CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    <<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Body of lies , Talking thriller ที่ว่าด้วยแผน ซ้อน แผน ซ้อน แผน ซ้อน แผน ซ้อน .... >>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (6 คน)
      ชอบ (16 คน)
      เฉยๆ (4 คน)
      ไม่ชอบ (2 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 30 คน

     20.00%
     53.33%
     13.33%
     6.67%
     6.67%


    น้ำส้ม ชวนคุยก่อนอ่าน :

    1. ส่งเทียบเชิญครับ  วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ช่วง บ่าย 3 - 4 โมงเย็น ถ้าใครไปงานมหกรรมหนังสือเข้ามาทักทายพูดคุยกันได้ที่ บูธ D12 ครับ จขกท.ไปอยู่ประจำบูธอยู่กับหนังสือเล่มใหม่ และ รอบังคับให้คนมารับเซ็นหนังสืออยู่ที่นั่นฮ่าฮ่าฮ่า




    ...เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และ อ่านความเห็นอื่นๆและชวนมาคุยต่อเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2008&date=15&group=14&gblog=107


    ... หลายคนบ่นว่าดูหนังแล้วมึนตึ้บ เพื่อป้องกันอาการมึนงง จึงขอเกริ่นพอให้เห็นภาพว่า เนื้อหาของหนังเริ่มต้นประมาณ

    มี ผู้ก่อการร้ายตัวพ่อ ชื่อ อัล ซารีม สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ด้วยการระเบิดสถานที่สำคัญในยุโรป

    ซีไอเอพยายามตามล่าตัวแต่หาไม่เห็นแม้เงาหัว เพราะ ระบบใหม่ของผู้ก่อการร้ายคือเลิกใช้ของไฮเทค แบบมือถือ แต่ใช้วิธีสมัยโบราณคือ ส่งข่าวแบบปากต่อปาก พูดคุยประชิดตัวกัน เพื่อไม่ให้ถูกดักจับได้

    ซีไอเอต้องแก้ลำด้วยการส่งสาย เข้าคลุกวงในเข้าไปในตะวันออกกลาง



    โรเจอร์ เฟอร์ริส ซีไอเอหนุ่ม มือหนึ่งด้านปฏิบัติการภาคสนาม ออกลงพื้นที่เข้าคลุกคลีขบวนการก่อการร้าย หาสายที่เป็นคนท้องถิ่น และ พยายามหาข้อมูลเพื่อสาวให้ถึง ตัวพ่อ

    โดยมี เอ็ด ฮอฟฟ์แมน ซีไอเอรุ่นพี่ ภาคทำงานนั่งโต๊ะ คอยคุมปฏิบัติการณ์เสมือนหัวหน้าของเฟอร์ริส อีกต่อ


    ... หนังพาเริ่มต้นไปแถบอิรักอิหร่านพล่านไปทั่วเพื่อสืบหาตัว อัล ซารีม แต่ข่าวล่าสุดยืนยันว่า อัล ซารีม น่าจะกบดานอยู่ในจอร์แดน แผนจึงเปลี่ยนไปด้วยการให้ เฟอร์ริส บินไปปฎิบัติการที่นั่น

    งานของเฟอริส คือ เข้าไปตีซี้กับ ฮานิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประเทศจอร์แดน เพื่อร่วมมือกันทลาย อัลซารีม ฮานิ ที่มีคาแรคเตอร์ออกแนวเหี้ยมเลือดเย็น มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือ จะมีอะไรกันจะจิ๊จ๊ะยังไงกันขอแค่ว่า ห้ามโกหก

    เฟอริส รับปากว่ามีอะไรจะบอกทุกอย่าง แต่ ปัญหาคือ เอ็ด ก็แอบ มุบมิบ สั่งการปฏิบัติการซ้อนจากฝั่งอเมริกา แถมมีข้อมูลเด็ดๆก็อุบไว้ และ เมื่อฮานิจับได้ คนซวยคือ เฟอริส




    ....เมื่อแผนล่ม เฟอริส ถูกส่งกลับอเมริกา จึงกลับไปถีบเอ๊ดซักหนึ่งที ด้วยข้อหาแส่ไม่บอกกัน และ มาวางแผนใหม่กับเอ็ด ด้วยจินตนาการบรรเจิดว่า ในเมื่อ หาตัวพ่อยากนัก เราก็สร้างผู้ก่อการร้ายตัวพ่อขึ้นมาในวงการอีกซักคน จัดฉากระเบิดซักนิดหน่อย เป็นเหมือนตัวล่อ พออีกฝั่งเห็นว่า มีใครริอาจมาประชัน ก็ต้องอยากติดต่อ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการร่วมมือก็ต้องการเก็บทิ้งไม่ให้ดังกว่า

    แผนนี้นอกจากจะเว่อร์แล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน เพราะ ผู้ก่อการร้ายที่สองคนนี้จะปั้นขึ้นมา คือ คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง ซึ่งถูกแฮคข้อมูลและถูกยัดข้อมูลปลอมๆไป ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าตัวพ่อรู้เมื่อไหร่ เขามีสิทธิซวยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    แผนนี้จะรอดหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่เดี๋ยวก็มีแผนใหม่อีก คือ เฟอริส ถูก ฮานิ เรียกกลับเข้าประเทศจอร์แดน ประมาณว่า ‘ข้ามองเจ้าผิดไป’ และ วางแผนกันใหม่ เพื่อโค่นล้ม ตัวพ่อ โดยเอ๊ดก็ดูอยู่ห่างๆพร้อมแผนในใจ

    และนั่นคือเรื่องราวของ แผนการ ซ้อน แผนการ ซ้อน แผนการ ซ้อน ... ที่รอทำคนดูมึนอยู่ในโรงหนัง




    ... ชื่อหนัง Body of lies จึงมีที่มาจากเรื่องราวข้างต้น ที่ว่าด้วยการ ‘ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ(lies)’ เพื่อเป้าหมายของตัวเอง แต่ละฝ่ายจึงพร้อมที่จะ โกหกเพื่อนร่วมงาน โกหกฝ่ายตรงข้าม โกหกพวกเดียวกัน ไปจนกระทั่ง โกหกประชาชน และ ผลลัพธ์ของการ โกหก ก็ขึ้นกับระดับศีลธรรมในจิตใจ ที่ทำให้ บางคนยิ่งใหญ่แต่ไร้ซึ่งความเป็นคน กับ บางคนที่ถูกความรู้สึกผิดไล่กัดกิน


    ... ตัวหนังจริง ค่อนข้างตรงข้ามกับ ตัวอย่างหนัง ที่แสดงถึง ความมันผ่านฉากแอคชั่นตูมตาม และ การหักเหลี่ยมของ เฟอร์ริส กับเอ็ด ราวกับจะเป็นหนังเฉือนคมประมาณ Infernal affair ที่ว่า ไม่รู้ใครหลอกใคร

    แต่เอาเข้าจริง ฉากแอคชั่นมันส์ๆโผล่มาแค่พอปลุกไม่ให้หลับเป็นระยะๆ และ การหักเหลี่ยมก็ไม่ได้เฉือนกันเหนือชั้นแบบนั้น เพราะทั้งเฟอร์ริสกับเอ็ด ไม่ได้หักเหลี่ยมอะไรกันเลย ออกมาในแนว หัวหน้าคอยกั๊กข้อมูล แอบทำลับหลังแล้วไม่บอกอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องดิ้นรอนหาทางเอาตัวรอด ไปพร้อมๆกับ ต้องหาทางพิชิตภารกิจให้สำเร็จ




    ... Body of lies ไม่ห่วย และ บทก็ดี เพียงแต่ มันเป็นหนังที่ต้องอาศัย สมาธิ และ เนื้อที่สมอง ค่อนข้างมาก กับ แผนการซ้อนแผนการซ้อน...ซ้อน... ซ้อนไปซ้อนมา ชนิดที่ว่า ถ้าสมาธิคนดูหลุดไปตอนไหน ก็จะมึน ว่า ใคร ทำอะไร กับ ใคร(ฟระ)

    จะมีน่าผิดหวังเหมือนกับ Eagle Eye ก็ตรง โครงเรื่องซีไอเอหลอกกันไปหลอกกันมาแบบนี้มีมาตั้งแต่ยุคคุณพ่อ และก็ไม่ค่อยต่างกันไปนัก และ หนังก็ไม่ได้พยายามจะหาจุดเด่นให้กับตัวเอง เมื่อเทียบกับเรื่องเก่าๆที่ถึงจะซ้ำแต่ก็ยังมีจุดแข็งในตัวเอง

    ไม่ว่าจะเป็น Spy game ที่ก็ไม่ได้แอคชั่นมากมายแต่สนุกมากกว่า หรือจะเป็น หนังซีไอเออีกเรื่องที่ลงถึงผลกระทบของการเป็นสายลับต่อครอบครัว และ ลงถึงสภาพจิตใจได้ลึกซึ้งกว่าอย่าง The Good Shepard


    ... ข้อดีของ Body of lies คือ บทของหนังถึงจะไม่ใหม่แต่ก็ไม่ชุ่ยและไม่หลวม ถือว่าค่อนข้างรัดกุมในการตามเก็บรายละเอียดไม่ค่อยมีรูโหว่ให้จับผิด ส่วนใหญ่ดูน่าเชื่อถือถึงจะออกเว่อร์ๆ

    และสำหรับคนดูที่ชอบหนังประเภท ‘สนุกคิด’ จะพบว่าถึงฉากตูมตามจะมีไม่มาก แต่หนังก็ทำให้เราเกิดความอยากรู้อยากติดตามไปจนจบ ถึงจะมีความเว่อร์จนยากจะเชื่อถือได้บ้างตรง แผนการวางตัวล่อ แต่ด้วยฝีมือการกำกับของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ ก็ยังหนักแน่นเพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกเว่อร์แต่พอจะเชื่อตามต่อได้จนจบ




    ... ริดลีย์ สก็อตต์ ยังคงรักษาตำแหน่ง ผู้กำกับที่มีผลงานวางใจได้ คือ ยังไม่เคยหลุดหนังที่เข้าข่ายห่วย จะมีดีกับพอใช้สลับกันไป เพียงแค่ ผมเองยังไม่เคยชอบเรื่องไหนของริดลี่ย์ สก๊อตต์ แบบสุดๆเลยซักเรื่องเดียว

    อีกส่วนที่ชอบของหนังเรื่องนี้คือ นอกจากการเล่นกับเรื่องราวของ ซีไอเอ หนังยังไปเล่นกับ ประเด็นผู้ก่อการร้ายกับตะวันออกกลาง ที่ทำออกมาได้ดูดีกว่าหลายๆเรื่อง

    การวิพากษ์นโยบายและมุมมองที่มีต่อประเทศชาติตัวเอง ทำได้เป็นกลาง ไม่โปรเกินไป และ ดูจริงใจมากกว่า หนังตะวันออกกลางเรื่องล่าสุดอย่าง The Kingdom กับอีกหลายๆเรื่องของฮอลลีวูดที่พยายามเหมือนว่าจะเป็นกลาง ผ่านบทพูดตอนท้ายประมาณว่าใครๆก็เลวทั้งนั้น หรือ จิกกัดประธานาธิบดีตัวเอง แต่ ภาพรวมของหนังเหล่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะ โปรและโชว์ความแน่ในสถานะพี่ใหญ่ตลอดเวลา




    ...ในขณะที่ Black hawk down หรือเรื่องนี้ไม่เกรงใจที่จะเสียดสีให้เห็นความกร่างและผลตอบแทนที่สาสม ซึ่งอาจไม่แสบเท่าหนังประเทศอื่นๆ แต่ก็จัดได้ว่า เป็นกลางและจริงใจดีที่สุดเมื่อเทียบกับหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์เวลาที่จะนำเสนอภาพของชาติตัวเองกับเหล่าผู้ก่อการร้าย

    ในเรื่องนี้ สถานภาพ ที่ กร่าง ของเอ็ด ประมาณ ตรูรู้ทุกอย่าง  คำพูดประมาณ ‘รู้ใช่มั้ย ถ้าหันหลังให้ต้องเจอยังไง’ ล้วนแสดงความเป็นพี่ใหญ่มหาอำนาจ ที่น่าหมั่นไส้ เป็นอย่างยิ่ง และ เฟอร์ริส ก็เหมือนประชาชนคนหนึ่งที่เลือกเป็นลูกน้องเดินตาม เอ็ด เพียงเพราะหวังจะทำในสิ่งที่ดีๆให้โลก

    แต่ สุดท้ายเขาก็กลายเป็นแค่ เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานที่ผู้มีอำนาจพยายามเอาชนะคะคาน ภายใต้ฉากหน้าที่ว่าด้วย การกำจัดคนชั่วให้หมดไป

    ซึ่งก็เหมือนกับ เพื่อนๆของเฟอรริสที่ต้องตายไปโดยไม่มีความหมายในสายตาของเอ็ด เพราะพวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนเป็น หมากตัวหนึ่งบนเบี้ยกระดาน ของผู้เป็นใหญ่เท่านั้นเอง

    ... จะว่าไป ถึง อัลซารีม(ตะวันออกกลาง) กับ เอ็ด(อเมริกา) อยู่คนละขั้วกันก็จริง และ ถึงแม้ อัลซารีม(ตะวันออกกลาง) จะถูกตีตราว่า ผู้ก่อการร้าย แต่ ในด้านความเป็นคน ทั้งคู่ก็แทบจะไม่ต่างกัน คือ มีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง และ พร้อมสังหารคนบริสุทธิ์ได้เพียงเพื่อตอบสนองชัยชนะที่ตัวเองต้องการ






    ... รัซเซล โครว์ เหมือนจะไม่ได้โชว์ออฟอะไร แต่ ผมชอบฝีมือเขาในหนังเรื่องนี้มากกว่า น้องลีโอ เพราะผมสังเกตว่า น้องลีโอ เล่นหนังดีแทบทุกเรื่องจริงๆ แต่พอได้ดูบ่อยๆก็พบว่า น้องลีโอ เล่นแพทเทิร์นเดียวกันตลอด เวลา เศร้า แอบรัก เจ็บปวด เซ็งเป็ด ปวดอึ ฯลฯ ทั้งสีหน้าแววตาท่าทางแทบจะถอดแบบกันมา เพียงเปลี่ยนคาแรคเตอร์กับเสื้อผ้าหน้าผม แต่ โครว์ รู้วิธีที่จะปล่อยหรือคุมการแสดงของตัวเองให้มากหรือน้อย ไปตามบทที่วางมา

    ในหนังเรื่องนี้แกอาจเหมือน ตาแป๊ะพุงโตนอนอืดคอยสั่งการ (ซึ่งความจริง โครว์ ลงทุนเพิ่มน้ำหนักให้พุงโตแบบนี้เอง) แต่บทแกจะยียวนกวนประสาท ก็แสบได้ใจ แผ่รัศมีความเก๋า ประชัน ความเหี้ยมนิ่งลึกของ ตัวละครฮานิได้แบบร้ายไม่แพ้กัน และ มาร์ค สตรอง ในบท ฮานิ ก็เป็นอีกคนที่เล่นได้เด่นแบบร้ายนิ่งลึก เปล่งประกายรัศมีไม่แพ้ โครว์และน้องลีโอเลย



    สรุป  ... ถ้า Bourne เป็นหนังสายลับแอคชั่นที่พาคนดูทัวร์ยุโรป Body of lies  ก็เป็นหนังสายลับที่เน้นการพูดและพาคนดูทัวร์ตะวันออกกลางแทน

    และต่อไปถ้ายังมีหนังแบบนี้อีก ผมขอตั้งชื่อแนวหนังประเภทเดียวกับหนังเรื่องนี้ว่า Talking thrillerฮ่าฮ่าฮ่า คือ ตัวละครพูดๆๆๆพล่ามๆๆๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่ ความตื่นเต้นชวนติดตามมาจากบทสนทนา ซึ่งถ้าคนดูชอบหนัง ‘สนุกคิด’ คนดูสามารถตามทันก็จะสนุกแต่ถ้าหลุดก็จะเซ็ง (คล้ายๆกับ Lion for lambs ที่ฉายในปีเดียวกัน)

    ไม่ใช่หนังที่ ดีเลิศ ของริดลี่ย์ สก็อตต์ แต่ก็เป็นหนังที่อยู่ในระดับดีและผมเองก็สนุกไปกับมันจนจบ ถึงจะมีเบื่อนิดๆช่วงต้นเรื่องก็ตาม



    love “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานหนังสือเล่มล่าสุดที่ว่าด้วย หนัง ,แรงบันดาลใจ และกำลังใจ ที่ชื่อว่า เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป ด้วยครับผม


    ideaบทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)


    American Gangster , โลกนี้ไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=06-10-2008&group=14&gblog=103

    Lions for Lambs , ส่งเสริมสิงโต ตรวจสอบแกะ และ ลงมือทำ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=14-11-2007&group=14&gblog=43

    The Good Shepherd , จะลงเรือทั้งทีคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=03-2007&date=27&gblog=227

    เวียนเฮดกับแฮนด์เฮลด์ ใน The Kingdom + สัจธรรมของความกร่าง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=17-10-2007&group=14&gblog=38

    อีติ๋มตายแน่ , มันเป็นฝันร้ายของคนธรรมดาๆ และ มันเป็นปัญหาของทัศนคติกับคุณค่าในตัวเอง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=14-10-2008&group=14&gblog=106

    แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 51 10:44:46

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 16 ต.ค. 51 09:42:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom