CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    <<<<<<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... อิคิงามิ:สาส์น-สั่ง-ตาย, คุณจะทำอะไร ใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ? >>>>>>>>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (22 คน)
      ชอบ (4 คน)
      เฉยๆ (1 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 29 คน

     75.86%
     13.79%
     3.45%
     0.00%
     6.90%


    ...เลือกอ่านบทความต่อไปนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + เชิญชวนมาคุยเพิ่มเติมที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=12-2008&date=23&group=14&gblog=131


    อิคิงามิ เป็น หนังที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์

    ... ปกติก็เป็นแฟนประจำตั้งแต่หนังสือการ์ตูนแล้ว ในส่วนต้นฉบับก็สนุกดี แต่ไม่ได้ดีในระดับยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหมือน Twentieth Century Boys เนื้อหาในการ์ตูนจะจบเป็นตอนๆไม่ได้ต่อเนื่องกัน โดยแต่ละตอนนั้นก็เน้นให้เห็นถึง ความเป็นมนุษย์ ภายใต้กติกาที่ว่า

    ญี่ปุ่นในโลกอนาคต จับเด็กเล็กๆทุกคนมาฉีด นาโนแคปซูล ฝังไว้ ซึ่งมันจะเริ่มทำงานตอนเข้าวัยรุ่น โดยนาโนแคปซูลส่วนหนึ่งจะทำให้เจ้าตัวเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่ง ประชากรทุกคนจะไม่มีใครรู้เลยว่า ตอนเด็กๆที่ได้รับนั้น เป็น นาโนแคปซูล ที่เป็น ยาจริง(ตายตอนโต) หรือ ยาหลอก(ฉีดไปงั้นๆไม่มีผล)

    มีองค์กรหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง และ จะมีข้อมูลลับสุดยอดที่รู้ล่วงหน้าว่า วันถัดไป ใครจะตายจากนาโนแคปซูลที่ฉีดไป จากนั้นก็จะให้ เจ้าหน้าที่ไปส่ง อิคิงามิ หรือ สาส์นสั่งตาย เป็นคล้ายๆใบสั่งที่มาบอกล่วงหน้าว่า คุณกำลังจะตายภายใน 24 ชั่วโมง เวลาถัดจากนี้ รัฐให้คุณกินฟรี เที่ยวฟรี เมื่อตายไป ญาติก็จะได้เงินบำรุง แต่ถ้าคุณไปฆ่าใคร เงินบำรุงจะโอนไปให้ญาติคนเสียชีวิต

    นโยบายนี้ รัฐ ตั้งขึ้นตามแผนของ เพื่อต้องการให้ มนุษย์ทุกคนเห็นคุณค่าของชีวิตและจะได้รีดศักยภาพของตัวเองออกมาเต็มที่ ร่วมกับจะได้ช่วยลดจำนวนประชากร

    พระเอกของเรื่องทำหน้าที่เป็น คนส่งสาส์น ที่ต้องไปแจ้งข่าวร้ายทุกๆวัน ทำให้มีโอกาสพบเจอผู้คนก่อนที่จะเสียชีวิต และ การ์ตูนแต่ละตอนก็จะสะท้อนความเป็นมนุษย์ของแต่ละตัวบุคคล ว่าเมื่อถึงคราวอับจนหนทาง เมื่อรู้วันตายของตัวเองขึ้นมา พวกเขาจะทำอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย




    ... ตอนอ่านการ์ตูนเล่มแรกๆ ยังไม่ได้รู้สึกชอบมาก เพราะรู้สึกว่า แค่ไอเดียดี แต่ เนื้อหาแต่ละตอนยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แถมพระเอกก็ดูหน้าตาตายด้านเย็นชาไม่มีพัฒนาการอะไร แต่เล่มหลังๆชักเริ่มติดใจ เพราะคนเขียนเริ่มใส่แง่มุมชวนคิดมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเล่มล่าสุดที่วางแผงบ้านเรา ตอนจบที่เป็นพี่ชายน้องสาว อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม


    มาสู่เวอร์ชั่น หนังใหญ่ ตอนแรกก็นึกว่า จะทำเป็นตอนสั้นๆตอนเดียวจบมายำรวมกันเหมือนในหนังสือ แต่ปรากฏว่า คนเขียนบทฉลาดดัดแปลงได้ดีกว่านั้น เมื่อเขาเลือกตอนเด็ดๆ มา สามตอน แล้วมาผูกเชื่อมโยงกัน ภายใต้พล็อตรองที่เขียนให้ มีกลุ่มคนวางแผนที่จะต่อต้านระบบอิคิงามิ ซึ่งในการ์ตูนยังไม่ไปไกลขนาดนั้น

    ที่ว่าเป็นเซอไพรส์ เพราะ ปกติ ผมมักจะผิดหวังเสมอเวลาดูหนังญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูน เช่น Rough ที่ชอบมากๆพอมาเป็นหนังก็ปวกเปียกเหลือทน ล่าสุดอย่าง Twentieth Century Boys รวมไปถึงการ์ตูนชื่อดังอย่าง Death note ก็ดัดแปลงได้ดีแต่ไม่ถึงขั้นประทับใจ ความปลื้มยังไม่ใกล้เคียงต้นฉบับการ์ตูน มีเพียง Nana เรื่องเดียวที่ชื่นชมว่าเข้าท่า

    อิคิงามิ กลายเป็นอีกเรื่อง แต่ได้คนเขียนบทที่ดี ที่ดัดแปลงเป็นหนังได้เข้าท่า ระดับเดียวกับ Nana




    ... สามตอนเด็ดๆที่เลือกมา สะท้อนภาพความจริงของคนเรา ทำให้ได้เห็นว่า

    เมื่อถึงวาระสุดท้ายของมนุษย์ คนส่วนใหญ่เลือกใช้เวลาเพื่อสะสาง ภารกิจติดค้างใจ (Unfinished business) ที่อยากจะทำแต่ไม่ได้ทำตอนยังมีชีวิต เช่น ไปบอกรักแม่ , ไปสารภาพบาป , กลับไปดูแลคนที่ตัวเองรัก

    ซึ่งในขณะตอนมีชีวิต เราอาจไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นได้แต่คิดๆไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะ ความกลัว(ไม่กล้าขอโทษเพื่อน กลัวเพื่อนด่า) ความห่วงเรื่องอื่นมากกว่า(ยังรักตัวเองมากกว่าคนอื่น , เห็นเรื่องงานสำคัญกว่าครอบครัว) ฯลฯ

    เรียกได้ว่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนดูหลายคนดูหนังจบ แล้วต้องกลับมาทบทวนว่า

    idea ถ้าวันดีคืนดีเราได้รับ อิคิงามิ เราจะทำอะไรใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายที่เหลืออยู่ ?


    และ เมื่อรู้ว่าอยากจะทำอะไร

    exclaim ทำไมตอนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ เราถึงไม่ทำ แต่กลับต้องรอให้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต




    ... ซึ่งประเด็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตใน อิคิงามิ น่าสนใจตรงที่ว่า มันต่างจากคำกล่าวของหนัง Love actually ที่บอกว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุษย์เลือกที่จะส่งความรักให้แก่กันมากกว่าความเกลียดชัง

    แต่ใน อิคิงามิ มองความเป็นมนุษย์ตามความเป็นจริงมากกว่านั้น ว่า เบื้องลึกของมนุษย์ไม่ได้สวยงามเหมือนกันทุกคน เพราะ บางคนที่เก็บกดความรู้สึกโกรธแค้นตลอดมา อาจเลือกใช้วาระสุดท้ายในการชำระความแค้นนั้นก็เป็นได้

    เพียงแค่แง่มุมของหนังหากมองให้ลึกขึ้นอีกนิดนึงเราจะพบว่า ถ้าเพียงตอนมีชีวิตเราทำดีต่อกันให้มากขึ้น เราไม่ถ่ายเทความเกลียดชังให้แก่กัน อย่างในหนัง ถ้าตอนเด็กๆ เราไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เขาคนนั้นที่โหยหา การยอมรับ จากคนรอบตัว ก็อาจไม่จบชีวิตที่ความแค้นที่มีต่อผู้คน




    ... ช่วงเวลาสุดท้ายของตัวละครใน อิคิงามิ จึงมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น

    คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ขอกลับไปสะสางปัญหาความสัมพันธ์และส่งความฝันของตัวเองและเพื่อนสนิทให้ขึ้นสูงที่สุด เพื่อเป็นที่จดจำก่อนจากไป

    คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ระบายความโกรธ ความน้อยใจ ความอึดอัดคับข้องใจ ที่ไม่เคยได้รับ ความรักที่โหยหามาเกือบทั้งชีวิต

    คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ส่งต่อ ความมีชีวิต ให้กับคนที่ตัวเองรัก เพียงหวังให้เธอนั้นพบโลกที่งดงามหลังจากไม่มีตัวเขาอยู่ข้างๆ




    ... จากสามตอนที่เลือกมา ตอน ป้ายบอกทาง เป็นตอนที่ทำออกมาแล้วรู้สึกอินมากกว่าอ่านการ์ตูน ส่วนหนึ่งเพราะ ตอนอ่านการ์ตูนไม่ได้มีเสียงเพลงประกอบเหมือนในหนัง ซึ่งเพลงที่หนังเลือกใช้ก็ช่วยขับอารมณ์ของหนังตอนนี้ได้ดีมากๆ ทั้งในแง่ของท่วงทำนองและเนื้อหา

    ตอน แม่-ลูก ด้วยเหตุผลที่มีการดัดแปลงรายละเอียดในหนังเล็กน้อย เพื่อปรับให้เข้ากับโครงเรื่องหลักที่สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้ดูแล้วยังไม่รู้สึก แรง เท่าตอนอ่านการ์ตูน ที่บุคลิกของแม่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับงานและภาพลักษณ์ชนิดเข้าข่ายเจ็บป่วยทางบุคลิกภาพแบบ Narcissitic personality disorder ที่หลงแต่เรื่องของตัวเองอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยให้ความกดดันตอนอ่านการ์ตูนมีมากกว่า

    ตอน พี่-น้อง ในหนังทำได้ดีทีเดียว แต่ การ์ตูนที่อ่านแล้วซึ้งน้ำตาพรั่งพรูมากกว่า ชอบนักแสดงคู่พี่น้องที่เลือกมาต่างก็เล่นได้ดี ชอบกระบวนการที่วางแผนร่วมกันในโรงพยาบาลมากๆ เป็น การวางแผนที่ทั้งน่ารักและน่าประทับใจในความรักของมนุษย์พึงจะมีให้ต่อกัน


    ... การวางโครงเรื่องหลักที่ว่าดัวย การต่อต้านระบบอิคิงามิ ของพระเอกกับหัวหน้า ทำให้หนังดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น เป็นการเพิ่มความสำคัญให้กับประเด็น ระบอบเบ็ดเสร็จของผู้มีอำนาจ ที่สร้าง propaganda ชักจูงประชาชนให้คล้อยตามแนวคิดเลิศหรู โดย ประชาชนคิดตรงข้ามได้แต่ห้ามพูด ให้เห็นชัดมากกว่าตอนอ่านการ์ตูน

    ซึ่งการที่หนังจบแบบปลายเปิดแบบนี้ มั่นใจได้ว่า เราคงจะได้ดูภาคต่ออันว่าด้วย การต่อต้านระบบ เป็นแน่ ซึ่งน่าสนใจว่าหนังจะนำมาผูกกับ ประเด็น อิคิงามิ ได้อย่างไรอีก



    สรุป ... ถือว่าเป็น หนังญี่ปุ่นคุ้มค่าน่าดู ที่รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่ใช่แค่ดัดแปลงได้ดี แต่หนังยังทำซึ้งแล้วตัวผมเองอินมากกว่า Happy birthday ที่คาดว่าจะซึ้งจะอินมากกว่าแต่ดันไม่เชื่อตามเลยไปน้ำตาซึมให้กับ อิคิงามิ แทน

    และ ถ้าไปถึงหน้าโรงเกิดเปลี่ยนใจ ก็ยังมี The Orphanage หนังผีชั้นดีจากสเปนฉายโรงข้างๆซึ่งรับประกันได้ว่า คอหนังผี ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนกับหนังผีชั้นดีบทดีเรื่องนี้ เรียกได้ว่า ช่วงนี้ไปสยาม-สกาล่า ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม มีหนังดีๆดูสนุกให้ดูกันสองเรื่องติดเลยทีเดียว



    ideaบทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

    Twentieth Century Boys , ลึกลับ ย้อกย้อน ซ่อนเงื่อน 'เพื่อน' ทรยศ + คนใจคดแอบตัดหนังเอง
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=23-11-2008&group=14&gblog=117

    Rough , จาก H2 มาสู่ Touch และได้เวลา Rough
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=02-2007&date=09&blog=1

    Nana , โลกของนานะ โลกของความรัก ความฝัน และ มิตรภาพ
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=12-2005&date=01&group=1&gblog=179

    Death Note , สมุดเล่มนี้ ดี จริงหรือ?
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2006&date=01&group=1&gblog=15

    แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 14:22:42

    แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 51 13:47:13

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 24 ธ.ค. 51 13:46:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com