CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "Australia" ... ความงามยิ่งเคลิ้มจับจิต แต่จริตหนังรักยังไม่อิ่มเอม

      เกรด A -> 9-10 คะแนน (5 คน)
      เกรด B -> 6-8 คะแนน (8 คน)
      เกรด C -> 3-5 คะแนน (2 คน)
      เกรด D -> 1-2 คะแนน (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 15 คน

     33.33%
     53.33%
     13.33%
     0.00%


    ถ้าให้พูดถึง "บาซ เลอร์แมนน์" ..แทบทุกคนคงจะนึกถึงว่าเขาคือมือวางอันดับต้นๆ ของคนทำหนังที่คู่ควรกับสโลแกนของ เครื่องถ่ายมิต้า "เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ"

    ถึงแม้ว่าผู้ำกำกับคนนี้ จะเป็นคนหนึ่งที่มีงานหนังชุกน้อยเอาอย่างมาก ให้เว้นระยะห่างต่อเรื่องก็เกิน 5 ปี ...แต่ถ้า 5 ปีที่หายไป จะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับวงการหนังแล้ว ก็ถึอว่าคุ้มค่า ที่ให้หายไปนานๆดีอยู่

    ฉะนั้น ผมจึงเฝ้ารอการกลับมาของเขาหลังจาก หนังเพลงที่ผมรักที่สุดอย่าง "Moulin Rouge!" ด้วยใจระทึก... และหวังว่างานต่อไปจะฝากเอาไว้ซึ่งความประทับใจได้อีก ถึงต่อให้จะมาเป็นหนังแนวไหนก็ไม่สน



    "Australia" ...เป็นการคาดหวังครั้งใหญ่อีกครั้งของผม ต่อหนังรักโรแมนติกเรียกร้องความประทับใจ ที่ด้วยองค์ประกอบ และรายละเอียดของงานทุกส่วน นำพาความอลังให้บังเกิดในทันทีที่ บาซ เลอร์แมนน์ ประกาศว่าจะเป็นงานชิ้นต่อไปของเขา

    ไม่ว่าจะด้วยศักยภาพของผู้กำกับ(พ่วงเขียนบท) , ดารานำ , งานโปรดักชั่น ...ที่แทบจะได้ชื่อว่าคุณภาพกันถ้วนทั่วแล้ว อย่างนี้ มีหรือที่เราจะไม่คิดว่ามันคือเต็งห่ามของออสการ์(และเวทีรางวัลอื่นใด)ได้เลย

    'ออสเตรเลีย' ..นอกจากจะเป็นชื่อหนังอันเป็นท้องเรื่องของประเทศเกิดเหตุความรักครั้งใหม่ของ บาซ ที่ทำเพื่อจะแสดงความรักบ้่านเกิดของเขาแล้ว ยังคงขายความเป็นแดนจิงโจ้สุดๆ ด้วยการได้รับสนับสนุนจากประเทศให้ทุ่มทุนสร้างหนังเรื่องนี้เพื่อขายความงดงามของที่แห่งนี้ต่อสายตาสาธารณชนทั้งโลก ...แน่นอนล่ะ ที่งานนี้ ผลประโยชน์ของมันจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะไม่ใช่แค่หนังได้รับการจับตามองของคอหนังทั้งโลก ยังรวมไปถึงโอกาสได้โปรโมตเชิญชวนคนมาเที่ยวทวีปเดียวในโลกที่ใช้ชื่อประเทศในการเรียกขาน



    เรื่องราวของ Australia ว่าด้วย.. การเดินทางข้ามน้ำข้ามประเทศของ "เลดี้แอชลีย์" ผู้มากลากดีจากอังกฤษศิวิไลซ์ ที่้มีจุดมุ่งหมายแรกเริ่มจะมาตามล่าสามีตัวดีให้กลับบ้าน หลังจากที่เขาตกหลุมรักในออสเตรเลียแดนเถื่อนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น..โดยที่ เลดี้แอชลีย์ ได้ทำการคิดแผนการหวังจะใช้เป็นเงื่อนตายในการผูก ลอร์ดแอชลีย์ กลับไปกับเธอ คือ การขายฟาร์มวัวที่เขาเป็นเจ้าของ โดยใช้สิทธิ์ภรรยาที่สามารถแบ่งทรัพย์สินกับสามีได้มาเป็นข้ออ้าง

    แต่ทว่า เมื่อเธอได้เดินทางไปถึงออสเตรเลียแล้ว ..ก็กลับพบความเศร้ารออยู่ตรงหน้า พร้อมร่างสามีนอนแน่นิ่ง ที่มีคนเชื่อว่า น่าจะเป็นฝีมือของ "คิงจอร์ช" หมอผีชาวอะบอริจิ้น ที่ไม่น่าให้ไว้วางใจในพฤติกรรมเหยียดคนผิวขาว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้ ลอร์ดแอชลีย์ จบชีวิต

    หากเมื่อเลดี้แอชลีย์ ได้ลองศึกษาแดนคนเถื่อนแห่งนี้ และทำความรู้จักกับสองหนุ่มต่างวัยที่มีศักดิ์เป็นลูกจ้างของสามีเธอ อย่าง "โดรเวอร์" และ "นูลล่าห์" (หลานชายของคิงจอร์ช..ผู้ได้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมของลอร์ด) ..เธอก็ค่อยๆได้พบเงื่อนงำว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของการตายของลอร์ด กลับมีผู้บงการตัวจริง เป็นลูกจ้างไม่รักดี ที่กำลังสวามิภักดิ์อีกหนึ่งนายจ้างผู้เป็นเจ้าของกิจการค้าเนื้อวัวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งหวังจะเอาชนะ ลอร์ดแอชลีย์ มาตลอด เพราะถ้าเขาได้ฟาร์มวัวของลอร์ดไป ก็จะเป็นว่าเขาคือหนึ่งเดียวที่ประสบความสำเร็จในแวดวงนี้

    ดังนั้นแล้ว เพื่อเป็นการเอาชนะข้อตกลงของสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ เลดี้แอชลีย์ (ผู้ตกเป็นเจ้าของฟาร์มเพียงหนึ่งเดียวแล้ว) ต้องทำอะไรสักอย่าง ..เธอจึงเลือกจะตอบรับทำการต้อนวัวไปส่งยังกองทัพของออสซี่ ที่กำลังเตรียมตัวตั้งรับกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเลี่ยงไม่ได้ ..โดยมี โดรเวอร์ รับบทเป็นทัพหน้า , เจ้าหนูอะบอริจิ้น นูลล่าห์ เป็นผู้ช่วย (และผู้ร่วมขบวนการคนใกล้ตัวอีก 5) พร้อมรีบเร่งที่จะส่งวัวไปให้ถึงมือทหารก่อนที่ กองกำลังของศัตรูจะไปได้ถึง (โดยที่ลับหลังก็แอบเล่นสกปรก ส่งคนมาฆ่าตัดตอนอีกต่างหาก)

    ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ..นี่เป็นแค่ครึ่งแรกของหนังเท่านั้น... แต่ที่รู้แค่นี้ก็คงว่าเพียงพอแล้ว

    เพราะเอาเข้าจริง ความสนุกของหนังไม่ได้อยู่ที่การรู้เรื่อง และเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ...หากแต่เป็นงานเทคนิค การแสดง และรายละเอียด เป็นสัญลักษณ์เล็กๆน้อยๆของหนัง และออสเตรเลีย ที่จะทำให้คนดูเข้าถึงมากไปกว่าอื่นใด



    ผมคิดของผมอย่างนี้ ..อาจจะหมายความว่า ผมผิดหวังกับ งานกำกับของ บาซ เลอร์แมนน์ ก็เป็นไปได้ทางหนึ่ง ซึ่งก็ยอมรับว่ามันจริง ...แต่ถ้าความสมหวังอีกทางคือ การได้ผู้่กำกับถูกคน และถูกงาน มาทำให้ภาพเคลื่อนไหวของหนังเป็นอะไรที่ชวนอึ้ง ตะลึง ทึ่งทุกขณะจิต ก็นับว่าเป็นการหักลบกลบหนี้ที่ให้ยอมรับความจริงนี้ได้อยู่บ้าง

    แต่ก็อย่างว่าที่ ถึงงานโปรดักชั่นทุกสิ่งอันในหนัง จะขานรับและตอบสนองความบันเทิงให้กับคอหนังที่ชื่นชอบความสวยความงาม อลังการของสิ่งที่เห็นตรงหน้า จนไม่อาจกะพริบตาได้สักเสี้ยวนาทีหนึ่ง ...หากความอหังการ์ของการเป็นหนังที่ดูเอาความประทับใจ ให้น่าจดจำ กลับเป็นเรื่องที่ดูจะมีอยู่ แต่มันก็ไม่คุ้มพอ สำหรับคนที่คาดหวังว่าผู้กำกับคนเดียวกันจะสามารถเอาอยู่ เหมือนสมัย Moulin Rouge! เคยทำได้มาแล้ว



    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่หนังยาวร่วม 3 ชั่วโมง หรือว่ามีปมประเด็นเยอะแยะให้เลือกสรรเอามาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวก็ตามแต่ (ไปกระทั่งข่าวที่ว่า ตอนจบที่แท้จริง ควรจะเป็นโศกนาฏกรรมมากกว่า.. ให้รู้สึกดีตามคำสั่งเจ้าของทุน) ..ถ้าจะจัดการให้ลงตัว ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อในฝีมือเจ้าของเรื่อง ...แต่ไม่รู้ว่าจะเพราะความใส่ใจในงานฉากหลัง และการสะกดจิตคนดู จะเป็นสิ่งสำคัญกว่าหรือไร เลยทำให้ดูเหมือนว่าจะละเลยการเข้าถึงคนดูด้วยการเล่าเรื่องไปพอสมควร

    ซึ่งก็น่าเสียดายที่ครึ่งแรกอุตส่าห์ทำได้ดีเอามากๆ ในแง่ของการเป็นหนังที่สามารถผูกรวมเอาอารมณ์หลายด้านๆ หลายแง่ๆ ที่หนังสักเรื่องจะใส่ผสมมันเข้าไปอย่างลงตัว กำลังดีถ้วนทั่ว ทั้งส่วนของดรามา โรแมนติก คอมเมดี้ แอ๊คชั่น แอดเวนเจอร์ ทริลเลอร์ ความลึกลับ การสืบสวน (เยอะแยะตาแปะไก่มั้ยล่ะ ท่านผู้อ่าน!!!) ..ให้ควบคู่ขนานไปกับการสร้างภาพพจน์ที่น่ามอง ไปพร้อมกับความสนุกในสถานการณ์ที่ตัวละครต่างๆได้พบเจอ และมีปฏิสัมพันธ์กัน ...เรียกได้เลยว่า ทุกอย่างที่ทำให้หนังสักเรื่องสามารถเข้าถึงออสการ์ได้ แทบจะมารวมเอาไว้ในครึ่งแรกจนแทบว่า จะให้หนังจบลงที่ฉากต้อนวัวสำเร็จไปเลยก็ยังเป็นไปได้  



    แต่เมื่อความเข้ารอยเข้าร่องของครึ่งแรกที่ดูจะช่วยพยุงครึ่งหลัง เอาไว้ได้ไม่เต็มบ่าซะทีเดียวกันอย่างนี้ ..มาบวกรวมกับความที่ครึ่งหลัง ใส่ความเกินเข้ามาหลายห้วง ทั้งปมประเด็น สถานการณ์ หรือว่าจะมีขาดหายไปกับเรื่องของความสัมพันธ์ทางตัวละครที่บางฉากค่อนข้างจะโดดข้าม จนสะดุดเข้าอย่างจัง ...ก็เลยทำให้แทนที่จะช่วย ซับพอร์ตกับครึ่งก่อนที่ดีมาก เสริมทับความอยากรักใน Australia ..กลายกลับไปย่นย่อความดีให้หนังทั้งเรื่อง ถอยถดลดลงมาในระดับที่ได้ใจประมาณหนึ่งเพียงเท่านั้น

    ซึ่งก็น่าเสียดายในศักยภาพของครึ่งหลัง หลายๆอย่าง ที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของการพลัดพราก สงคราม และความรักระหว่างผัวเมีย / พ่อ-แม่-ลูก(เลี้ยง) / ตา-หลาน ...ที่ถ้าสามารถการกำกับ และงานบทจัดการให้ดีๆ ด้วยการกำจัดบางอย่างที่เยิ่นเย้อ แล้วเพิ่มรายละเอียดของเหล่าตัวละครลงไปแทน ก็ย่อมจะส่งให้บทที่มีปมประเด็นเข้าจริตคนชอบซึ้ง สามารถทึ้งน้ำตาได้ง่ายดาย โดยไม่ติดข้อแม้ของความเป็นหนัง เมโลดรามา ที่หมายมุ่งจะเน่ากันไปข้าง เพื่อเข้าถึงคนดูแบบเดียวกับอีกหนึ่งที่เป็นตำนานหนังรักนำร่องก่อนหน้าไป อย่าง "Titanic"

    ถ้าจะบอกว่า Australia สามารถย่นย่อออกมาให้เหลือสัก 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้วเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ลงตัวกว่าที่เป็นอยู่ได้ ..ก็จะงดงามยิ่งกว่า Titanic เป็นไหนๆ สำหรับผมได้เลย



    ยิ่งเมื่อตระหนักไปถึงครึ่งหลังที่แทบทั้งหมดเทไปให้กับประเด็นของสงครามโลก อันเอื้อให้ เลอร์แมนน์ ได้ทดลองการเป็นผู้กำกับหนังแอ๊คชั่นที่ดีได้อีกคน (ที่ครึ่งแรกก็พอพิสูจน์ได้แบบไม่เต็มที่ ในฉากต้อนวัวริมหน้าผา) ..ก็แอบเสียใจที่ผมไม่ยักกะตื่นเต้นในการรบที่เห็น เพราะทุกอย่างมันทั้งมาอย่างเร็ว แล้วก็ไปอย่างเร็ว โดยเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ซากปรักหักพังของแดนดินถิ่นออสซีที่อาจจะงดงามกว่าหนังสงครามทุกเรื่องก็จริง ..แต่มันจะให้อะไรกับเราได้นอกจากความหายนะที่สวยแต่รูป จูบไม่หอม และไม่น่าจำ

    เรียกได้ว่า ณ จุดนี้ เป็นการตกม้าที่อาจไม่ถึงตาย ..แต่ก็บาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เมื่อนำไปเปรียบชั้นกับฉากไททานิคล่มอันน่าตื่นตะลึงกลัว ที่ King of the World "เจมส์ คาเมรอน" จัดให้มันเป็นไฮไลท์ไม่แพ้ฉากโรแมนติกตั้งใจเลี่ยนของเขาทั้งหลายแหล่



    ถึงจะเต็มไปด้วยความน่าเสียดาย และเสียใจในบางสิ่งบางอย่างที่กระทบกระเทือนให้ตัวหนังไม่ได้ก้าวไปไกลถึงการเป็นหนังมีระดับคู่ควรเป็นเจ้าของออสการ์หนังยอดเยี่ยมในท้ายที่สุด ..แต่ผลลัพธ์ทางด้านการแสดงที่เคมีเข้ากันได้ของพระ-นางดาวดัง(ระบือโลก)แห่งออสซี่ อย่าง "นิโคล คิดแมน" และ "ฮิวจ์ แจ๊คแมน" ก็รักษาระดับความน่าดูไปกันได้กับความงดงามของภาพฉากต่างๆ โดยเฉพาะครึ่งแรกที่ทั้งคู่แทบจะอยู่เคียงคู่ด้วยกันตลอด ..พอถูกจับแยกในครึ่งหลังแทบจะตลอดเช่นกัน ก็เลยส่งให้หนังหมองไปด้วยมิใช่น้อย ...จะดีหน่อยที่คุณภาพของแต่ละคน ก็พอเอาอยู่กับการแสดงของตัวเองระดับหนึ่ง (ที่บังเอิญว่าบทที่ละเลยรายละเอียด..ส่งน้อยไปนั่นแหละ)

    อีกการยังได้ 2 ดาราหน้าใหม่เจ้าถิ่นอะบอริจิ้น มาทำการขโมยซีนอย่างโดดเด่น... "เดวิด กัลพิลิล" และ "แบรนดอน วอเตอร์ส" ในบทคู่ลุง-หลาน เลยเป็นเสน่ห์ที่ขาดไม่ได้ของหนังเรื่องนี้ทีเดียว ...ถึงต่อให้ อะบอริจิ้น จะดูน่ารัก น่าสนิทสนมขนาดไหน แต่ถ้าขาดไปซึ่งคนที่จะแสดงออกมาได้สูสีกับระดับแม่เหล็ก นิโคล-ฮิวจ์ แล้วละก็ ...คงจะทำให้หนังหย่อนทางการดู เพื่อสบายอารมณ์ไปไม่น้อยครือกัน



    "Australia" ...อาจจะมองว่าเป็นความผิดหวังของคอหนังที่คาดหวังความยิ่งใหญ่จากหนังสักเรื่องที่ดูแค่หน้าก็พร้อมจะเทใจให้ทั้งหมด เพียงความเชื่อในชื่อของผู้กำกับ ..แต่มันไม่ถึงขั้นว่าต้องหงุดหงิด เพราะเอาเข้าจริง ก็ยังได้ส่วนอื่นๆมาทดแทนให้น่าประทับใจได้ในระดับหนึ่ง ...อาจเสียดาย และเสียใจบ้างในบางเรื่อง แต่ที่คืนมาก็ถือว่าพอใจ และคุ้มค่ากับการรอคอย

    จะเหลือ ก็หวังแต่ว่างานหน้า ของ บาซ เลอร์แมนน์ จะเข้าร่องเข้ารอยและ น่าจดจำ จับจิต และอิ่มเอมใจได้มากกว่านี้ก็แล้วกัน ..ขอไม่มากเกินไปใช่ไหม?


    ขอแนะนำ (ยิ่งกับผู้มีทุนทรัพย์ ควรดู Digital)..ครับ

    เกรด A- ... smile smile

    ปล. ผมอาจไม่ถึงกับตกหลุมรักในหนัง ..แต่พอดูจบกลับตกหลุมรักในเพลง "Somewhereeeee..... Over the Rainbow" แทนซะนี่ 555+

    สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ http://vreview.yarisme.com

    สำหรับทุกคนที่ได้เผลอเข้ามาในกระทู้รีวิวนี้ ...อย่าเพิ่งรีบออกไปนะครับ อยากขอให้ช่วยลงความเห็นของคุณกับความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ได้ประทับเก็บไว้ในกระทู้นี้ด้วย... "1 Comment ของคุณ มีค่าเท่ากับ 1 Happy ของ จขกท."

    ขอบคุณครับ รักคนอ่าน

    แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 52 18:25:35

    แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 52 18:12:57

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 5 ม.ค. 52 18:11:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com