| เกรด A -> 9-10 คะแนน (19 คน) |
| เกรด B -> 6-8 คะแนน (14 คน) |
| เกรด C -> 3-5 คะแนน (3 คน) |
| เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 36 คน |
ตามประสาของคนขี้สงสัย ..ผมเคยนึกตั้งคำถาม และอยากจะได้คำตอบว่า "เพราะเหตุใดกันหนอ ความรักถึงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ?"
ซึ่งแม้ในโลกใบนี้ จะยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ชวนให้น่าสงสัย ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ใครเป็นผู้กำหนดเรื่องราวของมัน ..แต่เรื่องของความรัก เป็นหัวข้อแทบจะหนึ่งเดียว ที่สามารถนำมาโต้แย้ง หาข้อกล่าวอ้างได้ต่างๆนานา ...ช่างน่าฉงน ที่คำถาม 1 คำถาม ที่ว่าด้วยความรัก จะสามารถมีคำตอบในตัวของมัน ได้เป็นแสนเป็นล้านเรื่อง และแต่ละเรื่องก็ยังมีจุดขัดแย้งในตัวของมันเองได้อีกต่างหาก
ลองมองเช่นในกรณีของ "บิ๊ก D2B" ..หนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์ ที่โด่งดังเป็นพลุแตก เพียงแค่ออกอัลบั้มแรก เป็นตัวอย่าง
จากคนหนึ่งคนที่ใครๆก็มองว่าเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ผู้ที่ชีวิตยังคงเจอะเจอกับความสำเร็จได้อีกเยอะ ..กลับต้องมามลายจบสิ้น ทั้งความฝันและความจริงในเวลาเดียวกัน เมื่อรถที่เขาโดยสาร เกิดอุบัติเหตุ และตกลงสู่คลองหนองน้ำอันสกปรก ..นั่นคือจุดเริ่มต้นของการจบชีวิตอย่างไม่เป็นทางการ ของนักร้องที่เคยดัง แต่ต้องมาดับเพราะเชื้อแบคทีเรียที่ขึ้นสมอง จนกลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ..ผู้ที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย เหลือก็แต่ความมืดมนที่บังตาเขาเอาไว้เพียงเท่านั้น
คุณหมอเจ้าของอาการ เคยได้บอกเอาไว้แต่แรกว่า เปอร์เซ็นต์ในการรอดชีวิตของ บิ๊ก มีอยู่ต่ำจนเกินจะลุ้นได้ ..ในเมื่อสมองที่เป็นส่วนกำหนดของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นชีวิต ได้ถูกสิ่งแปลกปลอมกัดกินอย่างรวดเร็ว และรุนแรง จนกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินในการจะสกัดกั้นให้มันอ่อนแรงลง ...และถึงแม้จะมียาดี ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างเห็นผลก็จริงอยู่ แต่ถ้าหักลบกลบหนี้กันจริงๆ ก็ไม่อาจจะฆ่าได้หมดอยู่ดี
ตลอดระยะเวลานับ 3-4 ปี แห่งการเป็นเจ้าชายนิทราของ บิ๊ก ..เราอาจจะเคยได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ปาฎิหาริย์ เกิดขึ้นมากับผู้ชายคนนี้หลายครั้งหลายครา ...ไม่ว่ามันจะเกิดมาจากแรงใจของประชาชนทั่วไป หรือกับคนในกลุ่มแฟนคลับที่ต่างภาวนา วิงวอน หรือกระทั่งยอมบนบานให้นักร้องหนุ่มคนนี้ ได้ลืมตาตื่นมาเจอพวกเขาอีกครั้ง ...แต่ถึงอย่างไรจะพยายามถึงที่สุดแล้ว คนเรามันก็ยังมีกรรม และกรรมๆนี้ ก็คือ การได้เห็นพ่อแม่ของบิ๊ก ยอมจะเลิกยื้อชีวิตลูกชาย ถอดสายอ๊อกซิเจนออก พร้อมสั่งลาของขวัญที่พวกเขาภูมิใจ และต้องยอมเสียไปทั้งน้ำตา
คำถามที่ผมนึกสงสัยในเรื่องนี้ มันอาจจะเป็นคำถามที่แฟนคลับของบิ๊กไม่เคยคิด และคงไม่อยากคิดเพื่อบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง ..เพราะมันเป็นคำถามของคนหนึ่งคนที่เห็น บิ๊ก เป็นนักร้องชายที่โด่งดังคนหนึ่งเท่านั้น ..และคำถามนั้นก็คือ ความอยากรู้ของคนขี้สงสัย ที่ว่า "ทำไมหนอ? พ่อแม่ของบิ๊ก จึงยอมให้เวลา 3-4 ปีที่แสนจะร้าวรานใจ ..ใช้มันหมดไปกับการดูแลชีวิตลูกชายของพวกเขา ที่รู้ทั้งรู้ว่า คงไม่อาจตื่นขึ้นมารับรู้อะไรบนโลกนี้ได้อีกต่อไป.."
แม้ผมจะเข้าใจอยู่อย่างว่า มันเป็นเพราะความรัก ..แต่ที่ไม่เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ คือ การเลือกจะแบกชีวิตคนหนึ่งคน เอาไว้บนบ่าของคนสองคน.. ทั้งๆที่ถ้าเขาคนแรกยังคงลืมตาอยู่ ก็ควรจะได้เป็นเขาที่เป็นฝ่ายต้องอุ้มชูสองคนหลัง ไม่ใช่เหรอ?
หรือแท้จริงแล้วที่ผมคงไม่อาจจะเข้าใจ ..มันก็เป็นไปเพราะ ผมยังไม่เคยเจอเรื่องราวอย่างนี้กับตัวเอง ใช่ไหม?
แล้วถ้าสมมติว่าผมต้องเจอ ..ผมจะตัดสินใจ ยอมแลกชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อบูชาสิ่งที่เรียกว่า ปาฎิหาริย์ อันไม่อาจรู้ได้ว่า มันจะมี หรือไม่มี ..หรือเปล่า?
แม้จะนึกสงสัยในคำถามๆนี้ ก็เป็นจริงอยู่ ...แต่ถึงจะอย่างไร หากเลือกได้ ผมก็ต้องไม่อยากทำใจ จะตอบคำถามนี้ของตัวเอง ให้คนอื่นๆได้รับรู้ อย่างแน่นอน
ฉะนั้นแล้ว การมาของหนังไทยแนวรักๆเลิฟๆเรื่องใหม่ ในชื่อภาษาอังกฤษที่คุ้นเคยสำหรับทุกคน ว่า "Happy Birthday" ...การมาพร้อมกับพลอตเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของความรักที่ต้องยอมแลกด้วยชีวิต จึงนับเป็นประเด็นแรกๆที่ผมสนใจ และอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่หนังจะบอกกล่าว ..เพราะเชื่อว่า มันคงจะตอบคำถามที่ผมเคยสงสัยได้ ไม่มากก็น้อย
ผลงานหนังรักเรื่องที่ 2 ในแบบ "พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" เรื่องนี้ ..เล่าเรื่องของหนุ่มสาววัยทำงาน ที่คนหนึ่งเป็นช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยว และอีกคนทำงานเป็นไกด์นำทัวร์ ..สองคนที่มีความเหมือนในการทำงานด้านการท่องเที่ยว ได้มาพบเจอและรู้จักกันจาก ความซุกซนของสาวเจ้าที่บ่อนทำลายหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง ซึ่งฝ่ายหนุ่มติสต์กำลังคิดจะซื้อ ..หากเขาต้องพบเจอว่ามันมีรอยขีดเขียน ตัวหนังสือ ภาพวาด จากฝีมือของคนนิรนาม และก็ด้วยความอยากรู้ว่าใครหนอถึงได้ทำตัวร้ายกาจอย่างนี้ ..เขาจึงวางแผนจะดักเจอตัวเพื่อต่อว่าในความไม่มีมารยาท
แต่เมื่อ "เต็น" ได้พบหน้า "เภา" สาวนิรนามคนนั้นเข้าอย่างจังกันจริงๆ ..มันกลับทำให้เขาตกหลุมรัก ในความสดใส มองโลกในแง่ดี ของเธอเข้าอย่างจังเช่นกัน
และด้วยความกล้าที่มีเปี่ยมล้น เต็น ก็เลยใช้เวลาไม่นานเสนอหน้า ขอตัวเป็นแฟนเธอ ...หากแต่ เภา ก็ยังต้องการการพิสูจน์จาก เต็น ว่าเขาจะเป็นแฟนที่ดีพอสำหรับเธอได้จริงๆ
แต่เมื่อ เภา ได้เจอหน้า และทำความผูกพันกับ เต็น ไปเรื่อยๆ ..ความแน่ใจของเธอ ก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้นไป และทำให้เธอพร้อมจะเต็มใจเป็นแฟน กับเต็น ได้เสียที
หากเวลานั้น เมื่อมันจะมาถึงจริงๆ ..ก็กาลกลับให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมต่อหน้าต่อตาของ เต็น ...และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตที่เหลือของเต็น มันก็ได้ตกเป็นของของ เภา แต่เพียงผู้เดียว โดยสมยอม
ด้วยเพราะ เต็น ยังเชื่อว่า ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริง ..และมันจะเกิดขึ้นกับเขา เพราะความรักที่เขามีต่อเภา มันมากมาย เสียจนเข้าใจว่า มันสามารถจะปลุกชีวิต ฟิ้นพลัง ให้เภาตื่นขึ้นมารับรู้ถึงความรักที่เขามีต่อเธอได้ในที่สุด
คงอาจไม่ใช่แค่ เต็น เท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ..บนโลกนี้คงยังจะมีอีกหลายคนที่คิดในแบบเดียวกับเขา และเชื่อว่า ความรักที่มีให้กับใครคนนั้น มันจะสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งปลุกชีวิตของคนที่ทางการแพทย์ชี้นำว่าตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาเหมือนเป็นปกติได้อีกครั้งหนึ่ง
ผมไม่กล้าตัดสินใจได้หรอกว่า สิ่งที่ คนในแบบเดียวกับ เต็น คิด มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ..ในบางมุมมอง เราอาจจะคิดว่าเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง เพื่อดื้อดึงจะยื้ออะไรก็ได้ ให้มันดีขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั่งว่าความเป็นไปได้ของมันจะมีน้อยกว่าครึ่งก็ตามที ...แต่ในบางมุมมอง มันก็คือการให้กำลังใจตัวเอง ที่ไม่สำคัญว่าใครจะรู้สึกอย่างไร ขอแค่ให้ตัวเราอยู่กับมันได้ และสักวันสิ่งดีๆที่เพียรทำมาให้ มันคงจะบังเกิดผลดีกลับมา
แต่อย่างไรแล้ว ผมก็เชื่อว่า สิ่งที่ คนในแบบเดียวกับ เต็น คิด และได้ลงมือทำ ..มันคือ เรื่องของความเสียสละ หรือที่เราเรียกมันง่ายๆว่า 'การให้' ..อันเป็นสิ่งที่ทางพุทธ ยึดว่า ยิ่งใหญ่กว่าวิธีใดๆในการทำบุญ
แล้วก็ด้วยความเชื่อในสิ่งนี้ ที่ผมรู้จัก และถูกเล่าออกมาให้เห็นภาพ ผ่านภาษาของหนัง ...มันเลยสะท้อนกลับมาเป็นคำตอบให้กับคำถามที่ผมนึกสงสัยว่า ทำไมความรัก ถึงเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ?
กรณีของการเสียสละ มันก็คือตัวเดียวกันกับการให้ความรัก นี่แหละ ...เพราะถ้าเราได้ลองรักใครสักคนขึ้นมา สิ่งแรก สิ่งที่สอง และสิ่งต่อๆมาที่เราจะทำให้ความรักนั้นมีรูปธรรม เพื่อให้คนที่เรารักได้เห็นภาพ และจับต้อง ..มันก็ล้วนแต่ต้อง มีการเสียสละ ให้แลกได้มาซึ่งความสุขใจในปลายทางทั้งนั้น
เพียงหากกับกรณีของ เต็น อาจจะแตกต่าง ..ที่การแลกมาซึ่งความสุขใจในปลายทางที่เขาคาดหวัง มันกลับระทมตรอมตรมไปด้วยทุกข์ตลอดทาง
เพราะขณะที่คนอื่น สามารถจะบอกรักให้คนที่เขารัก ได้ยินได้ฟังทุกวัน ซึ่งอาจยังมีปฏิกิริยาตอบกลับจากใครคนนั้นเป็นคำว่ารัก อีกเช่นกัน... หากกับ เต็น ผู้ที่ได้แต่ออกแรงกระทำแทนคำพูด ใช้หัวใจ เป็นเครื่องต่อชีวิตให้เภาไปวันๆ หากกระนั้นเธอก็ไม่สามารถจะยินดียินร้าย และตอบกลับจากปาก มาได้เพียงความเงียบงัน กับเสียงหัวใจเต้นที่ทำได้แค่บอกสถานะว่าเธอยังหายใจอยู่
ฉะนั้นแล้ว การเสียสละทางการลงมือทำของเต็น จึงเหนื่อยและหนัก ไปกว่าการเสียสละคำพูดแค่ไม่กี่คำ เพี่อแสดงความรักอย่างมั่นคงของคนทั่วไป
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้เรา รู้สึกว่าเราโชคดีได้อย่างไร ..ในเมื่อโลกใบนี้ ยังมีคนบางคน ที่พบเจอเรื่องเลวร้าย อันแลกมาด้วยความรัก
และถ้าลองว่าเป็นเรา ต้องเจออย่างเขาแล้ว ..เราจะสามารถอดทนอยู่กับมันได้หรือ? แล้วถ้าทำใจจะต้องอยู่ด้วย ..เรายังจะสามารถอยู่กับมันได้นานแค่ไหนกันเชียว?
เมื่อเราได้ลองย้อนกลับมามองในเรื่องของความรัก ที่ไม่ได้มีความหมายว่าเป็น แฟน อีกด้วยล่ะ ...เราก็แทบจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปเลย เมื่อเอาความยิ่งใหญ่ของรักแบบหนุ่มสาว ไปเทียบเคียงกับคนบางคน ที่ต้องทรหดอดทน รักใครสักคน ตลอดเวลา โดยที่การเสียสละนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับการตอบกลับด้วยความดี ทุกครั้งไป
Happy Birthday คงตั้งใจจะให้เราไม่มองเรื่องราวของมันในมุมเดียวแบบที่หนังรักทั่วไปเขาพีงเป็นกัน ..หากแต่มันยังจะครอบคลุมไปถึงการเสียสละในรูปแบบอื่นๆ ที่มีศักดิ์เป็นได้ทั้ง พ่อแม่-ลูก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือกระทั่งคนอื่นๆทั่วไปที่เราอาจไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่จังหวะจะรู้จักมันก็มาไม่ทันตั้งตัว (สมมติตัวอย่างเช่น.. เราอาจจะบังเอิญไปขับรถชนคนจนบาดเจ็บขั้นโคม่า มันก็ต้องกลายเป็นเราที่จะเพียรดูแลให้เขารอดตาย เพื่อไม่ให้มีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต)
เพราะเรื่องของความรัก ไม่ได้ตายตัว เพียงแค่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรักกัน และพร้อมจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือเพื่ออยู่ใกล้ชิดไปจนวันตาย ...หากมันมีแนวทางอื่นๆที่แตกต่างอีกมากมาย อันต่างล้วนก็ต้องใช้กลวิธี การให้ เพื่อพิสูจน์ใจให้ใครคนอื่นได้รับรู้ และให้กลับเพื่อตอบแทน
ถึงแม้ว่าความรักนั้น มันต้องเสียสละเพื่อได้มาซึ่งความทุกข์ ...แต่ถ้าความตั้งใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ลงท้ายที่ปลายทาง เราจะพบว่ามันมีความสุขรอคอยอยู่
ถึงความสุขนั้นอาจจะไม่ได้หมายความว่า คนที่เรารักจะได้สุขไปพร้อมๆกัน ..อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อว่า การที่เราให้เขาไปถึงที่สุดในจุดที่คุ้มค่า ...มันก็ยังจะให้ความทรงจำดีๆคืนกลับมา เพื่อย้ำเตือนเราว่า ครั้งหนึ่งเราเคยรักใครสักคน และเคยได้ทำหน้าที่ของคนรักที่ดีที่สุด โดยไม่จำเป็นว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ ..เพราะถึงอย่างไร ในวันที่เราต้องจากกัน มันคงจะลบเลือนความเลวร้าย ด้วยสิ่งต่างๆที่เราเคยทำมาด้วยความตั้งใจ และแม้จะไม่ทันได้เอ่ยคำลา แต่การกระทำที่แล้วมา ผมเชื่อว่ามันคือ คำขอบคุณที่ดีและมีคุณค่าที่สุด สำหรับเราและเขาที่จะมีให้แก่กันในวันสุดท้ายของความรัก(หรือชีวิต)
และวันสุดท้าย วันนั้นก็จะไม่มีการให้ของขวัญชิ้นสุดท้ายอื่นใดที่สูงค่าไปกว่า 'ความปวดใจ' ที่ทำให้เราได้รู้ว่า ความรักที่เราบูชา มันคุ้มค่าแค่ไหน กับการเสียสละมอบให้ใครคนอื่น เพียงเพื่อให้เราได้รักเป็นในวันนี้
จากคุณ :
OncE UPoN'-'a MaN
- [
19 ธ.ค. 51 14:52:15
]