CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "Wall-E" ... สู่ความ.....อ้างว้าง.....อันไกลโพ้น

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (76 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (6 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (0 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 82 คน

     92.68%
     7.32%
     0.00%
     0.00%


    "สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น......"

    ข้อความนี้ คงจะเป็นที่จำขึ้นใจกันได้ดีเลยเชียว สำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ 'Pixar' ...เพราะนี่ถือเป็นวรรคทองเด็ดๆ ที่เกิดขึ้นมาจากหนังอนิเมชั่น 3D เรื่อง(ยาว)แรกสุดของสตูดิโอแห่งนี้ อีกทั้งของโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ ..และก็ด้วยความสดใหม่ที่หมั่นสร้างสรรค์อยู่ตลอดนับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ทำให้ภายในระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านพ้น เรายังคงได้ยินชื่อของ พิกซาร์ คลอดผลงานใหม่ๆออกมาได้เรื่อยๆ โดยที่แทบไม่มีเรื่องไหนที่เรียกว่า แป้ก ได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยสักครั้ง (ผิดต่างกับค่ายใหม่ๆที่คลอดตามหลัง ..ก็ยังปะปนไปด้วยงานที่สำเร็จ อีกบ้างกลับเบ็ดเสร็จไปด้วยความงั้นๆ ปะปนตามออกมาเรื่อย)

    แต่ที่ขึ้นต้นข้อความนี้มา ไม่ได้แค่พูดลอยๆ ถึงความสำเร็จในวันนี้ที่พิกซาร์ไปสู่การเป็นจ้าวแห่งจักรวาลอนิเมชั่นอันไกลโพ้นแต่อย่างใด (ใครจะว่าผมเว่อร์.. ก็เอาเหอะ) ...หากมันก็คล้ายจะมีนัยบางอย่างที่สอดคล้องกับหนังเรื่่องใหม่ล่าสุดของสตูดิโอแห่งนี้

    หากว่า "Wall-E" เรื่องนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการสานต่อความฝันที่เคยติดอยู่กับโลกเดิมๆ ของทีมผู้สร้าง ซึ่งมันคือการสร้างสรรค์ที่คิดออกนอกกรอบ เพื่อเดินทางไปสู่สถานที่อันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มากกว่าที่ใคร(หมายถึง หนังอนิเมชั่น 3D เรื่องใดๆ)จะเคยไปได้ถึง

    ดีไม่ดี ประเด็นการพูดคุยที่ผุดความคิดหนังเรื่องนี้ หลังจากเพิ่งทำ "Toy Story" (ภาคแรก) เสร็จหมาดๆ ..ก็อาจเป็นที่ "แอนดรูว์ สแตนตัน" ต้องการจะขึ้นไปสำรวจจักรวาลนอกโลก เป็นตัวแทนของ 'บัซ ไลท์เยียร์' ซึ่งถึงจะพยายามสักแค่ไหน ก็ยังทำได้แค่ฝัน เพราะมันเป็นเพียงของเล่นเล็กๆตัวหนึ่งที่คิดเกินตัว ไม่ได้เท่านั้น

    และด้วยวันเวลาที่ผ่านพ้นไปนับ 10 กว่าปี หลังจากจุดเริ่มต้นได้บังเกิดที่สมองแต่หนนั้น ..ก็ล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ และนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมทุกๆประการ สำหรับการเดินทางออกสำรวจจักรวาลที่ยิ่งใหญ่เกินกว่า พิกซาร์จะเคยทำมาแต่ครั้งไหน

    ก็จะไม่ให้ยิ่งใหญ่ได้ยังไงไหว ..ในเมื่อ พิกซาร์ อุตส่าห์เล่นของสูง จะพาบุกสู่จักรวาล เพียงเพื่อให้กลับมามองโลกใบเดิมของเรา(ที่วันนี้..มันก็ย่ำแย่เหลือจะทนไปแล้ว) และเพียงแค่จะได้เห็นว่ามันสวยเกินกว่าจะยอมให้เราจำใจละทิ้งมันไปในวันข้างหน้า

    พูดแล้วเหมือนจะเว่อร์ แต่สำหรับ Wall-E แล้ว ...นี่คือ งานของพิกซาร์ที่กล้าที่สุด อันผสมปะปนไปด้วย ความบ้าที่แทบจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกับงานอนิเมชั่นอื่นๆอีกมากมาย

    เพราะในขณะที่หนังเรื่องอื่น ..ใช้คำพูดวาจาที่เปล่งออกมา ตัดสินการกระทำ ความคิด หรือพฤติกรรมของตัวละครที่ไม่มีชีวิตอยู่จริงให้เราเชื่อ ...หนังเรื่องนี้ กลับไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใดๆมาบรรยายความ หากมันเดินเรื่องไปได้เอง โดยคงความเป็นธรรมชาติของภาษากายที่เกิดขึ้นมาจาก ...หุ่นยนต์ ..ใช่แล้ว คือ หุ่นยนต์ ที่มีความหมายคล้ายๆว่า แข็งกระด้าง เมื่อเรานำไปใช้บรรยายความสามารถของดาราที่เป็นคน(บางคน)

    "Wall-E" ...ว่าด้วยเรื่องราวของ หุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่เหลือตัวเดียวบนโลกใบนี้ และยังเป็นโลกที่แทบจะไร้สิ้นสิ่งมีชีวิตใดๆเหลืออยู่ (นอกเหนือจาก แมงกระจั้ว.. ที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามัน ตายย้ากกกกกกกกกกกกก..ส์) ..มันคือช่วงเวลาในเวลาอีกราว 700 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่เหลืออะไรที่น่าใส่ใจ ทั้งคงเหลือไว้แต่เพียง เศษขยะมหาศาล(มีค่าเป็น Infinity) ที่รอคอยให้วันๆหนึ่ง(ในทุกๆวัน)ของ หุ่นยนต์ตัวเดียวที่ชื่อ "Wall-E" ต้องหมดไป เพื่อจัดการจัดเก็บให้เป็นที่เป็นทาง และรอคอยให้สักวัน(ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ ..หรืออาจมีค่าเป็น Infinity) มีสิ่งมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง

    แต่ในเมื่อการรอคอยของมัน ยังคงมีค่าเท่ากับความเหงาอยู่อย่างนี้ ..การมีชีวิตอยู่เป็นอมตะ(ได้ด้วยแสงอาทิตย์)ของมัน ก็เหมือนกับ ตายทั้งเป็น อยู่ดี

    นอกเหนือไปจาก แมงกระจั้ว ที่มีสถานะเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยน่าเอ๊นดู กับข้าวของที่ทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีของคนที่จากโลกไปไว้ดูต่างหน้า ...สิ่งที่ฆ่าความเดียวดายไปได้บ้าง ก็มีแค่ วิดีโอจากหนังเรื่อง "Hello Dolly!" ที่พอจะเป็นสีสันอะไรให้กับความว่างเปล่าในชีวิตที่มีแต่งาน งาน และงานฝังไว้ในหน่วยความจำ

    และเมื่อสีสันเหล่านั้น มันคือ ความโรแมนติกของคู่รักพระ-นางที่อยู่ในจอทีวี ได้ร้องเพลงบอกรักกัน.. นั่นก็เท่ากับ ความทรมานลึกๆ ที่ Wall-E ก็อยากจะมีใครบ้าง ที่จะมาช่วยคลายความเหงา ให้ทุเลา ..ถึงไม่ต้องร้องเพลงบอกรัก จะแค่ได้จับมือเคียงคู่ก็เป็นอะไรที่ดีที่สุด เท่าที่ชีวิตน้อยนิด จะหาสิ่งที่มหาศาลมาทดแทนได้แล้ว

    และแล้ว ชีวิตของมัน ก็ถึงวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในบางสิ่ง เมื่อยังมีใครอื่นที่ฟากฟ้าได้ส่งลงมาให้เจอกัน ..และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆอย่างก็ถึงกาลเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพียงเพราะหุ่นยนต์สาว ชื่อ "Eve" คือ จุดพลิกผันที่โลกแสนจะอ้างว้างใบนี้กำลังรอคอย พร้อมๆกับ การเป็นเพียงผู้เดียว ที่ Wall-E เลือกจะฝากหัวใจที่เคยอ้างว้าง ฝากไว้ให้แก่เธอดูแลเท่านั้น

    จากพลอตเรื่องที่ว่าไปทั้งหมด อาจดูเหมือนจะเป็นหนังอนิเมชั่นอีกเรื่อง ที่ใส่ความโรแมนติกลงไป เพื่อเชื้อชวนคนดูคู่รัก ได้จูงมือไปนั่งกระหนุงกระหนิงกันในโรงด้วยกัน.. แต่ก็เปล่าเลย นั่นมันยังเป็นเพียงส่วนแรกๆ ช่วงต้นๆ ของอนิเมในสไตล์พิกซาร์ ที่ยังมีขายความรื่นเริงบันเทิงหทัย เป็นส่วนผสมหลักๆ

    หากแต่ของจริงที่แทบจะเป็นใจความของหนังทั้งเรื่อง มันกลับคือ รสชาติที่แปลกแยก ..แม้อาจไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหม่ๆที่เพิ่งคิดกันออก แต่สำหรับพิกซาร์แล้ว ...มันก็คือ ความกล้าที่จะแตกต่าง ทั้งอยากจะแตกประเด็นในเรื่องที่กำลังเป็น Talk of the World ในวันนี้ ..ซึ่งจะมาในรูปแบบที่จะเข้าถึงกลุ่มคนดูทุกเพศทุกวัย ได้มากกว่าการเป็นหนังสารคดี หรือดรามาชวนเครียด อันเคยสร้างมาอีกนับสิบๆ

    ในขณะที่หนังที่่ว่าด้วยประเด็น 'โลกร้อน' อีกหลายเรื่องนั้น เคยต้องการตอกและย้ำ เอาให้คนดูต้องกระอักกระอ่วน จนถึงขีดสุด (ซึ่งก็มีทั้งที่ได้ผล เช่น สารคดี 'อัล กอร์' เรื่องนั้น หรืออาจจะไม่เป็นแรงกระตุ้นที่รุนแรงนัก อย่าง "The Day After Tomorrow") ..Wall-E กลับข่มประเด็นที่น่ากลัวเหล่านั้นเอาไว้ หากแสดงออกมาอย่างอ้อมๆ มากกว่าจะโจ่งแจ้งเต็มที่ ประมาณว่าถ้ามีโทรโข่งพูดก็ได้ยินไปทั่ว แต่ตัวหนังก็เลือกจะกระซิบพูดเบาๆ เอาให้ชาวเรารู้สึกได้เอง เพียงแค่ใช้ภาพเคลื่อนไหว และเหตุผลที่หนักแน่นมาเคลือบไว้

    ซึ่งก็ด้วยเหตุผลที่ พิกซาร์ เคยล้วนแต่สามารถจะจัดการองค์ประกอบทั้งสองส่วน ให้ออกมาลงตัว โดยที่คงความสนุกบวกการให้ความรู้สึก พร้อมไปด้วยมาตรฐานในแบบฉบับที่อนิเมชั่นค่ายอื่นๆไม่สู้เท่า... นั่นจึงเท่ากับ เหตุผลสำคัญที่ Wall-E มิมีทางจะผิดพลาดจากการเป็นหนังดีไปได้ ..โดยไม่มองว่ามันเป็นการ์ตูน ก็ยังรู้สึกว่า นี่คือ หนังเรื่องหนึ่งที่มีคุณค่าอย่างเต็มปรี่ และครั้งนี้ พิกซาร์ ก็ยังสร้างคุณค่ามากไปกว่าการสอนใจ หากมันอาจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนก็ย่อมได้ เพียงถ้าเข้าใจว่า ภาพที่เห็นในหนังมันล้วนแต่เป็นความจริงได้ ถ้าในวันนี้ เรายังคงเลือกจะใช้ชีวิตแบบเดิมๆ

    รวมถึงข้อแม้ว่า หนังจะออกมาเป็นการ์ตูน ที่เราๆก็รู้ว่าเจาะกลุ่มเด็กเป็นเรื่องสำคัญด้วยแล้ว ...ก็ย่อมต้องจำนนในความบ้าของ พิกซาร์ อีกครั้ง ที่กล้าจะนำเสนอเรื่องราวซึ่งหนักเกินตัวผู้เป็นเด็กจะเข้าใจได้ถี่ถ้วน ..เพราะถึงจะยังสนุกไปกับภาพที่น่ารักน่าชังของเหล่าตัวการ์ตูนในวันนี้ก็แล้ว แต่หากถ้าเขาลองได้กลับมาดูมันอีกครั้งในวันที่เติบใหญ่ เห็นโลกในมุมที่หมองหม่นเต็มตัว ความรู้สึกเดิมๆเช่นเคยในวันนั้น อาจจะถึงกาลเปลี่ยนแปลงไปก็ย่อมได้

    เมื่อผมได้ย้อนนึกกลับไปคิดถึงในช่วงเวลาของครึ่งเรื่องหลังทีไร ..ก็ยิ่งค้นพบถึงความนัยที่หนังเรื่องนี้ซ่อนเร้นไว้ อันอุดมไปด้วยความเจ็บในทรวง แสบสันต์ในการเหยาะหยัน ซึ่งมันอาจจะผ่านมาผ่านไปก็ได้ ถ้าเรามัวแต่ยึดติดเรื่องความหรรษา ...หากมัน ช่างทำรุนแรงเหลือเกิน เกินใจของคนจะทน ที่กล้าจะสร้างภาพจินตนาการอันโหดร้ายขึ้นมาแบบไม่ซ่อนเร้น

    ภาพที่ผมมองว่าผมเห็น ...มันคือ 'ความอ้างว้าง' ของ(อดีต)ชาวโลกในวันข้างหน้า ..ที่จำต้องยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่า ความสะดวกสบายรื่นรมย์ จนสุดท้ายก็ทำอะไรได้ไม่เป็นผู้เป็นคน (หรือจะเรียกว่า ไม่หลงเหลือความเป็นคน..)อีกต่อไป

    เราอาจจะสะดวก ที่จะคุยกับใครก็ได้ เพียงแค่เราสั่งการผ่านคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อ ในวันนี้ ..แต่ในวันข้างหน้า มันอาจเท่ากับ ความอ้างว้าง ที่เราไม่ได้เจอหน้ากับใครคนนั้นแบบตัวเป็นๆ หรือจะรู้จักก็ทำได้เพียงแค่ผิวเผิน

    เราอาจจะสบาย ที่เราไม่ต้องทำงานทำการอะไร เพียงแค่เราตั้งโปรแกรมให้หุ่นยนต์ช่วยจัดการให้ ในวันนี้ ..แต่ในวันข้างหน้า มันอาจเท่ากับ ความอ้างว้าง ที่เราไม่ต้องออกแรงไปหาสังคม หรือกระทั่งสิ่งเล็กน้อยอย่างตัวเงิน ก็แทบไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป

    เราอาจจะรู้สึกดี ที่มีใครๆมาทำอะไรให้เราแทน โดยเราแค่อยู่เฉยๆ ก็มีตัวช่วยวิ่งแจ้นมารับใช้ ในวันนี้ ..แต่ในวันข้างหน้า มันอาจเท่ากับ ความอ้างว้าง ที่มีผลให้เราอาจทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น และสุดท้ายเราก็ต้องทนอยู่กับการเป็นใครสักคน ที่ไม่รู้ตัวตนว่าเราควรเป็นใคร ...เพียงเพราะคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดขึ้นทุกๆวัน มันกลับสอนให้เรารู้ว่า เรามีค่าเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่มีแต่นิ้วและปาก เอาไว้สั่งการเป็น อย่างเดียวก็เท่านั้น


    โลกแต่หนหลัง มนุษย์เราๆอาจจะเคยเป็นผู้คิดค้นกลไกคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มความสบาย ในวันนี้ ..แต่ถ้าวันหนึ่ง สิ่งที่เราสร้าง กลับคิดเป็นทำเป็น และกล้าจะคดโกงกับผู้มีพระคุณขึ้นมา หลังจากวันนั้นเป็นต้นไป มันก็คงจะหาทางช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เมื่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นมา มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากชาวมนุษย์แต่เพียงหมู่เดียวเท่านั้น

    แม้จุดไคลแม็กซ์ของ Wall-E จะย่อมต้องหาทางออกให้เรารู้สึก Feel Good ไปกับมัน มากกว่าจะทารุณใจให้แตกสลายยิ่งไปกว่าสิ่งที่ปูมา ...แต่นั่้นก็ไม่ได้หมายความว่า นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จริง เพราะคอมพิวเตอร์ในวันข้างหน้า อาจจะร้ายกาจเกินกว่า ใครจะเอาชนะมันได้ง่ายดายอย่างเช่นในหนังที่เป็นแค่เรื่องปลอมๆ

    ตราบใดที่เราเลือกทางจะยอมอ้างว้าง เหมือนไม่มีใครอยู่บนโลกใบเดียวกัน ..มนุษย์ที่ประเสริฐกว่าอย่างเราๆ ก็ไม่มีวันจะเอาชนะสิ่งที่ไม่มีวันตาย ที่นับวันก็ดันทุรังทะลุขีดการเป็นอัจฉริยะไปได้เรื่อยๆเสียหรอก

    แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 18:05:13

     
     

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 18 ส.ค. 51 16:39:46 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom