CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<<<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Eagle Eye , ตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ใหม่ ไม่โดน จบแล้ว จบกัน >>>>>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (20 คน)
      ชอบ (32 คน)
      เฉยๆ (17 คน)
      ไม่ชอบ (7 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 78 คน

     25.64%
     41.03%
     21.79%
     8.97%
     2.56%


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และ เชิญชวนเพื่อนๆมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมเก็บไว้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=28-09-2008&group=14&gblog=102



    ... ถึงจะมาพร้อมทีมงานแน่นปึ้ก อำนวยการสร้างโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก มี นักแสดงนำชายดาวรุ่งพุ่งแรง น้องไชยา และ ทุ่มทุนสร้างมหาศาลเป็นหนังฟอร์มโต แต่ชื่อ D.J. Caruso ก็ยังไม่ใช่ชื่อผู้กำกับที่ ไว้วางใจ ได้ซะทีเดียว

    จริงอยู่ที่งานชิ้นล่าสุด Disturbia ที่ผู้กำกับเคยร่วมงานกับน้องไชยามาก่อน ได้รับการยกย่องมาก ประมาณว่า เป็น หนังฮิตช์ค็อคในยุคสมัย MTV แต่ส่วนตัวแล้วดูเรื่องนี้ก็ไม่ได้ชอบมากมาย ยังรู้สึกว่าหนัง overrated นิดๆด้วยซ้ำ

    สไตล์การทำหนังแนวระทึกขวัญของเขาหวังผลได้ในแง่ความตื่นเต้นลุ้นระทึก แต่เมื่อถึงช่วงคลี่คลายตอนท้าย ยังออกจะง่ายๆ และ ค่อนข้างขาดชั้นเชิง เหมือนกับตอนที่ทำ Taking Lives ซึ่งก็เข้าข่าย ดูสนุกดี แต่ไม่ได้ดีมากมาย แค่มีไอเดียแหวกสูตรสำเร็จเล็กๆน้อยๆ


    ... จากตัวอย่างหนัง Eagle eye ที่ให้น้องไชยา Shia LaBeouf มาประกบกับ Michelle Monaghan นางเอกรุ่นพี่ ทั้งคู่ถูกเสียงลึกลับสั่งการให้ทำตามคำสั่ง เสียงลึกลับนั้นยังควบคุมการสื่อสารทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็น มือถือ หรือ โทรทัศน์ ไม่ว่าทั้งคู่จะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร ไม่หลุดรอดสายตาราวสับปะรดของวายร้ายตัวนี้ ก่อนจะนำทั้งคู่ไปสู่พัวพันกับเหล่าบุคคลในทำเนียบขาว

    แค่ตัวอย่างที่อึกทึกครึกโครมก็สร้างความคาดหวังในระดับสูง และ ทำให้ผมคิดถึงหนังในแนวทาง Political thriller ที่เล่นกับความไฮเทคอย่าง enemy of the state

    แต่ ตัวหนังจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น


    ... ส่วนดีที่ผมชอบคือ บทหนังค่อนข้างใส่ใจใน ความลึกของตัวละครอยู่บ้าง มากกว่าจะประเคนฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันอย่างเดียว

    เราจะมี ตัวเอกที่ถูกไล่ล่าสองคนเป็นคนที่มีปมอยู่ในใจ



    เจอรี่ เด็กหนุ่มปากดีที่หาเลี้ยงชีพไปวันๆกับงานรับจ้าง เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เป็น ลูกที่พ่อไม่รัก เป็นสมาชิกที่รู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าในบ้าน เพราะ เขามีพี่ชายฝาแฝดที่ดีกว่าทุกอย่าง เป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ เจอรี่จึงหนีออกไปใช้ชีวิตลำพัง นานๆทีจะติดต่อกลับบ้านสักครั้ง

    เรเชล แม่ที่ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกชายในฐานะ single mom ต้องทำงานหัวปักหัวปำหาเงินมาเลี้ยงลูกเพราะคนเป็นพ่อที่แยกทางกันไปก็เหลวแหลกพึ่งพาไม่ได้ และ เพราะความทุ่มเทนี้เอง ทำให้ บางครั้งเธอไม่อาจทำหน้าที่แม่ที่จะยืนเคียงข้างในวันสำคัญของลูกได้

    ฉากหนึ่งในหนัง เราจึงเห็น เจอรี่ มีความรู้สึกมากเป็นพิเศษ เมื่อเรเชลพูดกระทบ แฝดพี่ที่เสียชีวิตไป ซึ่ง คนที่มีชีวิตอยู่ต่ออย่าง เจอรี่ ก็ทั้งรู้สึกผิดที่ตัวเองเคยทั้งรักและน่าจะมีความรู้สึกอิจฉาลึกๆ บวกกับระยะหลังก็ออกห่างจากพี่ไป บวกผสมกับ เมื่อรู้ว่า เรเชล ไม่ยอมไปงานโชว์ดนตรีของลูกชาย เพราะ เขาเองในฐานะที่พ่อแม่ไม่เคยให้ความสำคัญ ย่อมจะกระทบใจในเหตุการณ์ทำนองนี้มิใช่น้อย

    บทหนังที่มี การใส่ความผิดพลาด ของ ประเทศมหาอำนาจ ที่สะท้อน ความหวาดกลัว ของตัวเอง จนประพฤติไม่ต่างจาก ผู้ก่อการร้าย เสียเอง ก็มีมุมมองที่น่าสนใจ เสียดายที่ พล็อตส่วนนี้ ถูกคลี่คลายในตอนจบแบบปลอบประโลมใจ โปรชาติตัวเองในแง่ดีเกินไปนิด


    ... เนื้อเรื่องสำคัญๆตอนต้น ไม่ต่างจากหนังตัวอย่าง คือให้ทั้งคู่ ได้รับคำสั่งจาก เสียงลึกลับ ให้ทำตามที่สั่ง เช่น ไปปล้นกระเป๋าลึกลับ , ไปส่งของปริศนา ฯลฯ มิเช่นนั้น เจอรี่จะต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้ายถูกขังลืม และ เรเชลจะสูญเสียลูกที่กำลังเดินทางไปพร้อมเพื่อนๆ ทั้งคู่ไม่มีโอกาสหลีกหนีเพราะทุกๆการสื่อสารถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ

    การดำเนินเรื่องช่วงต้นๆ จึงเหมือนหนังไทยเรื่อง 13 ภาคบังคับ นั่นคือ ทั้งคู่ต้องเดินเกมตามเสียงที่โทรมา ชะตาพวกเขายังแย่กว่าใน 13 เพราะ เรื่องนั้นตัวละครมีสิทธิเลือก แต่ เรื่องนี้ ทัง้คู่แทบไม่มีสิทธิขัดขืนใดๆแม้กระทั่งอารยะขัดขืน เพราะถูกจับตามองตลอดเวลา

    จุดหักเหสำคัญ ที่หย่อนความลุ้นสนุกของผม มาจาก เมื่อความเป็นจริงบางอย่างได้รับการเฉลยออกมา แต่ ตัวหนังก็ยังมีศักยภาพมากพอที่จะดึงคนดูไปข้างหน้า ด้วยการกำกับของ D.J. Caruso




    ... D.J. Caruso ทำหนังออกมาสนุกดีทีเดียว โดยเฉพาะฉากประเภทวินาศสันตะโร อย่าง ฉากไล่ล่าบนท้องถนน ที่ทำได้ตื่นเต้นอึกทึกครึกโครมน้องๆ ไมเคิล เบย์ ซึ่งก็เป็นจุดเด่นที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆของเขา ในแง่ของการสร้างความสนุกตื่นเต้นให้กับคนดู จนรู้สึกเหนื่อยตามตัวละคร

    ยิ่งได้องค์ประกอบอื่นๆที่อยู่ในระดับเกรดเอ ไม่ว่าจะเป็น งานด้านเทคนิคหรือตัดต่อ ยิ่งทำให้หนังดูตื่นตาตื่นใจ เร้าใจไปแบบไม่ให้คนดูพัก

    แต่ จุดด้อยของ D.J. Caruso ก็ยังคงเดิม คือ จะกี่เรื่องผ่านไป ที่เขาพัฒนามากขึ้นคือ การคุมจังหวะหนังแอคชั่นทริลเลอร์ให้คนดูลุ้นระทึก แต่ เขายังขาดบันไดอีกขั้นที่จะก้าวไปเป็นผู้กำกับระดับ 'ห้ามพลาด' หรือ 'หนังสร้างปรากฎการณ์'

    นั่นคือ ชั้นเชิง หรือ กึ๋น ในการคลี่คลายเรื่องราว และ การที่เร่งหนังระทึกมาตลอดแต่พอจังหวะสุดท้ายหรือไคลแมกซ์ของหนัง ที่ มักจะแผ่วปลายและจบง่ายเสมอ

    ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ ผกก.หนังแอคชั่นไม่เน้นเนื้อเรื่องตัวพ่อ อย่าง ไมเคิล เบย์

    ถ้าเราดูหนังของ ไมเคิล เบย์ จริงอยู่ หนังก็ไม่ได้มี ความซับซ้อนมากมายอะไร หนังดูเว่อร์ๆ แต่ จักรวาลความเว่อร์ของเบย์ เราไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เราเชื่อตามเต็มๆ เป็นหนังที่ดูจบแล้ว เราอยากดูอีกรอบ เป็น ความสนุกที่ทำให้เราอยากดูซ้ำๆ แต่ หนังของ D.J. Caruso จบแล้วไม่ได้อยากดูอีกทีแบบนั้น


    ... จะโทษ D.J. Caruso อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะในเมื่อ ผู้สร้างคิดจะหยิบ พล็อตซ้ำซากแบบ Eagle Eye มาสร้างหนัง คนเขียนบทต้องเจ๋งพอ ที่จะหา จุดเด่นที่แตกต่าง หรือ จุดโดน ให้คนดูในยุคพ.ศ.นี้ ที่เราเคยเห็น พล็อตแบบนี้ซ้ำซากมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว ซึ่ง Eagle Eye ยังฉีกตัวเองออกมาไม่สำเร็จ



    exclaim Spoilers Alert: ตัวอักษร ตัวเอียง  ถัดจากนี้ เผยจุดสำคัญที่มีผลต่อการ รู้ก่อนดู




    พล็อตประเภท เครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ กลับมาปฏิวัติผู้คนเพราะมีสมองมีหัวจิตหัวใจ แบบนี้เรามีทั้ง I Robot หรือ Stealth หรือกระทั่งย้อนไปหนังคลาสสิคเราก็มี 2001: A Space Odyssey

    พล็อตแบบนี้เป็นโจทย์ที่ยาก เพราะ ยากที่จะทำให้คนดู เชื่อ ตาม และ ส่วนตัวเอง ผมเองก็ไม่ชอบเท่าไหร่ เวลาที่รู้สึกว่า วายร้ายอย่างในหนังเก่งเว่อร์มากเกินไป ชนิด ฝั่งตรงข้ามอย่างฝั่งพระเอกไม่มีอะไรจะสู้ได้ให้พอสี





    ... ที่แปลกใจอีกอย่างคือ การเลือก น้องไชยา มาประกบคู่กับ คุณพี่มิเชล คือ นอกจากรู้สึกว่าเคมีจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ ด้วยอายุจริงที่อายุห่างกันถึงสิบปี ทำให้คนเขียนบทดูตัดสินใจไม่ถูกระหว่างดำเนินเรื่อง ว่าจะให้ทั้งคู่ดำเนินความสัมพันธ์ไปในทางใด จะให้ออกมาในแนวรักใคร่ หรือ ให้แค่เป็นเพื่อนกัน ก็ไม่ครึ่งๆกลางๆ ทำให้ ไม่น่าแปลกใจที่ผลลัพธ์ของฉากจูบจึงออกมาแบบเก้ๆกังๆ

    น้องไชยา เล่นได้ดี มีโอกาสโชว์ความหลากหลายทางอารมณ์มากกว่าเรื่องก่อนๆ ดูไม่พยายามฝืนเหมือนตอนเล่น Indy4 ที่ออกจะเกร็งๆ เขามีเสน่ห์ในแบบที่จะรับประกันได้ว่า ขายได้ ขายดี อีกนาน แต่ น้องไชยา ดูจะมีขัอจำกัดทางการแสดงคล้ายๆกับ ทอม ครู้ซ คือ จะเปลี่ยนเรื่องไปกี่เรื่อง ไม่สามารถสลัด ความเป็นตัวเอง สวมชีวิตเป็นตัวละครใหม่ได้เต็มร้อย เรายังเห็น ความเป็น น้องไชยา แทบทุกเรื่อง



    ในขณะที่ พี่มิเชล ที่มาแบบ สวยหน้าตื่น ตลอดทั้งเรื่อง เริ่มมาแรงในช่วงหลังๆ ซึ่งเธอก็มีศักยภาพเพียงพอทีเดียวในการนำหนังไปข้างหน้าด้วยตัวเอง ยังมีอีกคนที่ช่วยสร้างสีสันได้ดีคือ บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน ซึ่งผมชอบลีลากวนโอ๊ยในบทครูตัวดีที่หวังแอ้มแม่ของลูกศิษย์ใน Mr. Woodcock หนังเรื่องก่อนของเขาเหลือเกิน



    สรุป ... ดูสนุก แต่ ไม่ถึงกับ ประทับใจ โอ้วว้าวว เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ไม่ดูถูกคนดู ไม่ง่ายจนน่าเบื่อ เพียงแค่ เลือก พล็อตที่มีจุดเสี่ยงต่อความไม่น่าเชื่อถือและเสี่ยงต่อความรู้สึกซ้ำซากของคนดู จึงทำให้ หลายๆคนอาจรู้สึกว่า ไม่มีอะไรใหม่ๆ นอกจากประมาณ ดูเอามันส์ อย่างเดียว


    ป.ล. เชียร์ให้ไปดู The Fall ครับ ผกก.คนเดียวกับ The Cell แต่เรื่องนี้ ดูรู้เรื่องมากกว่า ดูสนุกมากกว่า ผ่อนคลายมากกว่า และ ทำให้ยิ้มสลับซาบซึ้งสลับทึ่งกับงานด้านภาพที่วิลิศมาหรา เช่นเคย ชอบมากที่เล่นประเด็น ความสิ้นหวังและความตาย ได้อย่างแยบยลผ่านจินตนาการและโลกสองวัย – ชอบมากครับ –

    ส่วน My best friend’s girl ตอนแรกกะไปดูแค่เอาคลายเครียดอย่างเดียว แต่ ปรากฎว่า หนังดีกว่าที่คิด คือหนังไม่ได้ดีแบบมากมาย แต่ มีดีกว่า หนังตลกโฉ่งฉ่างเกี่ยวกับ sex หลายๆเรื่องที่เข้าฉายปีนี้ อีกทั้งมี ข้อคิดสอนใจในเรื่อง ความสัมพันธ์ ที่ดีใช้ได้ทีเดียว ไม่เหมาะสำหรับคนรังเกียจมุกตลกใต้สะดือ – ชอบครับ-

    จะเขียนถึงทั้งคู่ครับ เช่นเดียวกับ Vicky Christina Barcelona ที่ก็ชอบมากๆอีกเหมือนกัน

    (อาทิตย์นี้มีหนังชอบมาก 3 ใน 4 เรื่องเลย ดีจัง)



    love หมายเหตุ : จขกท. จะไปแจกลายเซ็นในงานมหรรมหนังสือ วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ช่วง บ่ายสามถึงบ่ายสี่ ที่บูธ D12 ในโซน Plenary Hall  

    แล้วเจอกันนะครับ กับหนังสือเล่มใหม่ต่อจาก หนังสือรัก และ องศาที่ 361 ที่ใช้ชื่อว่า idea เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไปidea  ไม่ซื้อไม่หาแค่เข้ามาทักให้หายเหงาที่บูธ ก็ดีใจหลายแล้วsmile





    บทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

    Transformers , โอ้ว ไมเคิล เบย์ คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆเลย
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=01-07-2007&group=14&gblog=9

    12 เกมสยาม +13 เกมสยอง , มันไม่ใช่แค่เกม
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2006&date=14&group=1&gblog=82

    Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull , งานคืนสู่เหย้า ของ เรา และ คนทำหนัง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=27-05-2008&group=14&gblog=95

    แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 51 00:12:51

    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 10:41:34

    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 10:17:51

    แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 51 09:52:20

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 30 ก.ย. 51 09:48:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom