CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "ฝัน หวาน อาย จูบ" ... คละเคล้าความดี ด้อย แต่ก็ห้อยท้ายด้วยความรัก..นะ จุ๊บๆ

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (1 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (16 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (4 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (2 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 23 คน

     4.35%
     69.57%
     17.39%
     8.70%


    ก่อนอื่นใด จะรีวิว... ผมขอสวัสดีปีใหม่ พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ชาวเฉลิมไทยทุกๆคน ทั้งที่เข้ามาอ่าน เข้ามาแอบ เข้ามาทดลอง(คห. 14 จะมีหรือเปล่า??) หรือเข้ามาสปอยล์ ใดก็ตามแต่...

    ขอให้ตลอดปีใหม่ 2552 นี้ ..ของทุกๆท่าน จงพบแต่ความสุข มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นกับชีวิต โชคและลาภลอยมาหาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันไป ทำการใดขอให้ประสบความสำเร็จทุกๆอย่างเลยนะครับ


    และนี่ก็คือ รีวิวเรื่องแรกของผมประจำปีใหม่ ที่ขอแอบเชยสักนิด มาว่ากันถึงหนังไทยเรื่องดังส่งท้ายปีเรื่องนี้เสียหน่อย...


    -----------------------------------------------------------------------------


    เหมือนเป็นเทรนด์ไปแล้วเรียบร้อยสำหรับหมู่มวลหนังไทย ที่จะให้การกำเนิดโปรเจกต์หนังสั้นรวมเรื่องออกมา ..ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำตามๆกัน เพราะหวังเงินได้เป็นดี หรือจะเพราะมีแนวคิดที่ดีนำทาง หากถ้ามันทำแล้วเห็นถึงความตั้งใจในเนื้องาน ก็ไม่น่าผิดอะไรที่จะมีให้เห็นกันเป็นถี่ๆในพักนี้

    เพราะถ้าลองเอาอย่าง หนังสั้นรวมเรื่อง 2 แนว 2 รส จากค่ายผู้ชอบการเบิกตลาดอย่าง GTH แล้ว ...มาตรฐานที่ "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" และ "สี่แพร่ง" ทำเอาไว้ในระดับที่ไม่สูงอะไร ก็ย่อมไม่ยากเย็นจะเอาชนะได้ หากหนังที่มาใหม่กว่าจะสามารถรวมความสั้นอย่างมีคุณภาพ ให้ออกเป็นหนังยาวที่สนุกตลอดทั้งเรื่อง

    สำหรับโปรเจกต์หนังรูปแบบนี้ โครงการล่าสุด ที่เคยให้ชื่อว่า "4 Romances" ของสหมงคลฟิล์ม ..ก็อยู่ในข่ายที่น่าจะให้ความคาดหวังได้ ถ้าเราลองประเมินจากเครดิตที่เป็นคำโปรยบนโปสเตอร์ว่า ..4 หนังรัก 4 ผู้กำกับ จากทีมงานผู้สร้าง "รักแห่งสยาม".. หากที่สำคัญ และลืมไม่ได้เลยเหมือนกันสำหรับการรวมหนังสั้นฉายต่อติดกันเช่นนี้ ก็คือ ความดี ด้อย ที่ยังจะต้องมีออกมาคละเคล้ากันไป ยากจะหาความพอดีเคียงข้างกันไปทั้งหมด

    ซึ่งในหมู่ที่ว่ายากนี้ ..สำหรับผมก็เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวในความทรงจำก็คือ "Paris Jet'iame" ที่สามารถจะแบ่งหนังสั้นๆ 2-3 นาที รวม 20 กว่าตอน ให้ออกมาดูลงตัว ..แม้มันจะมีทั้งเรื่องที่ยอดเยี่ยมไปจนถึงว่า เวิ่นเว้อ เอ๋อเหรอ ผสมรวมกันไปก็เถอะ (แต่ที่ว่าในกรณีหลัง ..ผมก็ชอบในความบ้าหลุดเรื่องของมันนะนั่น)

    แต่กระนั้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะหาให้หวังอะไรจาก "ฝัน หวาน อาย จูบ" ไม่ได้เลยทีเดียว เพราะถ้าลองขึ้นชื่อว่า 'รัก' แล้ว ...ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีหวัง..ใช่ไหม? (แรงบันดาลใจจาก รักแห่งสยาม ชัดๆ)  

    ผลงานชิ้นใหม่ น่าภูมิใจเสนอของเสี่ยเจียง ในรูปของหนังรักเรื่องนี้ ..รวม 4 หัวกะทิในหมู่มวลผู้กำกับแห่งค่ายสห และแบ่งหน้าที่ให้แต่ละคน ทำแต่ละตอน แยกย่อยออกมาเป็น 4 เรื่องราวที่แตกต่างในวัยวุฒิของเหตุการณ์ นำมาสู่สถานการณ์ที่สุข เศร้า เหงา ซึ้ง อันคละเคล้าอารมณ์ที่ว่ารักกันไป ..โดยในหนังจริงๆ ไม่ได้เรียงตอนตามชื่อของมัน หากย้ายให้ท้ายออกโรงก่อนใครเพื่อนแทน




    "จูบ" ...ว่าด้วยเรื่องความรักของเด็กผู้ชายม.ปลาย ที่ต้องแลกศักดิ์ศรีในการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกับชายอีกคนที่หวังจะมาชิงรอยจูบครั้งแรกของแฟนสาว ที่เจ้าตัวเองยังไม่เคยแม้แต่จะคิดทำมาก่อนเลย เพราะคาดเอาเองว่า ความเป็นคนเรียบร้อยอย่างเธอคงไม่ทำให้เขาผิดหวังได้หรอก

    ไม่ว่าจะเพราะหนังตอนนี้มีพลอตก็แค่การเปิดศึกชิงนาง กระทั่งว่าตัวผู้กำกับเองไม่ขยันคิดมากจะทำให้เกินเลย หรือเป็นเพราะปัจจัยใดๆมันไม่อำนวยให้สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ..แต่ จูบ ก็เป็นตอนของหนังสั้นที่ว่าสั้นเอามากๆ

    ในขณะที่เรื่องอื่นๆต้องขออย่างน้อยๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อการเพียงพอและครอบคลุม ..หนังสั้นของ "ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล" กลับใช้แค่สิบนาที (หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ) ที่จะเดินเรื่องแต่ต้นจนจบแล้ว ก็จบเลย!!! ..ซึ่งไม่ผิดหรอกที่ใครๆจะบอกว่า จูบ ก็คือหนังโฆษณาดีๆนี่เอง

    แต่เอาเหอะ บทที่หมายจะเขียนเอามันส์มากกว่า จะใส่ใจในสาระของหนังตอนนี้ ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียดอะไรนักสำหรับผม ..ในเมื่อหนังกลับเน้นใช้การตัดต่อไวว่อง กราฟฟิคกวนโอ๊ย ในสไตล์ของหนังโดนเด็กแนวแบบ กาย ริชชี่ มานำเหนืออื่นใด และก็โชคดีที่มันพอได้ผล ให้รู้สีกสนุกๆเพลินๆอยู่ได้บ้าง ..อีกทั้งบางฉากบางตอนก็มีศักยภาพในการเรียกรอยยิ้มให้ขำๆ ถึงขั้นอาจฮาๆกับมันไปได้ โดยเฉพาะฉากจบที่สะใจวัยรุ่นดีแท้ (และการฝากคำคมๆที่เจ็บจิ๊ดไว้ดีแท้...ควรแก่การจดจำของวัยรุ่นแห่งปัจจุบันกาลยิ่งนัก)

    หนุ่มหน้าใสไม่ซื่อประจำปีนี้ นาม "มาริโอ้ เมาเร่อร์" ..ดูไม่ค่อยมีความหมายอะไรกับตอนนี้มากเท่าไหร่ เพราะแม้จะได้ชื่อว่าพระเอก แต่การทำตัวเป็นคาแรกเตอร์นี้ มันไม่ใช่ตัวเขาเลย (..และก็เป็นอย่างนี้มาตลอด หลังจากดังสุดโต้งกับรักแห่งสยาม เป็นต้นมานั่นแล).. ส่วนสาวน้อยหน้าใหม่อย่าง "กุ๊กกิ๊ก" ในบทที่ชื่อ "กาก้า" ถูกทำให้น่าจำ ก็แค่ว่า มีแฟนชื่อ "หมี" หากเสน่ห์ในตัวเธอไม่ออกมาอย่างที่หน้าตาเอื้อให้เป็น (พอบวกกับเสียงที่แง้ว แบ๊วเกินไป ..ก็ตายสนิทละสิครับ)

    สุดท้ายนี้ เหลืออยู่คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ตายด้านจนเกินไป (หากไม่รวมกับงานเทคนิค) ก็คือบทของพระรอง(หรือที่หนังจงใจยัดเยียดความเป็น ตัวร้าย) "ไอ้เป็ด" ที่ได้เด็กมะเดี่ยวปั้นจาก "13 เกมสยอง" อย่าง "ณัฐพงษ์ อรุณเนตร" มาเล่นเอามันส์ที่สุด สนุกที่สุด และคุมหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้เพียงอยู่ในมือตัวสมทบเดี่ยวๆผู้นี้ซะอย่างงั้น ..ตรงนี้แหละที่เกินคาด ไปมากมายเลย???




    "อาย" ...ว่าด้วยเรื่องความรักของหนุ่มสาววัยเพิ่งผ่านพ้นมหาลัย ที่กำลังพบเจอความสับสนในหัวใจเข้าอย่างจัง ..เมื่อสาวมั่นชาวกรุงอย่าง "ตอง" ต้องมาบังเอิญพบกันกับหนุ่มติสต์รักสงบอย่าง "ทุเรียน" แฟนเก่าที่เคยทิ้งเธอไป ...และเป็นการพบกันที่มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการทำงาน ที่ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองต้องยึดถือ ขณะที่ฝ่ายสาว มาเพื่อการแสดงอภิสิทธิ์เป็น(ลูก)เจ้าของที่ดินบนเกาะลับๆแห่งหนี่ง ฝ่ายหนุ่มก็ต้องรับงานเป็นไกด์พาเที่ยวเกาะให้อย่างไม่เต็มใจ เมื่อรู้ว่าคนรักเก่าจะเข้ามาบุกรุกผืนแผ่นดินที่เขาแสนรักเสียแล้ว

    จากความเป็นมาเป็นไปในหนึ่งเดียวที่ไม่เคยจับงานทำหนังรักมาก่อนหน้าอย่างใครคนอื่น .."บัณฑิต ทองดี" จึงถูกตั้งความหวังไว้น้อยที่สุดใน 4 ผู้กำกับด้วยกัน เพราะไม่สามารถรับประกันคนดูได้ว่า เขาจะเอาหนังแนวนี้ได้อยู่ (ยิ่งถ้านึกไปถึงงานล่าสุดกับหนังบู๊(ดูเหมือนจะมี)ฟอร์มดี "มนุษย์เหล็กไหล" ก็..ไม่รู้จะหวังอะไรได้ดี)

    แต่แล้วคนที่เหมือนจะไม่มีใครคาดหวัง กลับสามารถจะทำงานนี้ออกมาได้ไม่ถือว่าธรรมดาไปเสีย ..เพราะถ้าเอาโดยรวมๆ ในส่วนภาพลักษณ์ ก็ง่ายดายที่จะจับใจคนดู เมื่อมีของที่ดีสำหรับหนังรักเรื่องหนึ่งเก็บเอาไว้ได้ครบ

    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสน่ห์ตัวละครที่ไม่ได้มีแค่มิติเดียว มาแบบแห้งๆ ไร้เหตุผล ..หรือจะเป็นองค์ประกอบอื่นๆที่ช่วยเสริมได้สวย อย่างบทที่มีความคิดในการเขียน รวมถึงการสร้างบรรยากาศในหนัง กับสถานที่ที่ชวนให้อยากไปเที่ยว

    แต่ถึงจะมีอยู่ครบ และมิวายจะกลายเป็นหนังรักที่ดีไปได้โดยง่าย สำหรับหลายๆคน ..แต่สำหรับผม กลับยังคิดว่า มันไม่ดีพอนะสิ

    ไม่ดีพอ อย่างที่หนึ่ง ก็คือ.. พระเอกหน้าใหม่ "บอย-ปกรณ์" กับผลงานการแสดงหนังเรื่องแรกที่เนียนไปกับธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเล่นได้ดูจริง ดูน่ารัก น่าเคลิ้ม อย่างที่ควรจะเป็นไปในทุกสภาวะแวดล้อม ..แต่ความธรรมชาติในที่นี้ คือ ก้อนหิน ต้นไม้ และผืนทราย ของท้องทะเล คู่เคียงของหนังเลยทีเดียว

    แม้ว่าบทจะพยายามให้มิติมากกว่าหนึ่งด้านกับตัวละครของ ทุเรียน ที่มีเหตุมีผลในการหนีรักเก่า เพื่อกลับมาเผชิญหน้าแฟนเก่าในวันที่ไม่พร้อมจะเจอ จะอยู่ด้วยกัน... แต่ปัญหาที่คาแรกเตอร์นี้ต้องเจอมากกว่าเรื่องราวความขัดแย้ง กลับเป็น ความที่คนเล่นหน้าตายด้าน และให้อารมณ์ผ่านน้ำเสียงที่ดูไม่มีอะไรฝังจิตฝังใจเลย ..ถึงต่อให้เชื่อว่าคนที่มีเหตุมีผลในเรื่องของความรัก เพราะว่าอาย จะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกอย่างนี้ แต่ถ้าลองให้ ทุเรียน ได้ถึงเวลาต้องระเบิดความสับสนในใจออกไป ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะสับสนอะไรเท่าไหร่ อย่างที่คนอยากระบายทุกข์ เขาชอบทำกัน

    แต่เอาเหอะ เรื่องนี้เพิ่งเริ่มต้น ..เรื่องหน้าอาจจะดีกว่าเดิมก็ได้ ใครจะไปรู้?

    ไม่ดีพอ อย่างที่สอง ก็คือ.. บทหนัง ที่ว่าดูดีในความคิดเขียนหนังรักข้างต้น ..แต่กับผม มันจะดีกว่านี้ ถ้าหนังไม่พยายามทำตัวแสร้งว่าอยากจะช่วยเปลี่ยนคนดูให้หันมาช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติไปในตัวอย่างนี้

    ไม่ใช่ว่าไม่ดี และผมต่อต้านความคิดที่ดีอย่างนี้นะ ..หากมันดูจะมีปัญหากับการเขียนบทที่มีผลต่อการสูญเสียความเป็นธรรมชาติของไดอะล็อกไปเสีย เพราะการที่มัวแต่พยายามสรรหาถ้อยคำอะไรก็ได้ที่ฟังดูดีเข้าว่า หากยังคงความมีสาระทางอุดมคติโดยตลอด แต่เมื่อมันกลับไม่ไปด้วยกัน และกลายว่าดูหลอกกับความจงใจในสถานการณ์ต่างๆ ..มันก็เลยให้ผลว่าเรารู้สึกว่ามันพยายาม มากกว่าจะทำเนียนให้เรารู้สึกได้ด้วยตัวเอง

    คือ เรื่องบางเรื่องในบางครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องพูดด้วยปากก็ได้ ...หากใช้ใจลึกๆบอกมันก็น่าจะเพียงพอต่อความตั้งใจในแง่นั้นได้เหมือนกัน เพียงถ้าผู้กำกับมองเห็นแง่มุมที่ดีกว่านี้อีก

    ถึงกระนั้น อาย จะไม่ใช่ตอนที่ดี ในความคิดของผม หากถ้ายึดเรื่องของความเพลินเป็นหลักใหญ่แล้ว ..แค่มี "ตาล-กัญญา" กับความสดใส น่ารัก (ที่โตขึ้น และนิ่งกว่า รักแห่งสยาม มิใช่น้อย) ก็ไม่ต้องรู้เรื่องอะไรอีกต่อไป ...เมื่อยังบวกที่ตอนนี้ เป็นตอนเดียวที่สร้างตัวขโมยซีนชั้นดี อย่าง "กัปตันงุก" ขึ้นมาประดับหนังไว้ด้วยหนึ่งคน ก็นับว่าเพียงพอที่ หนังสั้นตอนที่ 2 จะจบลงด้วยความสุข และเป็นความสุขที่คนดูได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ติดตัว ก่อนจะได้ตัดฉากไปสู่เรื่องถัดมาที่หมองหม่นสุดขั้วเป็นที่สุด

    แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 52 20:43:59

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ วันปีใหม่ 20:23:30 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com