ความคิดเห็นที่ 2
"ยอมรับว่าใน Serbis มีฉากแรงๆ อย่างฉากขายบริการในโรงหนัง ดูดไอติมให้เห็นกันแบบโจ่งครึ่ม แต่การถ่ายทอดออกมาแทบจะไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนคำกล่าวอ้างเลย ไม่ต่างจากกถ่ายเก็บบรรยากาศในโรงหนังธรรมดาๆ อาจจะมีดีหน่อยตรงมุมกล้อง
ในขณะเดียวกันรักแห่งสยามก็มีประเด็นเกี่ยวกับความรักระหว่างชายกับชาย ที่สังคมบางส่วนยังไม่ยอมรับ เห็นได้จากหลายๆ กระทู้ แต่ก็ถ่ายทอดออกมาอย่างมีชั้นเชิง น่าติดตาม และทำให้หลายๆ คนกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังเรื่องนี้ไปเลย"
รักแห่งสยามมีฉากผู้ชายจูบปากชาย ต้องอย่างนี้ครับถึงเป็นกลาง
SERBIS
เทศกาลการหนังเมืองคานส์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หนังที่อื้อฉาวเป็นอันดับต้นๆ ของงานคือหนังฟิลิปินส์เรื่อง Serbis ของผู้กำกับ Brillante Mendoza (The Masseur หนังหมอนวดเกย์ของเขาเคยมาฉายในบางกอกฟิล์มและตั๋วขายเกลี้ยง) โดยความดังของมันมาจากฉากเซ็กซ์โจ๋งครึ่ม (จากภาพโปรโมต) แต่พอได้ดูจริงๆ แล้วหนังก็ไม่ได้โป๊อะไรมากมาย อย่างน้อยก็ห่างชั้นกับ Shortbus หรือ 9 Songs อยู่หลายขุม
การที่ Serbis ได้เข้าชิงสายประกวดของคานส์ก็ไม่ได้แปลว่ามันคือหนังระดับสุดยอด หากมองเหตุผลลึกๆ ที่ทางเทศกาลเลือกมันเข้ามา ก็เป็นเรื่องของการกระจายภูมิภาคของหนังโดยรวมให้ไม่หนักทางยุโรปมากเกินไป และส่งพลังมาทางเอเชียบ้าง (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งยังคงเป็นดินแดนอันน่าตื่นตาในสายตาคนฝั่งโน้น) อย่างไรก็ดี Serbis ไม่ใช่หนังเลวร้ายอะไร ที่จริงมันเป็นหนังที่ดีทีเดียว
Serbis เล่าเรื่องของครอบครัวขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในโรงหนังโป๊แห่งหนึ่ง ตัวละครมากมายในหนังแทบจะไม่มีความสุขกันซักคน ไล่ตั้งแต่ Flor หญิงแก่ที่พยายามฟ้องหย่าสามี, Nayda ลูกสาวที่เป็นคนดูแลโรงหนัง และอาจกำลังจะมีชู้, Alan หนุ่มหล่อที่ดันไปทำผู้หญิงท้อง แถมยังเป็นฝีที่ก้น (!?), Ronald ไม้เบื่อไม้เมากับ Alan ที่ทะเลาะเพียงเพราะเรื่องแย่งเสื้อ และ ...โอเค พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะงงไปมากกว่านี้
ด้วยความที่มีตัวละครเยอะมาก ช่วง 20 นาทีแรกของหนังอาจเป็นของเคี้ยวยากสำหรับคนดูเสียหน่อย เพราะเราจะงงไปหมดว่าใครเป็นใคร คนนี้กับคนนั้นเป็นอะไร แล้วคนไหนกำลังเอากับใคร (ก็หนังมันมีฉากเซ็กซ์อยู่เรื่อยๆ) แถมหนังยังใช้กล้องแบบแฮนเฮลด์ (Handheld) ส่ายไปส่ายมาตลอดเรื่อง ก็ยิ่งเพิ่มความมึนงงเข้าไปใหญ่
แต่หลังจากดูหนังไปสักพัก ผู้ชม (ที่ไม่หมดความอดทนจนเดินออกเสียก่อน) ก็จะเริ่มปะติดปะต่อความสัมพันธ์ของตัวละครได้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะยังได้ทึ่งอีกว่าผู้กำกับเก่งกาจทีเดียวในการวางรายละเอียดของหนัง เพราะ Serbis มีอะไรเล็กๆน้อยๆ เต็มไปหมดตลอดเรื่อง ทั้งในแง่พล็อตเรื่อง, ลูกเล่น หรือการเล่าเรื่องเชิงสัญลักษณ์ ส่วนการใช้กล้องแบบแฮนด์เฮลด์ก็ให้ผลดีต่อหนัง เพราะเป็นเหมือนสายตาที่เข้าไปสอดส่องชีวิตของผู้คนในโรงหนังแห่งนี้ (นอกจากนั้นโครงสร้างของโรงหนังที่มีหลายชั้น มีบันไดอยู่เป็นระยะ ก็ยิ่งเอื้อต่อการเล่นกับการเคลื่อนกล้อง)
Serbis เป็นหนังที่ดูทรงพลังในแง่ที่มันถ่ายทอดเหตุการณ์เพียง 1 วัน (ตั้งแต่เช้ายันค่ำ) หนังพาเราไปพบเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ เป็นคลื่นระลอกไปเรื่อยๆ (โจรวิ่งหนีตำรวจเข้ามาในโรงหนัง, ตัวละครพวกหนึ่งต่อยกัน, ส่วนอีกตัวละครสติแตก ฯลฯ) แถมโรงหนังนี้ก็ไม่มีใครมาดูหนังจริงๆ หรอก เพราะมันฉายหนังโป๊ คนที่มาที่นี่ก็จ้องกันแต่จะมามีเซ็กซ์กัน โรงเต็มไปด้วยกะหรี่ แมงดา และลูกค้า (นี่ก็เป็นที่มาของชื่อเรื่อง Serbis = Service / โดยพวกโสเภณีชายจะพูดว่า "รับบริการมั้ยครับ") เพราะฉะนั้นฉากเซ็กซ์ในหนังก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไร เพราะมันก็อยู่ในบริบทที่มันควรจะเป็น
นอกจากจะอวบอลไปด้วยกลิ่นกามารมณ์แล้ว โรงหนังแห่งนี้ยังถูกขับเน้นด้านมืดด้วยสภาพแวดล้อมของโรงหนังที่เต็มไปด้วยคราบรอยเลอะสกปรก กำแพงที่ถูกสีขีดเขียนจนเละเทะ หรือฉากที่หนักที่สุดก็คือ ตอนที่ตัวละครเข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำโสโครก เพื่อนผมคนหนึ่งพูดติดตลกว่าฉากนี้น่ากลัวกว่าหนังสยองเรื่องไหนๆ ในรอบปีนี้เสียอีก (ฮา)
จากการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ผมชอบที่คุณไกรวุฒิ จุลพงศธร พูดไว้ว่า Serbis มีข้อดีที่ไม่ได้ความพยายามทำให้ความสกปรกทั้งหลายดูสวยงามเกินจริง (Romanticize) เหมือนที่เราเห็นบ่อยๆ ในหนังของหว่องกาไว (ตรอกค้ายาเสพติดใน Chungking Express) หรือไฉ้หมิงเลี่ยง (โรงหนังเก่าใน Goodbye, Dragon Inn) แต่ความโสมมนั้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นตรงไปตรงมา ไม่ค่อยมีการปรุงแต่งอะไรนัก
ดังนั้นถึงหนังเรื่องนี้จะเกี่ยวโรงหนัง แต่มันก็ไม่ได้ให้อารมณ์สุนทรีย์เหมือน Cinema Paradiso สักนิด ผมเลยขอตั้งชื่อให้ Serbis เล่นๆ ว่า Cinema Inferno
เคยได้ยินมาว่า นักวิจารณ์ฝรั่งไม่ค่อยถูกใจกับ Serbis นัก เดาว่าพวกเขาคงไม่เคยเจอโรงหนังชั้นสองแบบในหนัง (ในขณะที่บ้านเรายังเหลือให้เห็นอย่างง่ายๆ) ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ หนังพูดถึงเรื่อง 'ครอบครัวใหญ่' (สังคมตะวันตกชอบอยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆ มากกว่า) ประเด็นนี้ในหนังก็น่าสนใจดี เพราะช่วงท้ายของหนังเราจะได้ทราบว่า ครอบครัวนี้ทำกิจการโรงหนังมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ โรงหนังที่เหลือของพวกเขาเจ๊งไปหมดแล้ว ที่เราเห็นอยู่ในหนังเป็นโรงสุดท้าย
ในฉากหนึ่งกล้องได้สอดส่ายจนไปจับภาพรูปรับปริญญาและใบปริญญาของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งกลายเป็นว่าที่จริงแล้วพวกเขาก็จบการศึกษากันมาอย่างดี แต่กลับต้องมาทำอาชีพเฝ้าดูแลโรงหนังอย่างน่าประหลาด แต่เราก็พอจะรู้ได้ว่าพวกเขาก็ไม่ได้พอใจกับสถานภาพตรงนี้หรอก (Nayda พูดกับตัวเองว่า "ฉันเรียนจบพยาบาลมานะ แล้วฉันมาทำอะไรตรงนี้!") แต่พวกเขาก็ไม่มีที่ไป ต้องติดอยู่ที่นี่ โดยเหตุเพราะว่ามันเป็น 'กิจการของครอบครัว'
เปรียบไปแล้วชีวิตของตัวละครทุกตัวในเรื่องก็เป็นปัญหาเรื้อรังยาวนาน คิดเล่นๆ แล้วก็เหมือนกับฝีที่ก้นของ Alan ที่พุพองขึ้นเรื่อยๆ
น่าสังเกตเหมือนกันว่าช่วงครึ่งหลังของหนังมีฉากที่แสดงภาพของการชำระล้างถึง 3 ฉากติดต่อกัน นั่นคือ 1. ฉากหญิงแก่อาบน้ำ 2. ฉากลูกจ้างเอาสีทาทับรอยขีดเขียน และ 3. ฉากที่ Alan ทุบฝีตัวเองจนแตก (อึ๋ย!) แล้วก็มีแต่ Alan เท่านั้นที่หนีออกไปจากโรงหนังแห่งนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นสักเท่าไร เพราะสิ่งที่เขาทำคือการหนีปัญหาเรื่องทำผู้หญิงท้องมากกว่า
ศาสนาก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึงใน Serbis เราเห็นตัวละครห้อยไม้กางเขน เห็นภาพพระเยชู พระแม่มารี อยู่ตลอดเรื่อง แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้เลย ฉากหนึ่งที่ออกแนวเสียดสีมากก็คือ ฉากคนเดินขบวนจุดเทียนบูชาพระแม่มารี แต่ในขณะเดียวกันที่ซอยดังกล่าวก็มีผู้ชายสองคนกำลังซื้อขายบริการกันอยู่
นัยยะทางศาสนายังแสดงผ่านอีกฉากสำคัญ คือตอนที่แพะวิ่งเข้ามาในโรงหนัง (แพะเป็นสัญลักษณ์ถึงความชั่วร้าย/ซาตาน) จนทำให้คนฉายหนังต้องเปิดไฟ เพื่อไล่จับแพะตัวนั้น แต่ภาพที่เราเห็นยามไฟสว่างก็คือผู้คนมากมายที่กำลังประกอบกามกิจกันในโรง ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอันไหนที่จะดูชั่วร้ายกว่ากัน และที่ตลกมากคือ ในฉากถัดมาผู้เกือบทั้งโรงก็แห่กันไปช่วยไล่แพะออกจากโรงหนัง ทั้งที่ฉากตอนต้นที่ไล่จับโจรยังมีกันแค่ 3-4 คนด้วยซ้ำ
ประการสุดท้ายที่สนใจใน Serbis ก็คือ พวกป้าย 'ห้าม' ต่างๆ ในโรงหนังที่มีเยอะแยะไปหมด ตั้งแต่ ห้ามทิ้งขยะ, ห้ามฉี่, ห้ามทำสกปรก หรือขนาดร้านข้าวหน้าโรงยังมีป้ายบอกว่า 'ห้ามนั่งแช่' (เอาเข้าไป) แต่ไม่ยักมีป้ายห้ามมีเซ็กซ์ หรือห้ามทำอนาจารอะไรเลยสักนิด ราวกับว่าทุกคนในที่นี้มีความเข้าใจกันอยู่แล้วว่าโรงหนังแห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร เพราะป้ายอีกแบบที่มีเยอะพอๆ กันก็คือโปสเตอร์หนังโป๊สุดสยิวชื่อพิสดารทั้งหลายนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ป้ายที่เสียดเย้ยที่สุดในหนังก็คือ ป้ายชื่อโรงหนังที่เขียนว่า FAMILY ซึ่งชวนให้เราคิดหนักจริงๆ ว่าสิ่งที่เราเห็นนี่สมควรจะเรียกว่า 'ครอบครัว' หรือเปล่า
หรือไม่เราก็อาจจะต้องพิจารณากันใหม่ว่า สิ่งที่ว่าครอบครัวคือ สถาบัน, ระบบ, กรอบบังคับ, กับดัก...หรืออะไรกันแน่?
refer: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&month=08-2008&date=23&group=1&gblog=156
จากคุณ :
A.R.T.
- [
28 ก.ย. 51 23:18:30
]
|
|
|