Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    Watchmen : ขำไหม๊ ? ศัตรูที่แท้จริงของสงครามคือ “สันติ” (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญและโปรดใช้วิจารณญาณ)

    นอกจากภาพรุนแรงที่ไม่เหมาะแก่เด็กและเยาวชนแล้ว  แนวคิดหรือทัศนคติในเรื่องก็สมควรได้รับการใคร่ครวญอย่างมีวิจารณญาณด้วยเช่นกัน
     
    คงเหมือนภาพรอร์ชาชที่ใช้ทดสอบสภาพจิตผู้ป่วย  รอยเปื้อนหมึกเพียงหน้าเดียวสะท้อนความคิดแต่ละคนได้หลากหลาย  หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน  คงจะมีทั้งคนที่เห็นว่างดงามในคมคิด  บ้างก็เห็นว่าเยิ่นเย้อและน่าเบื่อ  ไม่ผิดหรอกครับที่จะเห็นต่าง  Watchmen เป็นเพียงภาพสะท้อนของอดีต  ประสบการณ์และจริตส่วนตัวของผู้ชมแต่ละท่านซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยเหมือนกัน

    หากท่านเคยผ่านตาหนังของโอลิเวอร์ สโตนมาบ้างอย่าง Platoon (1986), Born on the Fourth of July (1989), Heaven & Earth (1993) หรือ JFK (1991) คงจะดู Watchmen  เรื่องนี้อย่างออกอรรถรสมากขึ้น

    Watchmen  เหมือนจะมาในทางเดียวกับ Hancock ที่พยายามหามุมมองหรือท่าทีใหม่ที่โลกควรจะมีต่ออเมริกา  หนังฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่อต้านด้วยการยอมรับภาพลักษณ์ที่ปรากฏชัดอยู่แล้ว  ทั้งความรุนแรงจากสงครามที่อเมริกามักตอบโต้อย่างซาดิตถ์คล้ายพฤติกรรมของคอมมิเดี้ยน  เสรีภาพในหลายๆ เรื่องที่อเมริกาแสดงออกจนบางครั้งก็ดูน่าหมั่นไส้คล้ายพฤติกรรมของเลสเบี้ยนฮอร์ (ในยุคนั้นรักร่วมเพศยังถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้  เอลตั้น จอห์น น่าจะรอดมาได้ด้วยหน้ากากคุณแอบ ?)  ความน่าสมเพชของผู้ที่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษสงครามหรือเหล่าทหารผ่านศึกซึ่งต้องใช้ชีวิตธรรมดาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจธรรมดาได้อีกต่อไปเหมือนกับเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่ปลดระวาง
     
    Watchmen  เน้นภาพสายฝนที่เหมือนหลั่งน้ำตาให้สังคมโลกไม่ขาดสาย  เสียงหัวเราะ  รอยยิ้ม  หรือสัญลักษณ์ของความสุขถูกบดบังด้วยความตึงเครียดจากความโสมมในสังคมและระเบิดนิวเคลียร์ที่ใกล้ปะทุจากภัยสงครามเย็น  อารมณ์ของหนังในช่วงต้นสรุปได้ในภาพเดียว  นั่นคือเข็มกลัดสไมล์ลี้ ( smiliey ) ที่เปื้อนเลือดของคอมมิเดี้ยน

    หนังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ทำหน้าที่จิตแพทย์  ไม่ใช่แค่พิจารณาพฤติกรรมของตัวละครแต่ยังรวมไปถึงการพิจารณาประวัติศาสตร์อเมริกาที่เคยผ่านยุคเลวร้ายในอดีต  หนังแสดงให้เห็นว่าเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ในเรื่องล้วนแต่เป็นคนมีปัญหาไม่ต่างไปจากสามัญชนทั่วไป  มหาอำนาจในสังคมโลกอย่างอเมริกาก็เช่นกัน

    จุดเด่นของ Watchmen อยู่ที่การให้รายละเอียดตัวละครและการสร้าง Dogma เพื่อมองโลกในแง่ร้าย  แสดงธรรมชาติหรือสันดานดิบอันชั่วโฉดของมนุษย์  สันติภาพ  ความดีงามหรือธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งได้รับการยอมรับในสังคมล้วนแต่เป็นหน้ากากหลอกลวงที่มนุษย์ใช้โป้ปดกัน  ประคับประคองความดีงามเพื่อประโลมโลกให้มองข้ามความจริงอันโหดร้าย  ก่อนที่สงครามและความรุนแรงจะปะทุขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อพลังแห่งหน้ากากนั้นเริ่มอ่อนแรง

    Watchmen เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าสนใจ  ประกอบรวมเป็นบุคลิกของสังคมอเมริกาที่หลากหลาย

    เริ่มด้วยฉายาเดอะคอมมิเดี้ยน (The Comedian หรือ Edward Blake ในอีกชื่อหนึ่ง)  แบล้คมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือสไมล์ลี้  เป็นตัวแทนความตลกร้ายของมนุษย์ที่หลงใหลในความซาดิตถ์  ความรุนแรงและสงคราม ( ฉากที่แบล้คถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด  หนังคลอเพลงหวานหยดแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของความรุนแรงซึ่งผู้กำกับมักสื่อถึงอยู่เสมอในหนังของเค้าโดยเฉพาะเรื่อง 300 )  แบล้ครังเกียจการสร้างภาพ  ประชดประชันโลกด้วยการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา  สันชาติญาณดิบของแบล้คไม่เคยถูกปิดบัง  แบล้คไม่เคยยี่หระต่อมนุษยธรรมเพราะถือว่านั่นก็เป็นเพียงหน้ากากประเภทหนึ่งของมนุษย์  แบล้คเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการตอบโต้อุดมการณ์ที่ขัดแย้ง  ทั้งในสมรภูมิรบและในเกมการเมือง  การที่เจเอฟเอถูกลอบสังหารก็มีแบล้คอยู่เบื้องหลังเช่นกัน

    ฉายาซิลค์ สเป็คเตอร์ที่หนึ่งซึ่งเป็นแม่ของลอรี่  (ซิลค์สเป็คเตอร์รุ่นสอง)  หนังให้ภาพเธอเหมือนดาราดังตกอับ  ติดภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์ในอดีตจนไม่อาจสลัดทิ้งและต้องการให้ลูกสาวคนเดียวเจริญรอยตาม  เธอกุมความลับสำคัญบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผย  ตราบใดที่ความลับยังคงเป็นความลับ  ความขัดแย้งรุนแรงในตัวลอรี่ก็จะไม่เกิดขึ้น  ประเด็นเรื่องความลับของลอรี่สอดคล้องกับความลับเรื่องสันติภาพในตอนจบ  ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนของซิลค์ สเป็คเตอร์ที่หนึ่งกับแบล้คถือเป็นกุญแจสำคัญเพื่อไขคำตอบในการทำความเข้าใจมนุษย์ของ ดร.แมนฮัตตั้น

    ฉายาซิลค์  สเป็คเตอร์รุ่นที่สอง  (Silk Specter 2 หรือ Laurie Jupiter ) ลอรี่เป็นสาวสวยที่ได้เชื้อความเร่าร้อนมาจากแม่  เธอเดินตามความฝันที่แม่ขีดวาดไว้เหมือนเด็กสาวอเมริกันส่วนใหญ่  สืบทอดเจตนารมณ์ในการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ร่วมวงการเดียวกับแม่  ลอรี่เป็นแฟนกับ ดร.แมนฮัตตั้นแต่เธอกลับรู้สึกว่างเปล่าทั้งที่ดร.เค้าสุดจะสมบูรณ์แบบเป็นพ่อพระ  ทุกเหตุผลล้วนสรุปว่าดร.แมนฮัตตั้นคือคนที่เธอควรจะรัก  ทว่าความรู้สึกของลอรี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น  ความรักเป็นสิ่งอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเข้าใจได้ด้วยตรรกะ  จนกระทั่งลอรี่ได้ใกล้ชิดกับแดนหรือไนท์ฮาวน์รุ่นที่สอง

    ฉายาไนท์ฮาวน์รุ่นที่หนึ่ง ( Nite Owl 1) ซึ่งแดน (ไนท์ฮาวน์รุ่นสอง) ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ  เป็นภาพสะท้อนถึงวีรบุรุษสงครามหรือทหารผ่านศึกที่ไม่มีใครมองอย่างให้ความสำคัญเช่นในอดีต  ไนท์ฮาวน์รุ่นหนึ่งเป็นชายชราในอู่ซ่อมรถที่ไม่อาจซ่อมแซมอดีตของตัวเอง  อย่างที่กล่าวกับแดนว่าเค้าไม่เคยคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นซุปเปอร์ฮีโร่นั้นอีกเลย  ถือเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับความคิดของแดนโดยสิ้นเชิง

    ฉายาไนท์ฮาวน์รุ่นที่สอง ( Nite Owl 2 หรือ Dan Dreiberg ) แดนเป็นตัวอย่างนิยามของคำว่าเนิร์ด (nerd) ได้ครอบคลุมที่สุด (เชิญทดสอบเนิร์ดเทสต์ได้ที่  www.nerdtests.com )  แดนคือหนุ่มใหญ่ผู้สวมแว่นตาหนาเตอะ  มีความฝันของตัวเองชัดเจนและทุ่มเทเพื่อฝันนั้นโดยไม่แคร์สายตาครอบครัวและคนรอบข้าง  รักการประดิษฐ์เครื่องยนต์กลไกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน  เค้าค่อนข้างเก็บตัว  ไม่เก่งในการเข้าสังคมหรือแม้แต่การแสดงความรัก  เด็กเนิร์ดมักคบเพื่อนแปลกๆ  และเพื่อนแท้ของแดนก็คือรอร์ชาช

    ฉายารอร์ชาช (Rorschach หรือ Walter Kovacs ) เค้ามีบุคลิกเหมือนนักสืบอย่างเชอร์ล็อค โฮมส์  มีวิธีคิดอย่างนักนิติศาสตร์ผู้เคร่งครัด  หยิ่งทะนงและรักเกียรติเหนือชีวิต  สวมหน้ากากผ้าเหมือนภาพหมึกรอร์ชาช (Rorschach Test)  ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ยากที่จะตรวจจับหรือประเมินอารมณ์ของเค้าได้ถูกต้อง  รอร์ชาชปรากฏตัวพร้อมเสื้อคลุมยาวและหมวกคู่ใจ  แม้อากาศจะเหน็บหนาวแค่ไหนแต่เครื่องแต่งกายของเค้าไม่เคยเปลี่ยน  หน้ากากไม่อาจถูกถอดออกจากหน้า  หมวกไม่อาจหลุดจากศีรษะ  เป็นคนเถรตรงและไม่ประนีประนอม  โลกในมุมมองของราร์ชาชชัดเจนระหว่างสีขาวและสีดำ  ผิดก็คือผิด  ถูกก็คือถูก  รอร์ชาชยอมตายเพื่อความยุติธรรมในรูปแบบอย่างที่เค้าศรัทธา  (คล้ายโสเครติสที่ยอมดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องแนวคิดเรื่องความยุติธรรมของตน )

    ฉายาออสซี่แมนเดี๊ยน (Ozymandias หรือ Adrian Veidt ) ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลก  หนังแทบไม่ให้ข้อเท็จจริงในภาคอดีตหรือปมปัญหาของแอเดรี่ยน  คงปรากฏเฉพาะเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าเค้ามุ่งเจริญรอยตามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชในการรวมโลกเป็นหนึ่งเดียว  ทั้งยังศรัทธาวิธีการปกครองของฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) ที่กระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโหดเหี้ยม  (แอเดรี่ยนใช้วิธีนี้ทั้งที่บริษัทและที่ศูนย์วิจัย)  แอเดรี่ยนมีเจตนารมณ์อันเลอเลิศนั่นคือสันติภาพของโลกทว่าวิธีการอาจเป็นประเด็นถกเถียงได้จนถึงระดับปรัชญา  ทางออกในการยุติสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและโซเวียตเกิดขึ้น ณ ผืนน้ำแข็งบนดินแดนแอนตาร์กติกซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของแอเดรี่ยน  บุคลิกของเค้าเหมือนเกย์  ทั้งการแต่งกายที่บอกผู้ชมอยู่เป็นนัย (ด้วยสีประจำชาติ) การสรรเสริญพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึงรสนิยมทางเพศของพระองค์  เจตนารมณ์ในการหลอมรวมความเป็นหญิงและชายเพื่อความเป็นเลิศของมนุษย์  ในอีกมิติหนึ่งสะท้อนถึงการรวมกันระหว่างขั้วสงครามในโลกเพื่อสันติภาพ  คู่ต่อสู้ที่ฉลาดเหนือกว่าแอเดรี่ยนคงจะมีเพียงคนเดียวนั่นคือ ดร.แมนฮัตตั้น  

    ฉายา ดร.แมนฮัตตั้น  (Dr. Manhattan หรือ Jon Osterman) อดีตเด็กชายที่มีพ่อเป็นช่างทำนาฬิกา  พ่อสอนเค้าเสมอให้ประกอบชิ้นส่วนที่กระจายแยกย่อยอยู่ให้เป็นนาฬิกาที่สมบูรณ์  เมื่อจอนประสบอุบัติเหตุในการทดลองทางวิทยาศาสตร์จนร่างฉีกกระจายไม่เหลือซาก  เค้าพยายามประกอบวิญญาณและสสารเป็นร่างกายมนุษย์อีกครั้งพร้อมทรงอำนาจพิเศษเสมือนพระเจ้าในการหยั่งรู้อดีตและอนาคต  หน้าผากของ ดร.แมนฮัตตั้น เป็นรอยตราคล้ายดวงตาที่สามหรือญาณทัศนะของเทพ  ร่างกายเรืองแสงสีฟ้าของเค้าเป็นสัญลักษณ์ของสันติ  ความสุขุมและวาจาที่เรียบเย็นทำให้ดร.แมนฮัตตั้น กลายเป็นผู้ทรงปัญญาเหนือมนุษย์  

    ความมหัศจรรย์นี้ถูกนิยามแบบเล่นง่ายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองว่า ดร.แมนฮัตตั้น คือพระเจ้าสัญชาติอเมริกา ดร.แมนฮัตตั้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามของอเมริกา  เค้ามักถูกอ้างอยู่เสมอเพื่อให้การทำสงครามมีเหตุผลว่าเป็นไปเพื่อสันติภาพของโลก  ไม่ว่าจะเป็นสงครามกวาดล้างคอมมิวนิตส์  สงครามเวียดนามหรือการทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่นเพื่อยุติสงครามโลก  ฉากตลกร้ายในหนังที่ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งกล่าวหาว่า ดร.แมนฮัตตั้น เป็นสาเหตุให้ผู้ใกล้ชิดต้องเป็นมะเร็ง  สอดคล้องกับประเด็นเรื่องผลข้างเคียงของสงคราม  ว่าด้วยอาการเจ็บป่วยจากสารพิษทั้งฝนเหลืองในเวียดนามและโรคลูคีเมียในประเทศญี่ปุ่น (ดังตำนานนกกระเรียนพันตัวของเด็กหญิงซาดาโกะ)  จำเลยกรณีนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “สันติภาพ” จอมปลอมที่อเมริกาเคยใช้กล่าวอ้างในอดีต

    ภาพประชดประชันที่เจเอฟเคจับมือกับดร.แมนฮัตตั้น (สื่อถึงการร่วมมือกับสันติภาพ)  ซึ่งต่อมาเจเอฟเคก็ถูกลอบสังหารโดยคอมมิเดี้ยน  นโยบายของเจเอฟเคในการยุติสงครามเวียดนามกลับกลายเป็นการขัดผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเก่าในบ้านเมืองซึ่งมองสงครามเวียดนามเป็นหลุมทองในการตักตวง  

    เกิดประเด็นคำถามคำโตแก่สังคมและผู้ชมว่าแท้จริงแล้วอะไรกันแน่เป็นศัตรูที่แท้จริงของสงคราม

    หรือ  “ศัตรูที่แท้จริงของสงครามคือสันติภาพ”

    ผมไม่ได้เจตนาสรุปข้อความข้างต้นให้ดูลึกซึ้ง  ชวนงง  หรือยกระดับประโยคให้ดูเป็นปรัชญา  แต่ Watchmen สื่อให้เห็นอย่างชัดเจนในตอนไคลแม็กซ์ว่าศัตรูร่วมระหว่างขั้วอำนาจของโลกคือ ดร.แมนฮัตตั้น  ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ  ตัวแทนแห่งปัญญาญาณหรือความดีงามของมนุษย์ ?

    ตอนจบเราจะเห็นทางเลือกของ ดร.แมนฮัตตั้นในการยอมโกหกมนุษย์เพื่อประคองความสงบสุขแก่โลก  เป็นทางเลือกที่แม่ของลอรี่เคยใช้เพื่อปกปิดความจริงถึงการกำเนิดความรักอันผิดตรรกกะของเธอ  

    Watchmen มองสันติภาพเป็นเหมือน “หน้ากาก” ที่สังคมใช้สวมทับสันดานดิบซึ่งกระหายสงครามของมนุษย์  เรายังจะปลาบปลื้มกับสันติภาพที่เป็นเหมือนยาชาเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวดชั่วระยะ  หรือแข็งแกร่งพอที่จะไม่ยี่หระกับสงครามซึ่งแท้จริงแล้วก็แค่ธรรมชาติหนึ่งของโลก

    เมื่อเรามองสไมล์ลี้ของคอมมิเดี้ยน  เราเห็นสิ่งใด  ระหว่าง “รอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนรอยยิ้ม”  หรือฝืนเห็น “รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนรอยเลือด”

    ไม่มีใครผิดที่จะเห็นต่าง  มันเป็นเพียงภาพสะท้อนของอดีต  ประสบการณ์และจริตส่วนตัวของแต่ละท่านซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยเหมือนกัน


    แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 52 01:14:39

    แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 52 01:07:51

    แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 52 00:53:38

    แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 23:56:32

    แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 23:54:04

    แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 23:26:52

    จากคุณ : beerled - [ 8 มี.ค. 52 23:07:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com