ความคิดเห็นที่ 11
(ต่อนะคะ)
สัญลักษณ์แห่งความปวดร้าว เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงจากกรุงโซล ผมก็มาถึงพื้นที่เป้าหมายของการท่องเที่ยวของผมในวันนี้ หลังจากที่ผ่านการตรวจเช็คพาสปอร์ตที่ด่านของเขตควบคุมพลเรือน (CCZ) รถที่ผมโดยสารมาได้ผ่านค่ายทหารน้อยใหญ่ จนมาถึงจุดแรกที่ผมจะแวะชมนั่นคือ อิมจินกัก (Imjingak) อิมจินกักนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1972 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกครอบครัวชาวเกาหลีที่ถูกแบ่งแยกจากสงคราม รวมทั้งเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่เศร้าสร้อยของชาวเกาหลีเหนือที่อพยพมาสู่เกาหลีใต้ด้วย ณ สถานที่นี้เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น ระฆังแห่งสันติภาพ (The bell of peace) แท่นบูชาแห่งโหยหา (Memorial altar) สระน้ำแห่งการรวมชาติ (Unification pond) หรือ สะพานแห่งอิสรภาพ (Bridge of freedom) สถานที่ตั้งอิมจินกักแห่งนี้อยู่ในเขตควบคุมพลเรือน (CCZ) แต่ก็ติดกับรั้วลวดหนามของเขตปลอดทหาร (DMZ) แม้สถาปัตยกรรมต่างๆจะไม่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่ความหมายของอนุสรณ์ รั้วลวดหนาม ป้ายผ้าและข้อความต่างๆที่ถูกนำมาผูกและแขวนบริเวณรั้ว เป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่าการที่พี่น้องต้องถูกแบ่งแยกและต้องเป็นศัตรูกัน มันช่างปวดร้าวเพียงใด ผมเดินชมด้วยความรู้สึกหดหู่และจากสถานที่แห่งนี้ไปด้วยความรู้สึกเฉกเช่นชาวเกาหลีคนอื่นๆ แม้ผมจะไม่ใช่คนเกาหลี แต่เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มีโอกาสมาเยือนสถานที่นี้ ย่อมสามารถรับรู้ได้ว่าความเจ็บปวดจากการถูกแบ่งแยกโดยที่ไม่มีสิทธิ์เลือกนั้น มันเจ็บบาดลึกจริงๆ
The 3rd Infiltration Tunnel ผมนั่งรถต่อไปอีกไม่นาน สถานที่ต่อไปที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชม คือ อุโมงค์หมายเลขสาม ไฮไลท์ของการเดินทางในวันนี้ ก่อนที่ผมจะได้เข้าชมอุโมงค์ซึ่งต้องนั่งรถรางที่เหมือนเป็นลิฟต์ลาดเอียงความยาวกว่า 300 เมตรเพื่อดำลึกลงไปใต้พื้นดิน 73 เมตรนั้น ผมได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์รวมทั้งห้องฉายวิดีทัศน์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงครามเกาหลี ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นเป็นเครื่องเตือนใจเป็นอย่างดีว่าไม่มีใครเป็นผู้ชนะท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านเมืองจริงๆ หลังจากนั้นก็มานั่งรถรางเพื่อเข้าไปชมอุโมงค์อันเป็นจุดมุ่งหมายของการเดินทางของผมในวันนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อปี 1978 หลังจากที่ทางการของเกาหลีใต้ได้ค้นพบอุโมงค์ลับของเกาหลีเหนือที่พยายามขุดลอดเขตปลอดทหาร (DMZ) ที่กั้นระหว่างพรมแดนทั้งสองประเทศด้วยความบังเอิญมาเมื่อปี 1974 และ 1975 ตามลำดับ ด้วยข้อมูลที่ได้จากวิศวกรแปรพักต์ชาวเกาหลีเหนือทำให้เกาหลีใต้ค้นพบอุโมงค์แห่งที่สามนี้ในที่สุด อุโมงค์แห่งนี้กว้าง 1.9 เมตร สูง 2.1 เมตร ยาว 1635 เมตร ผ่านเส้นเขตปลอดทหารด้านใต้มาถึง 435 เมตร ห่างจากมุนซาน กองรักษาด่านที่สำคัญที่เป็นกุญแจสู่กรุงโซลเพียง 2 กิโลเมตร, 4 กิโลเมตรจากหมู่บ้านปันมุนจอมและห่างจากกรุงโซลเพียง 44 กิโลเมตร ด้วยขนาดของอุโมงค์นี้ที่สามารถลำเลียงทหารเต็มอัตรากองพลหรือกว่า 30000 นายพร้อมด้วยยุทโธปกรณ์เต็มอัตราในชั่วเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง และด้วยความที่สถานที่ตั้งของอุโมงค์อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ชาวเกาหลีใต้จึงเชื่อมั่นว่าเกาหลีเหนือมีความประสงค์ที่จะใช้อุโมงค์แห่งนี้ในการโจมตีสายฟ้าแลบต่อตนเองอีกครั้ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้อุโมงค์แห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในบรรดาสี่อุโมงค์ที่ถูกค้นพบในปัจจุบัน และแม้ว่าจนถึงทุกวันนี้อุโมงค์ที่เกาหลีเหนือขุดลอดมาฝั่งเกาหลีใต้ที่ถูกค้นพบแล้วจะมีถึงสี่อุโมงค์แล้ว แต่ชาวเกาหลีใต้ก็ยังคงเชื่อว่ามันยังต้องมีอีกมากมายที่ยังไม่พบ ความระแวงระหว่างพี่น้องสองฝ่ายนี้ยากยิ่งที่จะลบเลือนไปได้
เหลือเชื่อ!!! รถรางเคลื่อนลงไปใต้พื้นพิภพอย่างเชื่องช้า บางช่วงหัวของนักท่องเที่ยวหลายๆคนถึงกับชนกับอุโมงค์ที่เป็นคอนกรีตคับแคบอย่างไม่ตั้งใจ ภายในอุโมงค์เริ่มเย็นขึ้นๆทุกขณะที่รถเคลื่อนลงสู่เบื้องล่าง ไม่น่าเชื่อ คือความรู้สึกแรกของผมเมื่อรถรางได้ลงมาถึงส่วนที่เป็นอุโมงค์ที่เกาหลีเหนือได้ขุดไว้ แม้โดยขนาดของมันอาจจะไม่ได้ใหญ่โตเหมือนอย่างที่ผมได้จินตนาการไว้ แต่ความที่พื้นที่บริเวณนั้นเป็นภูเขาหินแกรนิต นอกจากนี้น้ำใต้ดินที่ไหลซึมออกมาตามซอกหินอย่างไม่ขาดสาย อากาศที่อับชื้นอุดอู้ สิ่งเหล่านี้การขุดเจาะย่อมทำได้อย่างยากเย็น มิต้องพูดถึงการต้องควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเสียง มิให้เกาหลีใต้สามารถผิดสังเกต ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ยากจะทำใจเชื่อว่ามีพื้นที่เช่นนี้อยู่บนโลกใบน้อยใบนี้และด้วยปัจจัยภายนอกต่างๆที่มากมายนี่เอง ทำให้เกาหลีใต้สามารถค้นพบอุโมงค์นี้ได้จากการขุดบ่อน้ำเพื่อเช็คตำแหน่งอุโมงค์ในที่สุด ลักษณะโดยทั่วไปอื่นๆ ของอุโมงค์ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยความอับชื้นและเจิ่งนองไปด้วยน้ำใต้ดินแล้ว หินแกรนิตที่ถูกเจาะจนเป็นโพรงอุโมงค์บางส่วนก็กะเทาะหลุดร่อนหล่นเกลื่อนกราดตามพื้น เมื่อมองแล้วก็ดูแข็งแกร่งไม่แตกต่างจากหินทั่วไป แต่เมื่อลองสัมผัสดูกลับเปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อ และแม้บางช่วงของอุโมงค์จะต้องเอาไม้ค้ำยันไว้เพื่อความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอุโมงค์นี้ไม่ปลอดภัยแต่อย่างใด นอกจากนี้หนทางภายในก็ถูกจัดตั้งระบบไฟไว้เป็นอย่างดีเพื่อการท่องเที่ยว ผมเดินมาจนสุดอุโมงค์ที่ถูกคอนกรีตหนากั้นไว้ แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่งของคอนกรีตย่อมเป็นเกาหลีเหนือ ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าอีกฟากหนึ่งของอุโมงค์นั้น จะมีชาวเกาหลีเหนือหรือชาวจีนมายืนชมอุโมงค์เหมือนอย่างที่ผมและนักท่องเที่ยวหลายๆคนกำลังทำอยู่หรือเปล่า หรือว่าจะมีแต่ทหารคอยรักษาการณ์เพราะความล้าหลังทางเทคโนโลยี แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมขึ้นจากอุโมงค์ด้วยความรู้สึกตื่นกลัวว่าสงครามมันช่างใกล้ตัวผมเข้าไปทุกที แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็พลันหายอย่างรวดเร็ว เมื่อผมได้เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ถัดไปไม่ถึงร้อยเมตรจากอุโมงค์ ณ ที่แห่งนี้หรือหากจะกล่าวให้ถูกว่าตั้งแต่ผ่านเข้ามาอยู่ในเขตควบคุมพลเรือนอันเต็มไปด้วยทหารและยุทโธปกรณ์มากมายซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ที่น่าหวั่นเกรง ไม่สุนทรีย์ต่อการท่องเที่ยว ความรู้สึกของผมกลับย้อนถามว่า ที่นี่คือที่ไหนกันแน่หรือ ดงสงครามหรือสวนสนุก??? ภาพทหารถือปืนยืนรักษาการณ์เดินลาดตระเวนกับนักท่องเที่ยวถือกล้องถ่ายรูปเดินช็อปปิ้ง มันช่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงจริง!?!
แค่ด้ายบางๆ ช่วงสุดท้ายของการเดินทางในวันนี้ ผมมีโอกาสได้ไปยืนส่องดูเกาหลีเหนือจากหอสังเกตการณ์โดรา (Dora observatory) ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาโดราซาน (Dorasan) ณ ที่นี้ผมได้รับฟังการบรรยายเกี่ยวกับสถานที่สำคัญรอบเขตปลอดทหารซึ่งสามารถมองเห็นได้จากหอสังเกตการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านปันมุนจอม หมู่บ้านที่ถูกใช้ลงนามสัญญาสงบศึกเมื่อกว่า 50 ปีก่อน หมู่บ้านแดเซียง-ดอง หมู่บ้านเดียวของเกาหลีใต้ที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดทหารและหมู่บ้านคีจองดองหรือหมู่บ้านโฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือที่มีแต่ฉากหน้าเป็นอาคารสวยงามและเสาธงและธงชาติที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลกแต่กลับไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่เลย ซึ่งหมู่บ้านนี้ก็เป็นเพียงหมู่บ้านเดียวของเกาหลีเหนือที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดทหารด้วย ฯลฯ บนยอดเขาแห่งนี้ผมยังสามารถมองเห็นคลื่นของรั้วลวดดัดและลวดหนามที่ยาวเหยียดไปไกลสุดลกหูลูกตา รวมทั้งช่องว่างบางๆตรงกลางรั้วลวดหนามที่เรารู้จักกันในนามเขตปลอดทหาร (DMZ) จนถึงทุกวันนี้แม้ว่าสงครามจะจบสิ้นลงไปกว่า 50 ปีแล้ว แต่ในทางเทคนิคทั้งสองประเทศยังอยู่ในภาวะสงครามกันอยู่ อาจกล่าวได้ว่าเขตปลอดทหาร (DMZ) ที่กว้างเพียง 4 กิโลเมตรยาวตลอดแนวพรหมแดนของทั้งสองประเทศที่ยาวมากกว่า 238 กิโลเมตรแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของความตึงเครียดที่ยังคงมีอยู่ระหว่างพี่น้องคู่นี้ และเมื่อฟังจากขนาดของเขตปลอดทหารที่กั้นทั้งสองฝ่ายออกจากกันที่กินพื่นที่กว่า 1000 ตารางกิโลเมตรแล้ว อาจจะดูเหมือนว่ามันใหญ่โตอย่างคาดไม่ถึง หากเมื่อได้มีโอกาสพิศดูอย่างใกล้ชิดแล้ว ความรู้สึกของผมกลับเห็นมันเป็นเพียงแค่เส้นด้ายบางๆที่คั้นอยู่ระหว่างพญาช้างสารสองเชือก เมื่อสงครามเกิดขึ้น เขตปลอดทหารที่กว้างเพียง 4 กิโลเมตร รั้วลวดดัดที่สนิมเกาะกรัง รั้วลวดหนามที่บางเบา เครื่องกีดขวางสนามเพลาะที่ดูตื้นเขินเมื่อเทียบกับขนาดกองทัพขนาดใหญ่ที่มีกำลังพลกว่าล้านคนของทั้งสองเกาหลีและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ยุทโธปกรณ์หนักเบาอีกมหาศาลที่ประจำการอยู่หลังเขตปลอดทหาร อุปสรรคเล็กน้อยเหล่านี้คงเปรียบได้แค่เพียงเสี้ยนหนามที่ทำให้เพียงแค่สะกิดผิวภายนอกของพญาช้างสารที่กำลังตกมันเท่านั้น ไม่ไกลจากหอสังเกตการณ์นัก คือสถานที่สุดท้ายที่ผมได้ไปเยี่ยมชม นั่นคือ สถานีรถไฟโดราซาน (Dorasan train station) สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีรถไฟที่ถูกสร้างจรดเขตรั้วของเขตปลอดทหาร (DMZ) โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ได้สร้างขึ้นเพื่อหวังว่าจะสามารถใช้เชื่อมต่อกับเกาหลีเหนือได้ทันทีที่การรวมชาติเป็นผลสำเร็จ สิ่งนี้แสดงถึงเจตจำนงอันแน่วแน่ในการรวมชาติของเกาหลีใต้ ผมได้แต่ภาวนาให้สถานีรถไฟแห่งนี้ได้เปิดใช้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่อาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัยของสถานีจะหมดอายุการใช้งานไปเสียก่อน
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
Damajene
- [
13 ส.ค. 51 23:51:39
]
|
|
|