| เกรด A -> 9-10 คะแนน (18 คน) |
| เกรด B -> 6-8 คะแนน (14 คน) |
| เกรด C -> 3-5 คะแนน (8 คน) |
| เกรด D -> 1-2 คะแนน (3 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 43 คน |
ดูท่าว่าน่าจะเป็นหนังตลกเอาฮาก็อาจได้ ..ถ้ามอง "อีติ๋มตายแน่" เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่มีเจ้าพ่อเดี่ยวไมโครโฟน "โน้ส-อุดม" รับบทเป็นพระเอกชูโรง ...และการปล่อยตัวอย่างเรียกน้ำย่อยออกมาเป็นหนังล้อหนัง (ที่พี่โน้สแกโดนทุเรียนซัดแหนมตุ้มจิ๋ว ..รวดร้าวเสียยิ่งกว่าสายลับรหัสตัวเลข คนที่แบบอย่างซะอีก!!!) ซึ่งในมวลรวมของหนังไทยทั้งหมด ยังไม่มีใครกล้าทำจริงทำจังสักราย ..แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคาดหวังจากแควนๆพี่ท่าน
แล้วเมื่อได้บวกกับการผิดแผนที่แต่เดิมคิดจะทำหนังล้อหนัง เป็นอันต้องล้มเลิก เนื่องด้วยทุนสร้างไม่เอื้ออำนวยด้วยละก็ ..คงจะเรียกว่า เป็นความผิดหวังครั้งหนึ่งของแวดวงหนังไทยก็อาจได้ ที่อดเห็น "Scary Movie" ในแบบของเรา (ขออย่าเอาไปคิดถึงตระกูล "Epic Movie" ของคนละทีมผู้สร้าง..ที่แอบอ้างเครดิตถึงกันเป็นพอ)
แต่ผมก็ไม่ได้ยี่หระใดๆกับกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ (แม้ก็อดเสียดายไม่ได้ ที่ความคิดครั้งนู้น ก็นับว่าเข้าท่าเข้าทีอยู่) ..มิหนำซ้ำ ด้วยทุนสร้างสิบกว่าล้าน และการลดความใหญ่ของเนื้องาน ให้กลายมาเป็น หนังรักตลกปนอารมณ์ส่วนตัวในสไตล์แบบดมๆ ก็ช่างดูจะปราณีปราศรัย เอื้อประโยชน์ให้กับตัวผู้กำกับบันเทิงแนวอย่าง "ยุทธเลิศ สิปปภาค" ด้วยอีกต่างหาก
จากที่แต่ก่อนแรกเริ่ม จะคิดทะเยอทะยานมุ่งสู่การทำหนังตีหัวเข้าบ้าน(ในระยะหลังๆ นับตั้งแต่ "บุปผาราตรี 2") ..พี่ต้อม ยุทธเลิศ ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงสูง ผู้เป็นเจ้าของผลงานหนังที่นอกจากจะจ๊าบ เจ๋ง มีแนวทางของตัวเอง ไม่เหมือนใคร ก็ยังเป็นได้ทั้งความสนุก และน่าจดจำ ไปพร้อมๆกัน อย่างที่พิสูจน์ได้จาก "มือปืน โลก/พระ/จัน" หรือ "บุปผาราตรี"
ขณะที่เรื่องแรกได้น้ำพักน้ำแรงคณะตลกซูเปอร์สตาร์ (และประโยคที่ฮิตติดปากไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง "This is a Book") มาช่วยผลักดันไปถึง 100 ล้าน (ถ้าคิดว่า นี่คือผลงานเรื่องแรกแล้ว ..ก็เป็นก้าวแรกที่เดินได้ไกลมากๆสำหรับผู้กำกับหนังไทยสักคน) ..ส่วนเรื่องหลัง ก็มาจากเครดิตของตัวเองส่วนหนึ่่ง บวกกับปากต่อปากที่เล่าลือว่า สยองปนฮา ได้อย่างมีชั้นเชิง และใช้หัวคิดเยอะ เท่าที่หนังผีตลกของบ้านเราเคยทำกันมา
แม้ในความเป็นจริง ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะยกย่องให้ มือปืน และบุปผา เป็นที่สุดของงานยุทธเลิศ ที่อยู่ในขั้นมาสเตอร์พีซ..ที่ผมก็ยอมรับว่ามันคือความจริงเช่นเดียวกัน ...หากแต่ถ้าให้ถามถึงความชอบส่วนตัวที่มีต่อหนังของพี่ต้อมสักเรื่องอย่างมากที่สุดแล้ว ผมกลับคิดถึง "สายล่อฟ้า" มากกว่าเรื่องอื่นใดซะงั้น
ถึงใครๆจะบอกว่า มันลอกเลียนสไตล์ของหนัง 'กาย ริชชี่' ที่สร้างเรื่องโอละพ่อให้มาเกิดเป็นกงกรรมกงเกวียนหมูนเวียนกันไป ..หรือว่าใครๆจะบอกว่า มันมัวเน้นแต่ขายความตลกโปกฮา ผสมโรงกับความหยาบคาย (กระทั่งชื่อตัวละคร ก็ล้วนแต่ เป็น 'สัตว์' ทั้งนั้น) ...แต่ผมกลับรู้สึกจับต้องได้ด้วยเสน่ห์ของความง่าย แต่คิดเยอะ อันอยู่บนพื้นฐานที่เป็นตัวของพี่ต้อม ซึ่งไม่ว่าจะใน มือปืน หรือ บุปผา ต่างก็เคยมีเหมือนกัน ..หากแต่มันยังไม่ได้มาพร้อมความจริงใจ เท่าท้องเรื่องของหนุ่มนักเล่นพระ ที่ไปตกหลุมรักกะกิ๊กเจ้าพ่อใหญ่ ที่ก่อนหน้าจะมาถึงจุดจบอันแฮปปี้ ก็พานพบแต่บทพิสูจน์ความรักที่แสนทุลักทุเล ..และแม้ทั้งๆที่รู้ว่าบางอย่างมันจะดูติ๊งต๊อง เพ้อเจ้อ แต่ผมก็มองว่ามันเป็นลูกบ้า ในแบบฉบับของยุทธเลิศ ที่อาจลอกงานคนอื่นเขามา แต่พอทำจริงๆ ก็ให้รู้สึกว่ามันไม่เหมือนใครไปซะงั้น
ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะด้วยความที่ผมคิดถึง สายล่อฟ้า (และมีบ้างที่แบ่งปันไปยัง มือปืน บุปผา และ 'กุมภาพันธ์') ..คิดถึงหนังของพี่ต้อม ที่ชอบทำเหมือนๆคนอื่น แต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดให้เป็นความคิดของตัวเองไปเสีย ..อีกทั้งยังคิดถึงฝีมือคุณภาพ ที่ทำได้ทั้งหนังสนุกบนความบันเทิง ปนๆกับส่วนของสาระที่เข้มข้น แต่ก็ไม่เครียดจนเกินเลย ...จึงทำให้หนังเรื่องต่อๆมานับจากนั้น กลายเป็นเรื่องที่ไม่ผิดประเด็นใดประเด็นหนึ่งในที่นี้ ก็ต้องเป็นความผิดมหันต์กับการทำงานประเภทตีหัวเข้าบ้าน (ตามใจนายทุน) ที่สุดท้ายก็ล้วนแต่กลายเป็นหนังที่เลอะและเละ จนไม่เป็นเรื่องอันน่าจำแต่อย่างใด
แม้กระทั่งกับงานล่าสุดที่พี่ต้อมบอกหนักบอกหนาว่า "รัก|สาม|เศร้า" เป็นหนังที่เขาอยากทำมันด้วยหัวใจมากที่สุด ..แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่อาจเอื้อมจะอินกับสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอได้เต็มที่ ซึ่งต่อให้แม้ว่าตัวเปลือกจะซึ้งอย่างที่เจตนา แต่เอาลึกๆถึงหัวใจ ก็ยังรู้สึกว่า ความเป็นยุทธเลิศตัวจริงเสียงจริง คืนมาได้ไม่ครบถ้วนอยู่ดี
ฉะนั้นแล้ว ถ้าผมจะต้องยอมขอเสี่ยงฝากความหวังเอาไว้ให้กับหนังของยุทธเลิศอีกสักเรื่องกันจริงๆแล้วละก็ ...สิ่งสำคัญที่ถือเป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการจากผู้กำกับคนนี้ ก็คือ การกลับมาเหยียบแท่นผู้กำกับที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง กับหนังเรื่องนั้น ที่จะพิสูจน์ว่าเขาพร้อมแล้วที่จะกลับมาเป็น ยุทธเลิศ สิปปภาค คนเดิมที่เราเคยรู้จักเมื่อสมัยที่ก่อร่างสร้างความดัง เพียรสะสมจนเปี่ยมล้นไปด้วยความไว้ใจ
และแล้วในที่สุด การผิดแผนของ อีติ๋ม ที่จำใจต้องเปลี่ยนแปลงอย่างจำเป็น ก็ยังผลให้สิ่งที่ผมเฝ้ารอ ได้เกิดให้เห็นเป็นสิ่งที่ประจักษ์ตาสักทีว่า ...พี่ต้อม ที่ผมรัก เขากลับมาแล้ว!!!
"อีติ๋มตายแน่" ..เล่าเรื่องของผู้ชายธรรมด๊า ธรรมดา คนหนึ่งนาม [b"ตึ๋ง" ซึ่งเป็นคนที่ดูแต่ภายนอกแล้ว หากจะหาว่าเพี้ยนก็ใช่ จะด่าว่าบ้าก็ไม่เชิง ..หากแต่ภาพลักษณ์เบื้องหน้าที่มันทำตัวไม่น่าคบค้าสมาคมให้ขัดตา แต่ความจริงในหัวใจดวงน้อยๆของมันกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหงอย เหงา เศร้า เซ็ง ที่ชีวิตไอ้หนุ่มนักโชว์(กะเช้า..เป็นไกรทอง ตกมืด..เป็นมวยไทย) ไม่ได้มีความสุขอยู่บนกองเงินกองทอง เหมือนกับนักท่องเที่ยวที่มุ่งตรงมาหาความสุขสันต์ให้กับชีวิตที่ 'พัทยา' แห่งนี้
แต่กระนั้น เรื่องของปัญหาความจน บนสภาพอับโชค ก็ยังไม่อาจจะเทียบเท่าได้กับ อีกหนึ่งเรื่องของหัวใจดวงน้อยๆ ที่กำลังเรียกร้องหาความรักจากผู้หญิงสักคน.. ที่ถึงต่อให้ก่อนหน้าจะคิดรักใคร ก็มีแต่ไอ้ตึ๋งจะพยายามทำตัวเสแสร้ง ไปชิงบอกเลิกกับใครต่อใคร ทั้งๆที่ยังไม่เริ่มสายสัมพันธ์ใดๆให้ใจได้เริงร่าก็ตาม หากแต่ลึกๆแล้ว มันก็แค่ต้องการเอาชนะความกลัวที่ตัวเองจะเจ็บปวด ก่อนจะได้ลองรักกับใครสักคนที่เฝ้ารอ เพียงเท่านั้น
จนแล้วเมื่อ ไอ้ติ๋ง ได้เพิ่งจะลองประสบรักแรกพบเข้าจังเบอร์กับหญิงสาวชาวยุ่น "อิเตมิ" ที่หลงใหลในมวยไทย และ(อยากมีแฟนเป็น)นักมวย ..เรื่องของความกลัว ก็หมดความหมาย พร้อมงัดไม้ตาย ด้านได้อายอด เอามาเสริมพลังกล้า ซัดหมัดฮุคที่ปลายคาง และยัดเยียด อีติ๋มผู้นี้ ให้กลายมาเป็นของรักของตัวเองได้เพียงในเวลาไม่นานวัน
แต่แล้ว ในเวลาอีกไม่นานวันหลังจากเริ่มรักกัน ..ก็บังเอิญให้ อีติ๋ม ได้มาทำความรู้จักกับ "ฟ้าสะท้าน" นักมวยอีกคน ที่มีศักดิ์และศรี ดูดี และดูใหญ่กว่าใครในพัทยา ทั้งยังจะมีดีกรี เป็นไอดอลตัวจริงเสียงแท้ของนักมวยระดับต๊อกต๋อยเช่น ไอ้ตึ๋ง อย่างถอนตัวไม่ขึ้นด้วยอย่างนี้แล้ว ..ก็พาให้บังเกิด ศึกรักสามเศร้า ขึ้นมาด้วยความตั้งใจ (ที่ฝ่ายหนึ่ง.. ต้องการเย้ยหยัน... และอีกฝ่าย ..ต้องการทวงของรักคืน)
จากพล็อตเรื่องในเบื้องต้น เท่าที่คิดค้นขึ้นมาได้ด้วยหัวสมองของอีกหนึ่งอัจฉริยะทางด้านการสร้างเสียงหัวเราะของประเทศไทย ในภาวะที่หนังต้องเดินเครื่องเร่ง เตรียมเปิดกล้องให้เร็วที่สุด (เมื่อวัดจากช่วงสิ้นสุด 'เดี่ยว 7' ในเดือนมีนา ยันมาถึงเดือนตุลา เวลานี้ก็นับได้เพียง 6 เดือน) ..สิ่งที่เป็นไปใน อีติ๋ม ก็คงไม่ต่างจากพล็อตหนังชิงรักหักสวาท ด้วยเชิงกีฬา อีกนับหลายเรื่อง ที่รวมๆกันกับอารมณ์หนังตลกร้าย ที่สร้างมลภาวะของเรื่องราวให้ดูขบขันบนความเจ็บปนแสบ ตามแบบฉบับที่พี่โน้ส ควรจะถนัดนักกับเรื่องแนวๆนี้
แต่ถ้ามองอย่างละเอียด ว่านี่คือ งานเขียนบทชิ้นแรกที่พี่เขาได้ฝากเอาไว้ในแวดวงหนังแล้วละก็ ..ย่อมถือว่ามันเป็นครั้งแรกที่ทำออกมาได้ดีอย่างน่าจดจำ ...และถึงจะยังสะดุดเอาให้กับปัญหาบางอย่างที่ถือเป็นข้อจำกัดในเรื่องการสร้างความประทับใจ (ก็คงจะด้วยการที่ติดความขึ้เล่นของตัวเองมากไปหน่อย)
แต่มันก็พอจะอภัยกันได้ เมื่อเรื่องของความล้ำลึก แฝงนัยเสียดสีสังคม ทำออกมาได้สมกับคนชื่อ โน้ส ยันไปถึงปมประเด็นที่เขาผูกเอาไว้ แล้วสุดท้ายก็กลับมาขมวดให้จบลงได้ซึ้ง พอจะเค้นๆน้ำตาให้ไหลออกมาได้อยู่ ..และที่สำคัญ ความรู้สึกทุกอย่างจากตรงนี้ มันมาพร้อมกับความจริงใจ
ซึ่งถึงแม้ว่า งานนี้ จะไม่มีชื่อของ ยุทธเลิศ ยืนพื้นในฐานะของคนเขียนเรื่องอย่างที่เคยเป็นมาแต่ไหนแต่ไร ..หากส่วนของอารมณ์ และความรู้สึกอันถ่ายทอดจากบทหนังอีกต่อหนึ่ง ยังแทบจะล้วนแต่มีความเป็นยุทธเลิศ ปกคลุมอยู่ในนั้น เสมือนว่า พี่ต้อมเข้าสิงพี่โน้สให้คิด ให้เขียนออกมาแทนกันได้เลย ..และนี่แหละก็คือหนังบันเทิงฉบับพี่ต้อมของจริงที่ผมต้องการ
ฉะนั้นแล้ว อานิสงส์ความน่าจำของตัวบท ก็คงต้องขอบคุณไปถึงงานกำกับจากพี่ต้อมอีกด้วย.. ที่คราวนี้ทั้งดูไม่ฝืน ปลดปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินและเล่าของมันเอง ให้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ และไหลลื่น ...ทั้งยังทำให้เรารู้สึกและสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนในหนังเสมือนว่าเขาเป็นเพื่อนที่เรารู้จักคุ้นเคยกัน
จากคุณ :
OncE UPoN'-'a MaN
- [
วันออกพรรษา 12:22:56
]