| ชอบมาก ห้ามพลาด (15 คน) |
| ชอบ (26 คน) |
| เฉยๆ (21 คน) |
| ไม่ชอบ (7 คน) |
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (4 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 73 คน |
เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + เชิญชวนมาคุยเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=28-10-2008&group=14&gblog=111
... ผมลังเลว่าจะอ่านหนังสือก่อนหรือดูหนังก่อน แต่ในงานหนังสือ บุหงาปารี ต้นฉบับของหนังยังไม่วางขาย จึงเลือกดูหนังก่อน
ปืนใหญ่จอมสลัด กับ ความน่าเสียดาย
... ผมเชื่อว่า คนดูที่อยากไปดูเรื่องนี้ มีจุดสนใจหลักๆอยู่สามอย่าง
1.หนังของนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับหนังฟอร์มยักษ์ผู้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆเสมอ ที่ทำให้ทุกคนชื่นชมจาก 2499 , นางนาค ฯลฯ
2. งานเขียนบทครั้งแรกของวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนผู้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และขยันหาข้อมูล เจ้าของสองซีไรท์ และ เจ้าของงานเขียนทุกชิ้นที่อยู่ในระดับดีถึงดีมาก
3. หน้าหนังที่ออกมาเป็นแอคชั่น แฟนตาซี ฟอร์มใหญ่ ที่ดูตัวอย่างแล้วน่าประทับใจ ไม่ก๊องแก๊งเหมือน โจรสลัดปูอัดตัดแปะ ที่เคยลงโรงบ้านเราในอดีต แถมยังได้นักแสดงแนวหน้าหลากยุคตั้งแต่รุ่น สรพงษ์ จารุณี จนถึง อนันดา
... จุดเด่นในงานเขียนของคุณวินทร์ที่ผมชื่นชอบและติดตาม คือ เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความช่างคิด ความแม่นยำและแน่นของข้อมูล มีเหตุผลรองรับในแต่ละการกระทำ มีที่มาที่ไปของการมาของแต่ละตัวละคร และ อาจจะมีเซอร์ไพรส์เล็กๆให้ประหลาดใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่ในหนังสือนั้นไม่โดดเด่น คือ การที่งานของคุณวินทร์มักจะอัดแน่นด้วยความคิด เด่นในส่วน story แต่ อ่อนในส่วนอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ขาดพลังมากพอจะส่งต่ออารมณ์มาสู่คนอ่าน
ซึ่งผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นกับงานของคุณนนทรีย์
หากไม่นับ โอเคเบตง ที่ผมไม่ได้ดู ทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ผมมองว่า หนังของคุณนนทรีย์เป็นหนังที่มีคุณภาพ ดูสนุก และ ค่าเฉลี่ยของแต่ละองค์ประกอบเช่น งานสร้าง , บท ฯลฯ อยู่ในเกณฑ์สอบผ่าน หากแต่ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ติดตรึงใจ หรือ ชอบสุดๆ
ไม่มีชิ้นไหนที่ตัวละครสามารถถ่ายทอดความลึกของ มนุษย์ ให้ออกมาได้ชัดเจน ดังนั้น งานที่ผมชอบที่สุดของเขาจึงเป็น จัน ดารา ที่ดูแล้วรู้สึกเข้าถึงตัวละครได้มากกว่าเรื่องอื่น
ในขณะที่ นางนาก หรือ 2499 ที่หลายคนชื่นชอบ ผมกลับรู้สึกแค่ว่า เป็นหนังไทยที่เหนือระดับมาตรฐานในตอนนั้น เป็นการปฏิวัติและยกระดับหนังไทยในยุคนั้นแต่ไม่ได้รู้สึก อินไปกับตัวละครของหนังทั้งสองเรื่องเลย คุณนนทรี สามารถ คุมหนังทั้งเรื่องให้ไปแบบเนียนๆ แต่ ยังไม่สามารถรีดการแสดงของนักแสดงออกมาได้เต็มที่
.... เมื่อสองคนนี้มาจับมือกันสร้างปืนใหญ่ ก็ทำให้ ปืนใหญ่จอมสลัด ออกมาไม่ต่างจากที่คาด
นั่นคือเป็นหนังที่ดูสนุก ดูได้เพลิน และ มีช่วงเวลาสะดุดหรือแปลกแยกไม่มากนัก
แต่เมื่อพิจารณาจากคนมากฝีมือทั้งสองคน พิจารณาจากต้นทุนดั้งเดิมที่หนังมี ก็รู้สึกว่า น่าเสียดาย เหลือเกิน
เพราะจากเค้าโครงเรื่องที่ผูกปมประเด็นไว้อย่างน่าสนใจ บวกกับงานCGที่ค่อนข้างมีคุณภาพ เมื่อเทียบกับภาวะหลอกตาคนดูในหนังไทยแฟนตาซีที่ผ่านๆมา ผสมกับความสามารถในการคุมหนังฟอร์มใหญ่ได้ดีจากอดีตของคุณนนทรีย์ ทำให้หนังเรื่องนี้มีศักยภาพมากพอที่จะออกมาเป็น หนังแอคชั่น-ดราม่า-แฟนตาซี ชั้นเยี่ยมที่มีปมประเด็นให้น่าจดจำ
แต่หนังเรื่องนี้ไปได้ไกลแค่ว่าเป็น หนังที่ดูสนุกดี ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว หรือเป็นคำชมแบบที่ว่ากันว่า อย่างน้อยก็เป็น หนังไทยที่ดีกว่าหนังไทยอีกหลายๆเรื่อง'
....จริงอยู่ เทียบกับหนังไทยอีกหลายๆเรื่อง ผลงานหนังไทยของคุณนนทรีย์ชิ้นนี้คุณภาพค่าเฉลี่ยโดยรวมจัดอยู่ในเกณฑ์ดีและดูสนุก ไม่ถึงกับเสียดายตังค์เหมือนหนังไทยฟอร์มยักษ์หลายรายที่มาตีหัวคนดูเข้าบ้าน และเมื่อเทียบกับ บทหนังหนังอีกจำนวนมาก งานเขียนบทของคุณวินทร์เรื่องนี้ดีกว่าอีกหลายๆเรื่อง
แต่ข้อดีเหล่านั้นของหนังไม่ว่าจะเป็นบท หรือ การเล่าเรื่อง ยังไม่ได้ถึงขั้นระดับ ท๊อปฟอร์ม ของหนังไทยที่เคยทำได้ดี และ มีหนังไทยอีกหลายเรื่องที่ทำได้ดีกว่านี้
จุดที่ผมคิดว่า ดีมากเหนือกว่าหนังไทยระดับท๊อปเรื่องอื่นๆ มีอยู่แค่สองอย่างคือ
1. CG ที่ดีกว่าหนังไทยแทบทุกเรื่องที่เคยพยายามจะโชว์ของ
และ
2.ความเป็นหนังอีพิคฟอร์มใหญ่ ที่มีจุดด้อย หรือจุดโดดจุดสะดุดน้อยกว่า หนังประวัติศาสตร์หรือหนังสเกลใหญ่ของไทยเรื่องอื่นๆที่เคยทำมา เป็นการยืนยันว่า ถ้าจะทำหนังที่ต้องใช้ทุนหนาและมีโครงสร้างใหญ่ คุณนนทรีย์เป็นตัวเลือกที่มีความเสี่ยงน้อย เขาสามารถหาคุมหนังอยู่และหาจุดสมดุลให้หนังได้ประมาณหนึ่ง ซึ่งผู้กำกับเก่งๆหลายคนไม่สามารถทำหนังลักษณะนี้ได้ราบรื่นเท่า
...จุดที่น่าเสียดายและบั่นทอนคุณภาพหนัง เข้าอีหรอบเดียวกับหนังไทยฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนักแสดง
เพราะเมื่อไหร่ ที่หนังไทยต้องใช้นักแสดงจำนวนมาก ดูเหมือน ผู้สร้างก็อดไม่ได้ที่จะ ระดมพลนักแสดงที่มีชื่อมารวมกัน กระจายบทเล็กบทน้อยให้ แต่ผลลัพธ์กลับทำให้รู้สึกโดดๆ และ ไม่เป็นธรรมชาติ
บางคนก็ปล่อยรังสีเฮ้ากวงเกินบท บางคนบทก็ควรจะเป็นสามัญชนแต่คนดูก็รู้สึกสะดุดกับความดังที่เจ้าของบทกลบไม่มิด ซึ่งถ้าให้นักแสดงโนเนมแต่เล่นดียังอาจจะดีเสียกว่า
ปัญหาของนักแสดงไทยที่เห็นได้ชัดเวลามารวมพลในหนังฟอร์มยักษ์แบบนี้ คือ พยายามแสดงจนบางคนดูโอเวอร์แอคติ้ง บางคนดูเกร็งๆ บางคนก็แข็งๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ที่น่าเป็นห่วงคือ ไม่ใช่แค่ตัวประกอบ แต่รวมไปถึง ตัวละครสำคัญๆ อย่าง ติ๊ก เจษฏาภรณ์ ที่แทบจะไม่ได้พูดจาภาษาติ๊กเลย หรือ เดี่ยว ชูพงษ์ , วินัย ไกรบุตร ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เล่นได้ขาดความลึก
...จะโทษบทก็คงได้ที่มันตื้นเกินไป แต่ นักแสดงเองก็ไม่สามารถปล่อยของออกมาได้เช่นกัน และ เมื่อเจอไดอะล้อกที่ขาดความต่อเนื่อง บางช่วงก็พูดแบบสมัยใหม่ บางช่วงก็หลุดไปเป็นแนวละครจักรๆวงศ์ๆก็มีส่วนเสริมให้แย่ลง
มีเพียงคุณจารุณีที่บทส่งให้เด่น แม้จะแบนราบเหมือนตัวละครอื่น แต่เธอก็ทำออกมาได้ดีมาก กับ อีกสองคนที่ดูธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อรวมกับคนที่เล่นหนังเก่งๆนั่นคือผู้ที่รับบท องค์หญิงอูงู กับ น้องสาวชาวจีน (ไม่รู้เพราะความน่ารักกับความขาวบังตาจนมองข้ามเรื่องความสามารถหรือไม่
)
....ปัจจัยสำคัญอีกข้อหนึ่ง ซึ่งหนังฟอร์มยักษ์มักจะมี และ เป็นจุดทำให้มีแฟนเหนียวแน่นในหนังเรื่องนั้นๆ แต่หนังเรื่องนี้ขาดหายไปนั่นคือ การขาดเสน่ห์ของตัวละครอย่างรุนแรง หากนึกไม่ออก ลองนึกภาพ Pirates มีแจ๊ค สแปว์โรว หรือ LOTR มีกอลลั่ม
แต่ ปืนใหญ่ฯ ไม่มีตัวละครตัวใดที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เราชื่นชอบหรือเกลียดชังหรือมีอารมณ์ขัน เหมือนทุกคนยืนอยู่ในระนาบเดียวกัน ซึ่ง เหตุผลย่อมมาจากตัวนักแสดงที่จับจุดเด่นในบทของตัวเองไม่ได้ บวก ผู้กำกับที่ไม่สามารถตีความหรือรีดฝีมือจากนักแสดงได้ รวมไปถึง ตัวบทที่ไม่สนใจมิติในเชิงลึกของตัวละคร
...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หนังแอคชั่นหรือหนังที่มีโครงเรื่องใหญ่ๆ จะไม่ได้เน้น ความลึกในนิสัยใจคอหรือปูมหลังของตัวละครให้มาก เหมือน หนังดราม่าที่มีโครงเล็กๆ
แต่อย่างน้อย บทหนังก็ควรจะมีความลึกประมาณหนึ่ง ซึ่ง การละเลยอย่างในหนังเรื่องนี้ก่อผลเสียใหญ่หลวง นั่นคือทำให้เรา ขาดความรู้สึกผูกพันกับตัวละคร ขาดความรู้สึกคล้อยตามไปกับอารมณ์เจ็บปวด เศร้า เคียดแค้น เกลียดชัง ขาดความเชื่อถือในการกระทำของตัวละคร
ตัวอย่างที่พอจะยกได้ เช่น บทหนังไม่ทำให้ผมเชื่อในความรักของ ผู้ชายที่มั่นคงในรักอย่าง ปารี ไม่อินกับความแค้นสุมอก และ งงๆไปกับรักใหม่ของ ปารี กับ อูงู เพราะ ความรักเดียวใจเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีที่ถูกวางไว้ของปารี ถูกบทหนังย่ำยีด้วยการไปรักคนอีกหนึ่งคนเพียงแค่ติดเกาะช่วงมรสุมเท่านั้น หรือ แววตาที่คนดูงงๆว่า ตกลงจะรักหรือเปล่าระหว่าง ยะรัง กับ บิรู
ซึ่งก็คงอธิบายได้จากที่มาถึงตัวตนของคนสำคัญสองคนของหนังเรื่องนี้ ที่ว่าไว้ตอนต้น ว่าความเยี่ยมของผลงานคุณวินทร์กับคุณนนทรีย์ ส่วนใหญ่เป็น ความยอดเยี่ยมในเชิงความคิด (intellectual) หาได้เป็นในส่วนของ อารมณ์ความรู้สึก(emotional) พอมาเจอความตื้นเขินของบทยิ่งส่งให้เห็นจุดอ่อนชัดเจนขึ้น
... บทหนังยังน่าผิดหวังตรงการขยันตัดจนคนดูประหลาดใจ บวกกับการตัดต่อที่ตัดบ่อยๆจนไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทำให้บางตอนดูงงๆ ขาดๆหายๆ เช่นตอนแรกบอกว่าอูงูจะไปไกล อีกนานกว่าจะกลับ แต่ไหงอูงูกับเจ้าชายปาหังโผล่มาท่ามกลางทหารที่กำลังปฏิวัติยืนยิงได้อย่างเท่
(ซึ่งหนังสืออาจจะบอกไว้ แต่ผมเชื่อเสมอว่า หนังที่ดี ไม่ใช่ว่าต้องอ่านหนังสือจึงจะตอบข้อสงสัยได้)
หรือ การที่ทำให้องครักษ์เดี่ยวน่าจะตาย แต่ดันยืนยิ้มเผล่ได้ในตอนท้าย
และ สิ่งที่หนังยังทำได้ไม่ดีพอ คือ ความยิ่งใหญ่ ที่หนังพยายามเสนอไม่ทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวหรืออาณาจักรของหนังใหญ่เท่าไหร่เลย เพราะ มุมกล้องและการเลือกนำเสนอ แบบแคบๆและซ้ำๆ เช่น ถ่ายปราการเมืองก็ถ่ายแต่มุมเดิมๆ ไม่ถ่ายจุดอื่นของอาณาจักร หรือ ถ้ำที่วนๆไปเวียนมา ผมเลยไม่รู้สึกว่า ที่อยู่ของกระเบนขาว , ที่ซ่อนของอีกาดำ และ เมืองลังกาสุกะ อยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่เหมือนไปตัดถ่ายเป็นจุดๆเสียมากกว่า
(มีต่อ)
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 51 10:02:31
จากคุณ :
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
- [
28 ต.ค. 51 09:59:37
]