เพิ่งมีโอกาสได้ลากสังขารไปดูภาพยนต์เรื่องนี้มาครับ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรง
สารภาพตามตรงว่า ไม่ได้อยากไปดูเพราะตัวหนังสือ เพราะส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อย Happy กับหนังสือเล่มนี้ซักเท่าไหร่
ทั้ง ความสุขของกะทิ เล่ม 1 และ ความสุขของกะทิ ตอนตามหาพระจันทร์ เล่ม 2
ตอนงานหนังสือแห่งชาติ ผมทำเอาพนักงานที่ขายหนังสือ 2 เล่มนี้มองตาขวางไปทีนึงแล้ว
เพราะเพื่อนผมสนใจที่จะซื้อเพราะมันเป็นหนังสือรางวัลซีไรท์ แต่ก่อนที่มันจะตัดสินใจซื้อ
มันก็หันมาถามผม ซึ่งอ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้แล้วว่า มันเกี่ยวกับอะไร
ด้วยความที่ไม่ชอบส่วนตัวเลยสปอยล์มันไปแบบออกทะเลว่า
เล่มแรก
ก็เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงแก่แดดโดนสปอยล์มาตั้งแต่เด็กคนนึง ที่ครอบครัวเค้าร่ำรวยกว่าเราเยอะ
ชอบกินน้ำกะทิแตงไทยเป็นชีวิตจิตใจ และมีความฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ!!
และ อยากเอาน้ำกะทิแตงไทย ไปนั่งกินบนดวงจันทร์!!!
ส่วนเล่มสอง
ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เด็กผู้หญิงคนเดิม ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย
ขึ้นยานอวกาศไปเยือนดวงจันทร์เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย
แต่น่าเสียดายที่เมื่อไปถึง ดวงจันทร์ดันหนีออกจากบ้าน เธอจึงต้องตามหาพระจันทร์
และที่สำคัญเธอลืมเอาน้ำกะทิแตงไทยติดมือขึ้นไปด้วย!!
แทนที่เพื่อนผมจะได้หนังสือของเค้ากลับมา มันก็เลยไม่ซื้อ เพราะดันเชื่อที่ผมสปอยล์ไปซะแล้ว
ไอ้เพื่อนบ้าของผมก็เชื่อคนง่ายจริง ๆ ยังมีการย้อนกลับมาถามอีกว่า แล้วตกลงเจอพระจันทร์หรือเปล่า??
แสรดดดดดด เมิงยังเชื่อกุอีกเน๊อะ พระจันทร์บ้าอะไรหนีออกจากบ้าน
แล้วใครจะบ้าเอาน้ำกะทิแตงไท ขึ้นไปกินบนดวงจันทร์ฟระ!!!
คนขายได้ยินเธอแทบจะเอาหนังสือเขวี้ยงกระบาลผมแหกอยูตรงนั้น
โทษฐานทำวรรณกรรมซีไร้ท์กลายเป็นนิยายแฟนตาซีปัญญาอ่อนไปได้ T_T
ผมเห็นท่าไม่ได้การ จากรังสีอำมะหิตที่เปล่งออกมาจากสายตาน้องคนขาย
จากการสปอยล์บ้าบอของผมอันนั้น มันอาจจะทำให้ผมตายเพราะปากตัวเองได้
เลยต้องแก้โมโหของเธอด้วยการซื้อหนังสือที่บูธนั้นกลับมาซะ 4 เล่ม!!
ทั้งที่ไปเป็นเพื่อนของเพื่อนแท้ ๆ T_T
เพื่อนไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่ผมได้หนังสือมา 4 เล่มซะงั้น
อย่างนี้แถวบ้านผมเรียกว่า ปากพาจนจริง ๆ T_T
ครับก็อย่างที่บอก ว่าผมไม่ค่อยปลื้มกับบทประพันธ์ชุดนี้ซักเท่าไหร่
แต่ที่อยากไปดูก็เพราะตัวอย่างหนังเรื่องนี้ล้วน ๆ!!
ตัวอย่างหนังตัดออกมาได้ดีมาก บวกกับเพลงที่โดนใจ ทำให้ผมไม่ลังเลเลยที่จะไปดู
และเมื่อดูจบแล้วก็ต้องสารภาพตามตรงอีกเหมือนกันว่า
ผมค่อนข้างที่จะชอบ และ รักหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว
แม้จะสามารถคิดไปได้ว่า นี่เป็นแผนอีกอย่างหนึ่งให้หนังสือเล่มนี้กลับมาขายดีอีกครั้ง
เพราะคนที่ดูแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ จะต้องออกมาหาหนังสือเล่มนี้อ่านเพราะดูหนังไม่รู้เรื่อง!! T_T
เป็นแผนการตลาดที่แยบยลมาก!!!
แต่ผมไม่สนครับ เพราะผมอ่านแล้ว ไม่ได้ซื้อด้วย ยืมเค้ามาอ่านแล้วยึด!! (เลวกว่ากันเยอะ)
ด้วยงานด้านภาพที่สดใส ถ่ายภาพสวย บรรยากาศสดชื่น เพลงเพราะ
และที่สำคัญ ดารานำ (น้องพลอย) น่ารัก!!
เธอน่ารักมาก น่ารักเสียจนผมคิดว่า
จริง ๆ แล้ว กะทิเธอเป็นลูกของแม่เธอกับใครกันแน่ สงสัยไอ้ชาวมัณฑะเลย์ (พม่า) นั่นคนนั้นคงไม่ใช่พ่อเธอแหง ๆ
เพราะหน้ากะทิ ออกหมวยแต้จิ๋วเหลือเกิน นี่อาจจะเป็นความลับในเก๊ะสุดท้ายที่แม่เธอได้เตรียมไว้ให้ก็ได้ ใครจะรู้ T_T
การดำเนินเรื่องต่าง ๆ ในหนัง ลอกหนังสือมาแทบจะเป๊ะ ๆ แทบจะไม่ดัดแปลงไปเลย
ซึ่งข้อดีของมันก็คือ
สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นภาพยนต์ที่อบอุ่นเอาเรื่อง
และสามารถที่จะเข้าใจตามภาพที่สื่อออกมาได้ดีกว่าคนที่ยังไม่ได้อ่าน
มันทำให้เราได้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากที่ได้อ่านหนังสือมาแล้ว
เพราะมีจินตนาการตามหนังสือที่ได้อ่านช่วยเสริมอยู่ และแน่นอน ในหนังสือ มันอธิบายในหลาย ๆ สิ่ง
ที่ตัวภาพยนต์เองไม่ได้ใส่เข้ามา เนื่องจากความยาวของหนัง หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ข้อเสีย ที่ถือว่า เป็นข้อเสียอย่างมหันต์ นั่นก็คือ
สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ (กว่า 90 เปอร์เซนต์) หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนังชวนหลับ
เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกะทิต้องวิ่ง ม้าขาวตัวนั้นมันคืออะไร
ซึ่งในช่วงไคลแมกซ์นี้เอง ที่ตัวหนัง ตัดสลับไปมาชวนเวียนหัวเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งที่ แม่ตายตอนไหนก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็มาโผล่ที่คอนโดเลย ??
สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว ก็คงจะรู้ว่า เออ แม่เธอตายไปแล้ว
แต่คนที่ยังไม่ได้อ่านล่ะ จะรู้ได้อย่างไร ก็คงมีคำถามในใจว่า แล้วแม่เธอล่ะ ไปอยู่ไหน
ไปสิงอยู่ในเก๊ะเหรอ เพราะอยู่ดี ๆ มาโผล่ที่คอนโดเลย??
เนื่องจาก การแสดงของแม่เธอตอนท้ายนั้น ไม่ได้แสดงออกเลยว่า เป็นคนที่กำลังจะตาย
แม้ท่าทางจะใช่ แต่น้ำเสียงสดใสเกินกว่าเหตุ และ สำนวนชวนอ้วกอย่างแรง
มนุษย์ปกติ ผมว่า ไม่มีใครพูดอย่างนี้หรอกครับ เล่นลอกบทพูดจากหนังสือมา
โดยลืมคิดไปว่า เราอ่านตัวหนังสือ กับ เห็นภาพจริงมันต่างกัน!!!
ที่หนังสือต้องเขียนให้ไม่ปกติ หรือ แถวบ้านเรียกสำนวนน้ำเน่าอย่างนี้ก็เพราะว่า
มันไม่มีภาพปรากฎให้เห็น มีเพียงแต่จินตนาการที่เราสร้างขึ้นมาเท่านั้น
ผู้เขียนจึงจำเป็นอย่างมากที่จะทำอย่างไรก็ได้ ให้ตัวหนังสือของเขา สามารถดึงอารมณ์ร่วมจากผู้อ่านได้
ซึ่งในหนังสือนั้น ประโยคต่าง ๆ ที่แม่ของกะทิพูดในหนัง มันสามารถดึงอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อบทพูดตรงนั้นกลายมาเป็นภาพยนต์ มันกลับกลายเป็นเหมือนกับ
บทสวด หรือ ตำราอะไรซักอย่างที่มันแข็ง ๆ มันไม่จริง ๆ มันแต่งเติมและสร้างภาพกันสุด ๆ
ดูฉากที่แม่ของกะทิพูดแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ตายไปเลยยังดีซะกว่า
เพราะสิ่งที่เธอแสดงออกมาตั้งแต่แรก เธอเล่นไม่พูดเลย จนคนดูนึกว่า
แม่ของกะทิเป็นใบ้ อ๊ะ พูดไม่ได้หรอกเหรอ น่าสงสารจัง ขยับตัวก็ไม่ได้
โอว น่าสงสารสุด ๆ อะไรจะมีกรรมปานนั้น
แต่ที่ไหนได้ ไป ๆ มา ๆ ดันพูดได้ซะงั้น แล้วน้ำเสียงก็ช่างรื่นเริงเสียเหลือเกิน
จนอดคิดไม่ได้ว่า ตกลงใกล้ตายจริงหรือเปล่า หรือแค่อัมพาตตั้งแต่คอเฉย ๆ T_T
แต่อยากแจ้งให้กับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือทราบครับว่า
"หลังจากที่แม่ของกะทิ พูดกับกะทิบนเตียงนั้นแล้ว เธอตายครับ~!!!!"
พูดจนตายยยยยยยยยยยยยยยยย T_T
นี่ถือเป็นข้อเสียอย่างใหญ่หลวงในภาพยนต์เรื่องนี้ ที่แทบจะไม่ดัดแปลงบทภาพยนต์เลย
ใครที่ไปดูมาแล้วก็คงจะจินตนาการเห็นภาพผู้กำกับ เปิดหนังสือเรื่อง "ความสุขของกะทิ"
นั่งอยู่หน้ากล้อง แล้วสั่ง แอ็คชั่น!!! นักแสดงก็วางหนังสือความสุขของกะทิหน้าที่ตัวเองต้องแสดงลง แล้วก็แอ็คติ้ง!! T_T
หนังเรื่องนี้ไม่มีบทภาพยนต์ มีแต่หนังสือเรื่องความสุขของกะทิเต็มกองถ่ายไปหมด!!
ไหนจะความต่อเนื่องอีกล่ะ ก็อย่างที่บอก ว่า หนังเรื่องนี้สร้างตามนิยายเป๊ะ ๆ
มันเป็นไปไม่ได้ที่หนังยาวชั่วโมงกว่า ๆ จะเอาทุกอย่างในหนังสือมาได้หมด
เมื่อมันเอามาได้ไม่หมด ก็เป็นหน้าที่ของผู้กำกับ ผู้ตัดต่อ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำยังไงก็ได้
ให้คนดูที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจ
แต่ปรากฎว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ เหมือนถูกจงใจสร้างมาเพื่อให้แฟนหนังสือ
ให้คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้วได้ดูเท่านั้น เพราะเมื่อผมดูจบ และมาคิด ๆ ดูแล้ว
คิดในมุมมองของคนยังไม่ได้อ่าน ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าได้ดู
คิด ๆ ไปแล้ว ถ้าเรายังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน มีหวัง หนังเรื่องนี้เข้าทำเนียบหนังกล่อมเด็กหลับแหง ๆ
เพราะมันช่างเนิบนาบ แถมยังตัดต่อได้ไม่ต่อเนื่องอย่างที่สุด
ป้อมยักษ์มีบทบาทอะไร โผล่มาแค่นั้นเองหรือ??
พี่ทองโผล่มาที่ทะเลได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่??
แม่ตายตอนไหน ตายยังไง เป็นโรคอะไรตาย??
ลุงตอง น้ากัณฑ์ น้าฎา เป็นใคร อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา เป็นบุรุษพยาบาล กับนางพยาบาลเหรอ??
แม่เธออายุเท่าไหร่กันแน่ เพราะลิ้นชักด้านหลังมีเยอะเกินเหตุ!!
ตาเป็นทนาย แล้วยายเป็นอะไร ทำไมมีบ้านหลังเบ่อเร่อขนาดนั้น บ้านทรงไทยอย่างนั้น
หลังละไม่ใช่หมื่นสองหมื่น แถมที่ติดริมน้ำอีกต่างหาก
ม้าตัวนั้นมันคือเชี่ยอะไร โผล่มาทำไม เป็นม้าเทวดาเหรอ กะทิเห็นแล้วหยุดร้องไห้
ไม่เห็นมันทำอะไร มันมาแล้วก็ไป ตกลงมันคืออะไร??
กะทิส่งจดหมายถึงพ่อฉบับนั้นไปหาใคร??
สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว รู้แน่ครับว่าส่งไปให้พี่ทอง แทนที่จะส่งไปหาพ่อ แต่คนที่ยังไม่ได้อ่านล่ะ
จะรู้หรือเปล่าว่าตกลง จดหมายถึงมือพ่อหรือเปล่า เพราะอยู่ดี ๆ ไอ้พี่ทองก็โผล่มา
แล้วบอกว่าเป็นความลับกันสองคน ถามหน่อย เมิงจะลับไปไหน บอกกันมั่งก็ได้ ไหน ๆ ก็งงจะแย่อยู่แล้ว T_T
ไอ้ตัวหนังสือที่โผล่ขึ้นมาตอนสลับฉากนั่นมันหมายความว่าอย่างไร "ไม่มีใครพูดถึงแม่" "ไม่มีใครเล่าเรื่องแม่ให้ฟัง"
มันคืออะไร คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาไม่รู้หรอกครับ ว่าในหนังสือมันอธิบายอะไรไว้บ้าง
เล่นลอกหนังสือมาอย่างนี้ คนที่ยังไม่ได้อ่าน ก็มีแต่คิดว่า เออ เล่นง่ายเน๊อะ
นักแสดงไม่ต้องออกแอ็คติ้งอะไรเลย แค่เอาตัวหนังสือแปะไว้ให้รู้ว่ากะทิคิดอะไรอยู่ เท่านั้นก็พอแล้ว
ฯลฯ
ก็อย่างที่บอกมาทั้งหมด ว่า หนังเรื่องนี้ ตามความคิดผมแล้ว มันเหมาะมากสำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว
แต่ไม่เหมาะเลย สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน
ซึ่งในกลุ่มหลังก็ต้องมาลุ้นกันว่า จะรู้สึกอย่างไรกับหนัง
เพราะมันเปรียบเสมือนดาบสองคมจริง ๆ ไม่มีตรงกลาง
มีแต่ ชอบ เออ หนังเรื่อย ๆ ดี สดใส ภาพสวย นักแสดงน่ารัก บทดี (สำหรับคนที่ตามทัน)
แต่ถ้าคนที่ตามไม่ทันแล้วก็โน่นเลยครับ เหมือนถูกหลอกมาปล่อยอยู่กลางมหาสมุทรแอนตาร์กติก
กุเข้ามาดูอะไรวะเนี่ย เข้ามาดูหุ่นยนต์แสดงกันใช่ไหม และหนังเรื่องนี้มันอะไร
ใช้ทากกำกับเหรอ ทำไมมันเนือย ๆ เรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ อย่างนี้ล่ะ
เนื้อเรื่องมันก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ประมาณว่า เมิงรีบก็รีบไป แต่กุไม่รีบ อะไรประมาณนี้อยู่แล้ว
ยังจะมาเจอมุมกล้องชวนหลับเข้าไปอีก เลื่อนจังเลย หน้าต่างมีกี่บาน พี่แกเลื่อนกล้องผ่านหมด
โชคดีที่เป็นหน้าต่าง และ ประตูบ้าน ซึ่งมันมีอยู่ไม่เยอะ แต่ถ้าเมื่อไหรที่ถ่ายฉากวัด
มีหวังพี่แกเลื่อนครบทุกหน้าต่างในโบสถ์แหง ๆ T_T
คือดูเหมือนจะโปร แต่หารู้ไม่ว่ามันชวนมึนเป็นอย่างยิ่ง ไอ้วิธีการเหล่านี้มันดีก็จริงครับ
แต่เล่นเอามาใช่ซะทั้งเรื่อง มันก็ชวนอ้วกได้เหมือนกัน
ก็แทนที่จะไม่ชอบเฉย ๆ มันเลยพาลเป็นเกลียดไปโน่นเลย!!!
เพราะฉะนั้น ผมจึงบอกเพื่อน ๆ ผมที่มาถามว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือเปล่า น่าดูหรือเปล่าทุกคนว่า
ถ้ายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็อย่าเข้าไปดูเลย มันจะหลับเสียเปล่า ๆ
แต่ถ้าอ่านแล้ว ก็ไปดูเหอะ หนังดีจริง ๆ ดูออกมาแล้วยิ้มได้
หากถามว่า หนังเรื่องนี้ให้อะไรแก่คนดู พูดตรง ๆ ว่าผมตอบไม่ได้หรอกครับ
เพราะตัวหนังสือเอง สำหรับผม (เน้นว่าสำหรับผมนะครับ)
ก็ไม่ได้ให้อะไรแก่ผมเช่นเดียวกัน อ่านได้เพลิน ๆ จบแล้วก็จบกันไม่ได้อยากจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอีก
แต่ถ้าถามว่า หนังสือเล่มนี้ควรค่าแก่รางวัลซีไร้ท์หรือเปล่า ผมตอบได้ง่าย ๆ ว่า ไม่ควร
เพราะตามความคิดเห็นของผม ที่ไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ได้จบอักษรศาสตร์บัณฑิต
ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับวงการวรรณกรรมเลย ผมว่า ถ้าเอานิยายเรื่อง
"ความสุขของกะทิ" กับ "824" ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ มาเทียบกันแล้ว
ผมว่า เรื่อง "824" น่าจะได้รางวัลกว่าเยอะ!!!
แต่ถ้าถามผมว่า หนังเรื่องนี้ดีไหม ก็ต้องบอกว่า "ดีทีเดียวครับ"
ดูแล้วต้องกลับมานั่งฟังเพลงประกอบหนังเรื่อง "ความสุขของกะทิ" อยู่ที่บ้านซ้ำอีก
มันรู้สึกมีความสุขจริง ๆ ^_^
แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ มันก็เป็นเพียงความคิดของผมคนเดียว คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้คิดเหมือนผมก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากไปดูก็ไปดูเหอะครับ แต่ถ้าไม่อยากไป รอซื้อตอนมันออกมาเป็นแผ่นก็ไม่เสียหายอะไร
และแน่นอน บทความด้านบนทั้งหมดนี่ เป็นความคิดเห็นของผมแต่ผู้เดียว
ผมบอกว่า ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า หนังมันดีสำหรับทุกคน เพื่อน ๆ ไปดูมาแล้วอาจจะบอกว่ามันห่วยแตกก็ได้
เพราะฉะนั้น ดูหนังให้สนุกครับ
มีความสุขกับการดูหนังตลอดปี 2552
มาเจอหนังสนุกก็ถือว่าโชคดี มาไม่เสียเที่ยว
แต่ถ้ามาเจอหนังห่วย ก็ถือซะว่า เสียเงินมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ก็แล้วกันครับ!! (ทั้งที่หนาวจนไข่แข็งไปหมดแล้วนี่แหล่ะ)
สมันน้อย เบอร์ 14
**แก้ไขสัญชาติพ่อของกะทิครับ ขอบคุณคุณ ปวยเล้ง คคห.ที่ 5 ที่ช่วยเตือนความจำ คุณจำถูกแล้วล่ะครับ แต่ผมนี่แหล่ะที่จำผิด T_T
แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 52 08:41:56
แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 52 08:16:37