็นสไตล์พูดน้อยต่อยหนัก ไม่ค่อยเหมือน Panda ที่หนักไปทางคารมคมคาย การ์ตูนทั้ง 2 เรื่องแสดงถึงศาสตร์การใช้ศิลปะเพื่อสื่อเรื่องราวชนิดที่เน้นกึ๋นโดยเฉพาะ ข้าเจ้าเองไม่ได้เรียนมาทางนิเทศศาสตร์ หรือศิลปศาสตร์ ก็คงต้องพึ่งท่านอื่นแชร์ความเห็นในเชิงการเทคนิคการนำเสนอที่ถูกต้องตามหลักเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ข้าเจ้าซะแล้ว จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มนุษย์ในยานอพยพ อะฮะ... เป็นการประชดแบบเจ็บๆ ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ไม่ลงเอยแบบ ET ...เพราะแทนที่จะตัวลีบหัวโต ไม่มีหู ปากเล็ก เพราะไม่เน้นใช้กำลังแต่ใช้ความคิด จนถึงขั้นสื่อสารทางโทรจิต ...กลับกระแทกกระทั้นด้วยการเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะ มวลกระดูกน้อยเพราะถูกเนื้อและไขมัน (ไม่ใช่กล้าม) เบียดเนื้อที่ไป เป็น Case study ที่ท่านผู้ปกครองสามารถสอนบุตรหลานของท่านในเรื่องการตั้งสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์กับวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เด็กๆ เลิกนั่งหน้าจอ Monitor หันมาออกกำลังกาย เพื่อค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่เราเองไม่ใช่ศึกษาเอาจากฐานข้อมูลตรงหน้า แสบดีนะ... - มันอะไรจะขี้เกียจปานนั้น แม้กระทั้งจะหันหน้าคุยกันมันยังไม่ทำกันเลย แล้วจะเรียนรู้อารมณ์กันได้ยังไง หนังชี้ให้เราเห็นว่าคนในยานชักจะเหมือนก้อนไขมันวิ่งได้ไปเรื่อยๆ เพราะแม้แต่เด็กๆ ก็อาจจะเกิดจากการเอาน้ำเชื้อกับไข่ไปทำหลอดแก้วแล้วไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ (หนังไม่ได้บอกตรงๆ หรอก ข้าเจ้าจินตนาการไปเองตามลักษณะในหนัง) จนถ้าไม่ได้ Wall-E มาช่วย จอห์นคงไม่เจอหญิงในฝัน (เออ... ยุคนั้น เพราะไม่เคยดูจากตัวจริง เลยเกิดอารมณ์กับหญิงอ้วนแบบนั้นได้ ย้อนทฤษฎีแรงดึงดูดทางเพศของพวกเลี้ยงลูกด้วยนมได้แสบดี) - หนังเลือกจะให้เรายังมีความหวังกับมนุษยชาติผ่านตัวกัปตันยาน แม้จะผ่านมา 700 ปี แต่พฤติกรรมบางอย่างยังคงถ่ายถอดมาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เช่น คนเราเดิมเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ทรงตัวบนกระดูกสันหลังในแนวตั้งมาก่อน ยังงั้ย...ยังไง ก็ต้องยืนได้น่ะ, ต่อให้หุ่นมันฉลาดยังไง แต่คนเป็นผู้สร้างมัน ต่อให้ไม่ใช่คนสร้างแต่ถ้ายังคงเป็นมนุษย์ระดับ IQ แบบกัปตัน ก็ยังค้นพบวิธีเอาชนะหุ่นได้ภายในเวลาที่รวดเร็ว อันเนื่องจากสมองคนสามารถคิดตรรกะที่ไม่ต่อเนื่องได้ (ออกแรงงัดกันอยู่ดีๆ แต่คนเท่านั้นที่สามารถคิดนอกกรอบเอาชนะได้ด้วยการปิดสวิทช์ Auto-Pilot) - ประโยคเด็ด... I don’t want to survive, I want to LIVE ! เป็นสิ่งเดียวที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ จะเห็นได้ว่า คำว่า Survive ยังไงก็มีความไม่ครอบคลุม หนักแน่น หรือยิ่งใหญ่ไปกว่า Live ได้เลย - ตาลุงท่านประธาน BNL เออ... เรื่องล่าสุดที่ข้าเจ้าดูเค้าเล่นมันเรื่อง Epic Movie นะ คือ... ยังติดภาพวิตถารของลุงแกจากเรื่องนั้นอยู่ เลยไม่รู้ว่าไอ้ที่มายืนบน Podium ข้างหลังมีรูปอาคารสไตล์โรมัน (พูดอ้อมๆ น่ะ คิดว่าทุกท่านคงรู้ว่าเค้าหมายถึงอะไร) บนพื้นน้ำเงิน หนังจงใจด่ากระทบป่าว ถ้าใช้ ...เออ เห็นด้วย จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เนื้อเรื่อง เนื่องจากหนังเรื่องนี้เข้าเมืองเราช้ามาก (เพื่อหนีหนังช่วงนั้นหรือไงไม่รู้ ทั้งเด็กนรก 2 หรือ Joker แต่ยังอุตส่าเลือก “ว้อ” แทนเรื่องนี้ได้) หลายๆ ท่านในที่นี้อาจจะได้อ่าน spoil หรือดูความคิดเห็นจากผู้ที่ไปดูมาแล้วจากเว็บอื่นๆ ...คือ หลังจากที่ข้าเจ้าไปดูมาแล้ว ก็พบว่าเรื่องนี้มี Topic หลายประเด็นที่พยายามเอามาใส่ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าเค้าเชื่อมโยงยังไม่เนียนเท่าไหร่ มันไม่เหมือนประเด็นการกลายจากผู้คลั่งไคล้มาเป็นตัวร้ายในเรื่อง The Incredible แต่ก็น่าจะชดเชยได้ด้วยธีมหลักของเรื่อง... - เรื่องความรัก ...ธีมหลักที่ข้าเจ้าคิดว่าน่าจะเห็นพ้องกับท่านอื่นๆ ที่ดูมาแล้ว หนังน่าจะเน้นแสดงถึงพัฒนาการความรักของคู่รักคู่หนึ่งที่จริตเดียงสาแบบหุ่นยนต์ ...คือ เป็นแบบเฉพาะที่ไม่เจอในสัตว์ ในคน แต่เจอกันครึ่งทาง เป็นการเรียนรู้ซึ่งอารมณ์รักที่ต้องมีการตอบสนองจากทั้ง 2 ฝ่าย มีจุดเริ่มต้นพื้นๆ แบบเหตุเกิดจากความเหงา ความรักที่เกิดจากความชอบในความซื่อ สดใสของกันและกัน - เรื่องขยะ ...หนังให้เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเยี่ยงนั้นมีสาเหตุมาจากขยะ ต่อให้สิ่งนั้นมีค่าแค่ไหน ยังไง มันก็มีค่าแค่ขยะ ...เพชร รถยนต์ ยกทรง ของเล่น หรือแม้กระทั่งดาวเทียม (ขอร้อง สปุคนิค อุตส่ายังอยู่ในวงโคจรดาวเทียมไม่ไปไหนซะงั้น แสดงถึงความเป็นขยะอวกาศชิ้นแรกของโลกเลย) จริงๆ มันเป็นตัวแทนของการทำหรือสร้างอะไรไม่รู้จักคิดให้รอบคอบ เราเองกลับสร้างสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จนเกินไป เกินชนิดที่เอามาเรียงเป็นปิรามิดยังได้ แม้แต่ตึกเองก็เป็นขยะ ...ตกลงที่เราคิดๆ สร้างสรรค์ มันเป็นสิ่งก่อประโยชน์ต่อมนุษย์แล้วหรือยัง ไม่งั้น มันจะกลายเป็นขยะนะ ...นั่นเท่ากับว่า ขยะ ย่อมมาจากความคิดสร้าง ที่ยังไม่รอบคอบ ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ หรือความคิดใช้ให้เกิดประโยชน์ที่ยังไม่เพียงพอ ขยะ ย่อมเลยไปถึงความคิดด้วย... - เรื่องความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี เรากำลังพึ่งพามันเพื่อการอำนวยความสะดวกสบายจนเกินไปหรือปล่าว? เทคโนโลยีในเรื่องนี้เป็นมุมมองในแง่ร้าย ทั้งเรื่องเทคโนโลยีคิดเองตามตรรกะเดียวกับ I, robot (ก็เจ้าพวงมาลัย Auto-Pilot นั่นไง), เทคโนโลยีที่ดูแลเรา จนเราเสมือนกลายเป็นเด็กทารกไป - จิตวิญาณในหุ่น ...อ๊ะ... ไม่ใช่ผี แต่ข้าเจ้าไม่รู้จะเรียกว่าไงดี การพัฒนาทางการประมวลผลทางอารมณ์เหรอ? นั่นมันยังไม่พอน่ะ เพราะถ้าจะถึงกับเรียกน้ำตาคนดูได้ มันต้องมีการนึกถึงความหลังด้วย ความรู้สึกตื้นตัน ความไม่อยากสูญเสีย ทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักกลับมา หุ่นตัวนั้นน่าจะต้องไปถึงระดับเดียวกับ Sunny อาจจะยังไม่ถึงกับฝัน แต่ถ้ามีการทำอะไรโดยไม่นึกถึงหลักตรรกะ แต่ปล่อยตามอารมณ์ นั่นแสดงว่าต้องมีอะไรที่มากกว่าการประมวลผลที่ชาญฉลาดแล้ว ...หนังมา Peak สุดๆ เอาก็ฉากนี้แหละ ฉากที่ EVE เหมือนจะสิ้นหวังจนถึงวินาทีมีกระแสบางอย่างวิ่งไปยัง Wall-E ทั้งๆ ตัว Wall-E เองถูกเปลี่ยน Main Board ไปแล้ว ไม่น่าจะมีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับทั้งคู่อยู่อีก แต่กลับรับรู้และถูกกระตุ้นได้จากความคิดถึงหรือความรักสุดซึ้งผ่านการ Spark ไฟฟ้าเล็ก ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรดี ...จูบคืนชีพแบบเจ้าหญิงนิทรามั้ง? - สิ่งมีชีวิต และความหวัง เป็น Topic พื้นๆ ที่หนัง Happy Ending มักเลือกมาใช้ ...ตัวขโมยซีนเล็กตัวนึง นอกจาก Mo แล้ว ก็คือแมลงสาบ จะบ่งบอกถึงความอึดของสัตว์ดึกดำบรรพ์ตัวนี้ได้เป็นอย่างดี ต้อง Disney เท่านั้นที่จะสามารถทำให้สัตว์น่าขนพองสยองเกล้าตัวนี้ (ไม่เชื่อก็ลองให้มันมาไต่ตามตัวเราดิ ถ้าคิดว่ามันไม่น่าเกลียดเท่าไหร่) ออกมาน่ารักได้ ตั้งแต่ Enchanted แล้ว มาเรื่องนี้คงไม่มีน้องๆ หนูๆ คนไหนกลับไปบ้านแล้วไปจับมันลูบๆ คลำๆ เล่นนะฮะ เดี๋ยวสารพัดเชื้อโรคจะเล่นงานเอา... อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นแกนกลางเรื่อง (แกนที่ 2) คือ ต้นไม้ ที่อุตส่าเก็บมาพร้อมทั้งดิน แล้วใส่ในรองเท้า กะจะบ่งบอกเลยว่าไอ้ต้นนี้ได้ชีพจรลงเท้าทั้งเรื่อง กว่าจะได้ปลุกก็ปาเข้าไปตอนจบแล้ว - ดนตรีประกอบเรื่องนี้ คัดมาแต่เพลงโรแมนติกยุคเก่าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจากหนังเพลง หรือแม้แต่ Jazz แบบปู่หลุยส์ แต่ยังแอบตลกกับฉากลุกขึ้นยืนของกัปตัน ...โอว...! ความหวังคนทั้งยานเลยนะนั่นน่ะ จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โดยส่วนตัวมองว่าหนังเรื่องนี้มันก็ไม่ได้พิเศษโดดเด่นเกินเรื่องก่อนๆ ของ PIXAR มากนัก แต่ธีมที่เป็นประเด็นสากลอย่างเรื่องรักระหว่างชนชั้น (อิอิ ก็ Wall-E กับ EVE มัน Class เดียวกันมั้ยล่ะ) ยังไงมันก็ขายได้ ตราตรึง และติดใจอยู่วันยันค่ำ เพียงแต่กระแสดูซ้ำคิดว่าอาจจะไม่หนักหน่วงมากนัก ...หนังสั้นไปนิด น่าจะยาวและมุขเด็ดๆ กว่านี้อีกหน่อย ไม่งั้นคิดว่ายังไม่ถึงกับกินเรื่อง The Incredible หรือ Finding Nemo ได้ โดยเฉพาะเรื่องหลัง เค้าไม่มีประเด็นมากมายเท่า Wall-E คนดูเลยน่าจะมีสมาธิหรือติดตามเนื้อเรื่องได้ฝังใจกว่านิดนึง ...ยังไงซะ นี่ก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว ท่านอื่นคิดเห็นยังไงก็แชร์กันได้นะฮะ... จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 03:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สำหรับประเด็นที่จขกท. นำเสนอนั้นสปอยล์ดี มีเนื้อหาเป็นวิชาการ (ถึงแม้เน้นเรื่องจิตวิทยาเด็ก/ศึกษาศาสตร์ประถมวัยมากไป) ดีครับเป็นชุดความคิดที่น่าสนใจ เพราะถึงยังไงทฤษฎีทางด้านการสื่อสารมวลชน หรือนิเทศศาสตร์ก็ไม่มีทฤษฎีที่เป็นของตัวเอง กล่าวคือเป็นสหวิทยาการ ลองเปิดตำราทางด้านภาษาศาสตร์ดูนะครับ เช่น การใช้สัญวิทยา (Semiology) ในการวิเคราะห์จะพบว่า การมองประเด็นหนึ่ง...สอง...สาม...สี่ ที่คุณจขกท. มองนั้น สามารถมองได้ต่างกันไป จากคุณ : กรุบกริบ (groupgrip) - [ 13 ส.ค. 51 06:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ชอบครับ วิจารณ์ได้สนุกมากๆ มีประเด็นทางจิตวิทยาให้อ่านดีมากๆเลยครับ ผมชอบธีมเรื่องความรักระหว่างชนชั้นของ Wall-e กับ Eve ที่ใส่เข้ามา เปรียบเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดเลยครับ อีกอย่างที่ชอบก็คือการเเสดงที่เหมือนละครใบ้ เพราะหุ่นทั้งสองตัว พูดไม่ได้ ได้เเค่เรียกชื่อกัน เเละเสียงบางอย่าง ใช้ท่าทาง น้ำเสียง สายตาสื่ออารมณ์ให้คนดูเข้าใจ.... จากคุณ : bigwores - [ 13 ส.ค. 51 07:19:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ชอบ Wall - E ที่ซู๊ดดดดดดดดดด จากคุณ : untalai - [ 13 ส.ค. 51 08:02:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า เรื่องนี้ทำออกมาได้ดีกว่า Nemo หรือ The Incredible อีกนะ PIXAR ทำให้ผมหลงรักในตัวละคร (wall-e และ eve) ทำให้ผมอยากไปดูอีกรอบเลย พวกเด็กๆที่ได้ดูไม่รู้ว่าชอบกันรึเปล่า แต่ท่าทางจะดูกันไม่รู้เรื่อง คงต้องให้พ่อแม่ แนะนำกันล่ะ จากคุณ : I love wall-e (ปลาวาฬพ่นน้ำ) - [ 13 ส.ค. 51 08:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบมั่กๆ ครับ เทียบเท่ากับหนังของ Pixar ทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา (แต่ผมจำได้ว่าตอนดู The Incredibles กับ Finding Nemo ผมได้หัวเราะและมีความสุขมากกว่านี้) แต่รู้สึกทึ่งมั่กๆ กับภาพน่ะคับ Dreamworks หรือค่ายอื่นๆ สู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง จากคุณ : Nobody loves me. - [ 13 ส.ค. 51 08:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จขกท.จะบอกว่า วอล อี เป็นโคแก่ กินหญ้าอ่อน อีฟ เหรอ อิอิ จากคุณ : Detected - [ 13 ส.ค. 51 09:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบนะ ดูแล้วแอบอมยิ้ม มีความสุข จากคุณ : หนีแม่มาอาร์ซีเอ - [ 13 ส.ค. 51 10:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สปอยล์เละเทะมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับบทสปอยล์ดีๆ ... แต่ต้องขอชมลุงจ๊อบส์แกหน่อย ทำ product placement ได้เยี่ยมจริงๆ (มี 3-4 จุด ..ถ้าไม่ได้เอ๊ะใจก็ไม่มีใครรู้) จากคุณ : silence.screamer - [ 13 ส.ค. 51 10:39:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หลงรักหนังเรื่องนี้อีกคน จากคุณ : กระชายลอยน้ำ - [ 13 ส.ค. 51 10:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คิดว่าเอา Wall E เทียบกับ Animation เรื่องอื่นอาจไม่แฟร์เท่าไหร่ เพราะเป็น Action ส่วนWall E เป็น drama จ๋า เศร้า ซึ้ง และมีแง่คิดมากมาย ชอบที่มีการจิกกัดวิถีชีวิตของคน เอาเด็กๆไปดูแหละดีแล้ว จะได้เห็นภัยของการนั่งตุ๊ หน้าจอคอมกับทีวี เป็นข้อเตือนใจว่าวันนี้คุณใช้ร่างกายหมดทุกส่วนหรือยัง วันนี้คุณดูแลโลกเพื่อลูกหลานในอนาคตหรือยัง ได้คิดอีกว่าเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ฉลาดขึ้น มีแต่จะตกเป็นทาสไปเรื่อยๆ คนในอนาคตอาจจะไม่ได้ฉลาดกว่าเรา และเราก็อาจจะไม่ได้ฉลาดกว่าบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสทำอะไร ก็ต้องทำให้เต็มที่ จากคุณ : แฟนน้องแบ๊ว - [ 13 ส.ค. 51 11:50:41 A:58.8.6.80 X: TicketID:110228 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คห. 20 เสียงตอนวอลอีชาร์จแบทเต็มเนี่ย มัน Mac ชัดๆ และอื่นๆอีก เนียนจริงๆ จากคุณ : Ferocious little creature - [ 13 ส.ค. 51 12:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รีวิวได้ดีมากค่ะ ปล. _K_F_C_ ค่ะ ซื้อพัฟกุ้งอันนึงค่ะ จากคุณ : แมวร้องแง้วๆ - [ 13 ส.ค. 51 13:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ชอบมากๆกับหนังเรื่องนี้ค่ะ โดยเฉพาะเครดิตหนังจบที่มีเรื่องราวให้ได้ดูต่อ มีแง่คิดมากมาย เป็นหนังที่สามารถเปิดให้ลูกดูได้หลายร้อยรอบ แล้วก็ได้ตอบคำตอบให้ลูกได้เยอะดีค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ อ่านแล้วก็ได้อีกหลายๆมุมมองมาพูดคุยกับลูกได้อีก แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 51 13:17:11 จากคุณ : ^-^A_KwAnG^-^ - [ 13 ส.ค. 51 13:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มีล้อ titanic ด้วยอะ ตอนที่เรือเอียง ตลกดี จากคุณ : kupikupi - [ 13 ส.ค. 51 13:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อยากไปดูอีกรอบจริงๆ ผมว่าดิจิตอล ภาพสวย คมชัดทุกอณู นะครับ แบบธรรมดา บางครั้งชอบมีเส้นๆ ขึ้นมา เสียเงิน 20 บาทเพิ่ม ผมว่าคุ้มค่ากว่าครับ แต่เห็นด้วยเรื่องราคา โรงธรรมดาผมว่า 100-120 กำลังดีเลยครับ บางที่นี่ก็แยกราคาที่นั่ง แยกวันธรรมดา วันหยุดเสาร์อาทิตย์ จากคุณ : Lodlem - [ 13 ส.ค. 51 15:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รีวิวอ่านสนุกดี ต้องรอไปดูก่อนกว่าจะมาอ่านได้ ชอบเรื่องนี้จริงๆเลย จากคุณ : ปีกแห่งรัก - [ 13 ส.ค. 51 16:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณ #12 ฮะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะอยู่ในศาสตร์ไหน แต่แค่คุ้นๆ เหมือนเคยไปฟังบรรยายการใช้สัญลักษณ์ในภาพยนต์เนี่ยแหละ ... #24 กินกุ้งเยอะๆ ระวังอ้วนนะฮะ อิอิ เรื่องฉาก End credit แนะนำให้ลองสังเกตภาพวาดที่เปลี่ยนไปตามวิวัฒนาการตามยุคสมัยด้วยนะฮะ ตั้งแต่แบบก่อร่างสร้างตึกแบบจิตรกรรมอียิปท์ ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงแบบ Impressionist จนมาจบที่รองเท้าในดินแบบ Contemporary ก็ให้ความรู้สึกแบบเพลินๆ ดีฮะ จากคุณ : _K_F_C_ - [ 13 ส.ค. 51 18:32:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ไหนๆก็สปอยล์ละ ขอถาม จาก คห.20 หน่อยคะ " แต่ต้องขอชมลุงจ๊อบส์แกหน่อย ทำ product placement ได้เยี่ยมจริงๆ (มี 3-4 จุด ..ถ้าไม่ได้เอ๊ะใจก็ไม่มีใครรู้) จากคุณ : silence.screamer " มันมีตรงไหนบ้างอ่า จำไม่ได้   จำได้เเต่ว่า มีเสียงเหมือนเปิดเครื่องเเมค เเบบที่คุณ Ferocious little creature (คห.23) บอกไว้อ่ะ (แล้วทำไมถึงเป็นเสียงของเจ้าวอลอีล่ะ เเทนที่จะเป็นเสียงของอีฟ จะเหมาะกว่ามั้ง) จากคุณ : This road is mine - [ 14 ส.ค. 51 00:17:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 1. เสียงชาร์จเต็มของ Wall-E เป็นเสียงเปิดเครื่องแมคครับ 2. ตอน Wall-E ดูทีวี ก็ต่อเข้ากับ iPod Video 3. Eve มีเค้าโครงคล้ายคลึงกับ iPod 4. เสียงของ Autopilot มาจากโปรแกรม Speech ในเครื่อง Mac ครับ ไม่รุ้มีอีกหรือป่าวนะ .. แต่ผมเห็นแค่นี้อะ จากคุณ : silence.screamer - [ 14 ส.ค. 51 15:24:43 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ้อๆๆ ลืมไป ... 5. Eve มาจาก Apple ครับ (คุ้นๆมั้ย? Adam&Eve ที่กินผล Apple เข้าไปไง) จากคุณ : silence.screamer - [ 14 ส.ค. 51 15:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ชอบฉากที่เห็น wall-e รุ่นใหม่อะคะ ดูแล้วเจ็บปวดดี ทำให้เห็นว่ามนุษย์ในเรื่องเห็นเครื่องจักรกลไม่ต่างไปจาก ขยะอื่นๆที่สร้างขึ้นมา ใช้ แล้วพอเค้าตกรุ่น ก้เอาเค้าไปทิ้ง ได้ง่ายๆ อีกอย่างอีฟน่ารักมากๆ จากคุณ : ลูกตาLiam - [ 16 ส.ค. 51 01:01:50 ]