| เกรด A -> 9-10 คะแนน (36 คน) |
| เกรด B -> 6-8 คะแนน (11 คน) |
| เกรด C -> 3-5 คะแนน (2 คน) |
| เกรด D -> 1-2 คะแนน (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 50 คน |
ก่อนที่คุณจะได้อ่านรีวิวบทนี้ ผมมีคำถามอยากจะถามคุณสักหน่อย.. ว่าคุณอยากจะอ่านรีวิวนี้จริงๆหรือเปล่า
เพราะถ้าคุณอยากอ่านกันจริง ..."เล่ายาวน้าาาาาาา!!!"
...เรื่องของเรื่องมันเริ่มตั้งแต่ เมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี ได้มีชายคนหนึ่ง ให้สมมตินามชื่อว่า "บุญชู" เป็นชาวบ้านสามัญชน คนที่ใส ซื่อ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ราคะใดๆ มาทำตนให้ต้องหมองหม่น ..เขามีความคิดที่แสนสดใส วาดฝันหวังจะเป็นเกษตรกร ที่ประสบความสำเร็จ และได้รับการยกย่องจากผู้คนในหมู่บ้าน ในเรื่องของการพัฒนากลวิธีที่จะทำให้การเกษตรเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ในยุคสมัยที่ ควาย เป็นได้ทุกอย่าง สำหรับชาวนา ..เขาคิดได้ว่า มูลของควาย คงจะมีจุลินทรีย์บางอย่าง ที่น่าจะมีผลทำให้ข้าวในนาของเขาเจริญงอกงาม แต่ถึงจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือเปล่า แต่เขาก็เชื่อว่ามีแน่ๆ และบอกต่อชาวบ้านให้ไม่ต้องเก็บกวาด เพราะไม่ใช่สิ่งสกปรก
ในวันเวลาที่ นาข้าว มักจะประสบปัญหามีแมลงศัตรูพืชบ่อนทำลาย ..เขาคิดได้ว่า น่าจะมีการทำยากำจัด ที่มีส่วนผสมจากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ กลายเป็นภูมิปัญญาที่บอกต่อให้ชาวบ้านร่วมด้วยช่วยกันคิดค้น
ในการทำนา ที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กับระยะเวลาอีกหลายเดือนที่ต้องฟูมฟัก ..เขาคิดได้ว่า น่าจะมีกิจกรรมอะไรสักอย่างเกิดขึ้นมากับผู้คนในหมู่บ้าน เมื่อถึงวันที่ผลผลิตออกมาอย่างสำเร็จ ก็เชิญชวนให้คนทุกคน มาร่วมสนุก ร้องเพลงเกี่ยวข้าว .."เกี่ยวเถอะนะ แม่เกี่ยว ชะชะ เกี่ยวเถอะนะ แม่เกี่ยว" ถือว่าเป็นการผ่อนคลาย ที่สร้างความสุขให้เกิดขึ้นพร้อมกัน
แต่แม้บุญชู จะเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านอยู่เช่นไร ก็มิวายจะเจอปัญหา ..ด้วยความที่เขามีความรู้น้อยในเชิงวิชาการ จะรู้มากหน่อยก็แต่เรื่องธรรมะธัมโม เพราะโดนแม่จับบวชแต่เด็กยันโต เลยทำให้เขาอาจไม่ทันคนข้างนอกไปบ้าง มีการโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ได้เนืองๆ ..แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่คิดน้อยใจในความต่ำต้อยของเขา เพราะเขาเชื่อว่า การที่เขาเกิดมาเป็นคนเช่นนี้ คือ สิ่งที่เบื้องบนกำหนดให้เขาเป็นไปก่อน หลังจากนั้นคือเรื่องที่เขาจะต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง เพื่อจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด.....
"นี่ คุณคนเขียน ..มันนานเกินไปหรือเปล่า?? ...รวบรัดให้หน่อยสิ"
นานไปหรอ ..ก็ได้ๆ เอาสั้นๆกว่านี้นะ
เมื่อมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนปีพ.ศ. 2531 ได้มีชายนามว่า "บุญชู" นามสกุล "บ้านโข้ง" ปรากฎตัวขึ้นมา เพื่อจะเป็นความหวังใหม่ของชาวบ้าน ณ ตำบลบ้านโข้ง แห่งเมืองสุพรรณบุรี ที่ต่างก็วาดฝันว่าจะได้มีหนุ่มเกษตรกร ปริญญาตรีคนแรกของหมู่บ้าน มาประดับเป็นเกียรติเป็นศรี และกลับมาพัฒนาการเกษตรให้เจริญก้าวหน้าไปมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่แม้บุญชู บ้านโข้ง จะเป็นความหวังที่แสนงดงามของคนทั้งหมู่้บ้าน ก็มิวายจะต้องมาเสี่ยงเจอปัญหากะโลกภายนอก ..ด้วยความที่เขาเป็นไอ้หนุ่มบ้านนอก ที่เพิ่งจะเรียนรู้เข้ามาอยู่ในกรุง(เทพ)แรกเริ่ม จึงไม่อาจจะเข้าใจในโลกที่สับสนวุ่นวายกับเมืองแห่งแสงสีที่แสบสันต์แห่งนี้ได้ถ่องแ
ท้ เท่ากับที่เขาเข้าใจในหลักธรรมแห่งการใช้ชีวิต ..แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่น้อยใจในโชคชะตาที่เจอแต่ความยุ่งเหยิง เพราะเขาเชื่อว่า ความใสซื่อ ไม่คิดร้ายกับใคร จะนำทางให้เขาได้พบเจอกับผลลัพธ์ที่ดีในท้ายที่สุด
"โอ้ยยยย!!! พอ พอ และพอเลย ..มากไปแล้ว ...เอาแค่บอกมาว่าจะพูดอะไรในท้ายที่สุดเลยดีกว่า"
เอ้ออออออ ..ก็แค่จะอยากพูดว่า ...จากการที่ผมได้เพิ่งมาตามดู หนังชุด "บุญชู" ทั้ง 6 ภาคจบไปในอดีตที่ไม่นานมานี้ ผมพบว่าผมก็เป็นอีกคนที่ชอบ และตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้ว
แม้ว่ามันจะล่าช้ากว่าใครอีกมากที่เป็นแฟนเหนียวแน่นมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ...ก็ยังไม่ช้าเกินไป ที่หนังเชยๆเรื่องนี้ จะทำให้ผมรู้สึกดีกับมันยังได้เหมือนกัน
(ติดตามอ่านรีวิวน้อยๆ ที่ผมพูดถึง ภาค 1-8 เอาไว้ ได้ที่นี่เลยครับ... http://vreview.yarisme.com/blog.php?u=&md=post&id=1326&title=%BA%D8%AD%AA%D9+1-2-5-6-7-8 )
อีก 13 ปีต่อมา กับตัวเลขภาคที่ 9 ในท้องเรื่องของ นาย "บุญชู บ้านโข้ง" ผู้น่ารักผู้นี้ ...แม้อาจจะหายร้างลาจอหนังไทยไปนานแสนนาน หากสุดท้ายแล้ว การกลับมาของเขาใน พ.ศ.2551 ก็ยังคงกลิ่นอายของความเป็นบุญชู ไว้ครบถ้วนเลยจ้า
แม้โดยที่ชื่อของหนัง อาจจะยังคงความเป็นแบรนด์ ที่ต้องขายได้ในหมู่คนรู้จักคุ้นเคยไว้ไม่เปลี่ยนแปลงไป ..หากแต่พระเอกตัวจริงของ "บุญชู ไอ-เลิฟ-สระุ-อู" กลับไม่ใช่พี่เจ้าของแบรนด์คนเก่า อีกยังจะผลักดันให้อีกหนึ่งบุญ... แต่สกุลครือกัน ผู้ลูกได้แจ้งเกิด แรกเริ่มทำความรู้จักกับคนดูทั้งรุ่นเก่าที่รักคนพ่อ (ก็น่าจะต้องเปิดอ้อมอกอ้อมใจรักคนลูกตามกันไปด้วย)
และยังจะสร้างความมักคุ้นในคนดูรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยรู้จักแม้กระทั่งพ่อของนายคนนี้ ว่าเขาก็คือ หนึ่งในตำนานแห่งวงการหนังไทย ที่ยังมีลมหายใจ ..และคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา ก็เฝ้ารอการกลับมาของชายผู้นี้ อย่างมิย่อท้อ มาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านพ้น หลังจากการพบหน้าครั้งล่าสุด
"บุญโชค บ้านโข้ง" ลุกชายหัวแก้วหัวแหวน สุดสวาทขาดใจดิ้นของพ่อ "บุญชู" และแม่ "โมลี" ..โดนคุณพ่อผู้รักธรรมะ หวังเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ จับทำการบวชแต่อ้อนแต่ออก จนโตขึ้นมากลายเป็นเณรหนุ่มน้อย ที่หลวงพ่อคิดจะพาไปร่วมเดินธุดงค์ตะลอนขึ้นเขาลงห้วยถึงไหนถึงกัน ..แต่แล้ว โยมแม่ ก็ถึงคราวที่จะหักห้ามใจไม่ให้ห่วงลูกเดินทางไกลไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จับทำการสึกเงียบๆ(มิบอกพ่อบุญชู) พร้อมส่งหนุ่มบุญโชค เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหวังจะให้เล่าเรียนในมหาวิทยาลัย รู้อะไรต่อมิอะไรให้ทันใครๆในทางโลก
แต่แล้วเพียงวันแรกที่นายบุญโชคเดินทางมาสู่เมืองหลวงของประเทศไทย ที่ถูกย้ายจากอยุธยามา 200 กว่าปีแล้ว (อุ๊บะ พม่า รู้หรือยังเนี่ย???) ..อันด้วยความใส ซื่อ (ที่ถอดพิมพ์เดียวมาจากพ่อเป๊ะๆ) มิรู้สิ่งใด นอกไปจากคำสั่งแม่ ก็ให้มีเหตุบังเอิญที่ทำให้เขาโดนจับมอมยา แล้วรูดทรัพย์ไปเสียหมดตัว ...ถึงสุดท้าย อาจจะยังโชคดีที่ลุงๆอาๆ ผู้เป็นเพื่อนๆของพ่อแม่ ได้มาเจอตัวเข้า หากหลังจากนั้น ไอ้หนุ่มบุญโชค ก็ได้รู้ว่าใครเป็นตัวการ ...แต่ช้าแต่ เมื่อเขาได้เข้าไปทำความรู้จักกันจริงๆ ก็ได้รู้ความจริงบางอย่างจากสาวสวยหน้าจิ้มลิ้ม ที่มีเรื่องจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและน้องสาวอีก 2 ประทังชีวิตไปวันๆ
แล้วอย่างนี้ ไอ้หนุ่มบุญโชค ผู้ขี้สงสารและช่างเมตตา จะทำอย่างใดได้เล่า ..นอกเหนือไปจาก การกระโดดเข้ามาช่วยเหลือ ที่นำพาให้เกิดความอลเวงอลวน ละคนเสียงฮา ในแบบฉบับของ บุญชู สระอูย้าว..ยาว จะนำพา
หนังชุด บุญชู อาจได้เคยมีคนขนามนามว่าเป็น "หนังสนุก ฮากระทึบโรง" ทั้งยังเคยเป็นปรากฏการณ์ที่ทำเอาโรงหนัง Standalone (ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่หลาก เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว) แทบแตกมาโดยตลอด เมื่อหนังในตระกูลนี้ได้เข้าฉายทุกครั้ง.. แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดูว่าผ่านมานานเนิ่น เกินที่ใครๆหลายคน ที่เกิดมาไม่ทันจะพอเข้าใจอยู่หรอก ในแม้กระทั่งสังคมแห่งการดูหนัง ณ วันนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงความเป็นตัวของตัวเองไปมาก
ลองถ้าให้นึกกันจริงๆว่าวันนี้ เหลือ Standalone ในเมืองไทยนี้ อีกสักกี่โรง ..ก็คงจะนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียวเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งถ้ารวมเอาเครื่องเล่นวิดีทัศน์ในบ้าน มาทำสถิติทั้งหมด จะพอเหลือบ้านไหนที่ยังใช้ วิดีโอ ดูเป็นของประจำ อยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์เลยเชียว ...อีกถ้ายังเจาะจงลงไปถึง DVD จะมีวัยรุ่นสักกี่คน ที่เสียตังค์ซื้อมันเสียล่ะ หากอยากดูกันจริงๆ ก็ใช้เน็ทไฮ-สปีด โหลดบิทเอาเป็นเรื่องอนิจจังกันไป
แหม!!! ถ้าให้พูดถึงความน่าน้อยเนื้อต่ำใจในการดูหนัง ณ วันนี้ ก็คงเป็นอะไรที่ย้าว..ยาว กันเสียจริงจะพล่ามหมด ..แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงรสนิยมของใครของมันที่ไม่อาจจะครือกันได้ทั้งหมด
ซึ่งมันก็รวมไปถึงเรื่องของ บุญชู ได้ครือกัน ..ที่สำหรับสายตาของคนวัยรุ่นในวันนี้ คงจะเห็นเป็นเรื่องที่เชยแสนเชยไปเหลือแสน ถ้าจะบอกว่าตัวละครนำ เป็นอะไรที่ชาวบ้านในตอนนี้เขาไม่เป็นกัน พอเมื่อครั้นได้ดูตัวอย่างหนัง แล้วก็อาจรู้สึกว่ามุขมันบ๊าน..บ้าน เสียเหลือเกิน นี่ยิ่งถ้าพ่อกะแม่บอกว่านั่นเคยเป็นหนังของพวกเขาด้วยแล้ว ก็มิวายที่ลูกๆผู้ใจร้อน อาจจะบอกกันตรงๆมั่นๆ ว่า "มันคงจะฝืดสิ้นดีละสิ"
อันนี้มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดอะไรหรอก ..เพราะถึงจะอ้างอะไรต่อมิอะไรที่มันดูเหมือนดีเข้าไป สุดท้าย สิ่งที่เรียกว่า รสนิยม ก็สามารถจะสรุปทุกอย่างให้ลงเอยได้ในทางใดเพียงทางหนึ่ง
แต่ถ้าเพียงจะได้ลองชิมกันจริงๆ ลิ้มรสกันเต็มๆ แล้ว ..มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ตัดสินกันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกันไป ว่า บุญชู เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นรสนิยมของเขาได้หรือไม่
และดูเหมือนว่า บุญชู ไอ-เลิฟ-สระ-อู ก็กำลังทำให้วัยรุ่นวัยร้อนหลายๆคน เริ่มที่จะลองตกหลุมรักในหนังชุด บุญชู ได้ไม่น้อยเลย ...รวมทั้งผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะโชคดีกว่านิดนึง ที่ได้ตามเก็บ หนังอีก 6 ภาคมาก่อนหน้าไปแล้ว เลยสามารถที่จะยอมทิ้งตัวเองไปสู่หลุม ได้ง่ายดายกว่าใครเขาอยู่บ้าง
บุญชู 9 ..ตามรอยบุญชูภาคก่อนๆ มาแบบแทบครบครัน ทั้งความขำขัน อารมณ์หนัง และการสร้างความรู้สีกที่ดี นำมากว่าเรื่องอื่นใด ...เพราะไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันจะดูจริง น่าเชื่อหรือไม่ กันอย่างไร หากมุมมองของมันก็ล้วนแต่ เป็นเรื่องที่ไม่น้อยไปที่จะฝัน ไม่มากไปที่จะฝืน ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของหนังตระกูล Feel Good ที่เห็นทุกสิ่งเป็นความน่ารักได้หมด
แต่ถ้าจะให้วัดถึงปริมาณของบางสิ่ง ที่คล้ายจะมีน้อยลงไปอยู่บ้างแล้ว ..ก็เห็นจะเป็นที่ พ่อบุญชู+แม่โมลี & The Gang ผู้น่าร้ากกกกกของเรา กลับมาขึ้นจออีกหนโดยออกแนวเป็นสมทบซะมากกว่า
แต่ช้าแต่ มาสมทบแล้วก็ใช่ว่า เสน่ห์ของพวกเขาจะได้หดหายเลือนไปแต่อย่างใด ..มิหนำซ้ำ ความคิดถึงที่ใครต่อใครมีให้กันมา จะช่วยทำให้ทุกนาทีที่มีพวกเขาคนใดคนหนึ่ง หรือทุกคน มันกลายเป็นเวลาแห่งการขโมยซีนไปเสีย
หมายความว่า ถ้าแฟนรุ่นเก่า ไม่หวังอะไรนอกไปจากการได้มาเจอหน้าพลพรรคผู้คนที่คุ้นเคย ก็พอจะทำให้ได้หายคิดถึงกันไปบ้างล่ะ ..ส่วนคนรุ่นใหม่ ก็จะได้มาทำความรู้จัก คนที่เราๆพอคุ้นหน้าจากบทบาทอื่นๆมาก่อน และได้เห็นภาพของพวกเขาในมุึมที่ผ่อนคลายกันเต็มที่ เหมือนว่าเราเข้ามาร่วมก๊วนญาติผู้ใหญ่ ที่เขามีอะไรเอามาคุยสนุกๆ เรียกเสียงหัวเราะกันได้เสมอ แม้เรื่องนั้นจะไม่ใช่มีสาระอะไรที่เต็มเต๊งเลยก็ตามที
ในส่วนของคนรุ่นลูกที่เข้ามาเสริมทัพใหม่ทั้ง 5 (+1 สาว..ที่่น่าจะเข้าร่วมก๊วนอย่างเป็นทางการในภาคต่อไป) ..ต่างก็ล้วนว่า สอบผ่านในเรื่องของ การสวมคาแรกเตอร์ ที่เล่นกันได้เพลิดเพลิน ขำขัน ในตัวตนของแต่ละผู้ ส่วนบทจะให้ผสมโรงร่วมเฮฮา ก็เข้ากันได้ไปกันเนียนๆ
คนที่ต้องชมกันเป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็น "อาร์ตี้-ธนฉัตร" ..ที่เป็น บุญโชค ได้เสมือนวิญญาณ บุญชู สิงสู่เลยทีเดียว ...เรียกได้ว่า ผู้พ่อ "หนุ่ม-สันติสุข" ทำหน้าทำตา พูดด้วยอารมณ์น้ำเสียงยังไง ก็แทบจะเก็บรายละเอียด เลียนความเป็นบุญชูได้ค่อนข้างใกล้เคียง ..ติดเพียงแค่เสน่ห์ของตัวตน ยังไม่ใกล้เคียง ถึงเท่าเทียมกันได้จริงๆ
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 51 14:45:58
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 51 14:45:01
จากคุณ :
OncE UPoN'-'a MaN
- [
8 ก.ย. 51 14:43:58
]