CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    <<ดูแล้วมาคุยกัน ... Watchmen , หนังสำหรับคนรักลีลาแบบ Lost ผสมประเด็นแบบ The Dark knight ภายใต้ภาพลักษณ์แบบ Sin city >>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (49 คน)
      ชอบ (11 คน)
      เฉยๆ (6 คน)
      ไม่ชอบ (2 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (3 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 71 คน

     69.01%
     15.49%
     8.45%
     2.82%
     4.23%


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป , อ่านความเห็นอื่นที่น่าสนใจ และ ชวนมาพูดคุยต่อที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=10-03-2009&group=14&gblog=145


    ...Watchmen เป็นหนังที่ผมตอบยากมากว่า น่าไปดูหรือเปล่า ?

    เพราะ มันเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่ใช่หนังที่จะเข้าถึงคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนบ้านเราที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมร่วมกับการ์ตูนต้นฉบับ หรือเหตุการณ์ในหนัง แถม ตัวหนังจริงก็ไม่ได้แอคชั่นมันส์หยดเหมือนที่คาดหวังได้จากตัวอย่าง

    ซึ่งก็คงโทษหนังตัวอย่างไม่ได้อีก เพราะต้นฉบับเขาก็ส่งมาแบบนั้น แต่คนบ้านเขารู้อยู่แล้วว่า ตัวหนังเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร




    ... ถ้าจะเล่าสั้นๆก็พอเกริ่นได้ว่า

    หนังพาเราไปโลกใบหนึ่งที่ ประธานาธิบดี นิกสัน ได้รับเลือกตั้งมาห้าสมัย และ อเมริกาชนะสงครามเวียดนาม

    ในโลกใบนั้น เคยมี กลุ่มคนสวมหน้ากากร่วมมือกันปกป้องสังคมและอยู่เหนือกฎหมาย เสมือน ฮีโร่ แต่ นานวัน ประชาชนเริ่มต่อต้านและประท้วงการมีอยู่ของคนกลุ่มนี้ เพราะเห็นว่ามีอภิสิทธิ์เกินเหตุ คนกลุ่มนี้มีการสืบทอดจากรุ่นแรกถึงรุ่นที่สอง



    แต่ในที่สุด รัฐบาลจำต้องถอดถอนการมีอยู่ของฮีโร่ตามเสียงของประชาชน และทำให้ฮีโร่บางคนถูกรัฐไล่ตามจับในฐานะอาชญากรอีกต่างหาก



    จุดเริ่มต้นของหนัง เริ่มต้นจาก ฮีโร่รุ่นคุณลุงชื่อ The Comedian ที่เป็นฮีโร่มาตั้งแต่รุ่นหนึ่ง ถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับ

    เหตุการณ์ของหนังดำเนินเรื่องชวนให้คนดูต้องติดตามว่า ใครกันเป็นคนฆ่า และ มีแผนเบื้องลึกอันใดในการฆ่า



    จากนั้น หนังก็พาเราไปพบตัวละครอื่นๆทีละตัว แล้ว ย้อนไปเล่าปูมหลังของตัวละครเหล่านั้น และ เราก็จะค่อยๆเข้าใจ ชีวิตที่แสนเจ็บปวดของตัวละครและแผนร้ายที่น่าขบคิด ที่เริ่มต้นจากการ ฆาตกรรม The Comedian




    ... ตอนดูตัวอย่างหนังก็ชอบประมาณหนึ่ง แต่พอได้ดูหนังจริง แค่ฉากเปิดเรื่องที่ปูพื้นเรื่องราวของกลุ่มฮีโร่ตั้งแต่รุ่นหนึ่งมาจนถึงรุ่นสอง ผ่านเหตุการณ์สำคัญในโลกความเป็นจริง ที่หนังเอาไปแต่งแต้มในโลกของ Watchmen เช่น กรณีลอบสังหาร JFK , ภาพชื่อดังและศิลปินแอนดี้ วอร์รอล ฯลฯ ก็ต้องร้องในใจว่า ซูโค่ยยยยย

    และไม่แปลกใจที่คนอเมริกาจะสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้มากเป็นพิเศษ เพราะ ยิ่งคนดูมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากแค่ไหน ก็เป็นเหมือนโบนัสที่จะสนุกกับการนำไปล้อในหนังมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ การไม่รู้เลยก็ใช่จะเป็นปัญหามากมายนัก

    และ หนังก็ทำให้ผมต้องเสียเงินอีกรอบ คือ หลังจากดูหนังจบก็ตระเวนหา หนังสือการ์ตูนที่จัดได้ว่าแพงที่สุดในชีวิตที่เคยซื้อคือ 600 กว่าบาท แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ที่ซื้อมาเป็น นิยายภาพ เพราะ ฟังดูคุ้มค่าhaha แถมที่ซื้อก็เพราะว่า



    -Watchmen ฉบับการ์ตูนหรือนิยายภาพ เป็นผลงานของนักเขียน อลัน มัวร์ (ที่คนส่วนใหญ่น่าจะรู้จักเขาจากหนัง V for vendetta ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนิยายภาพอันโด่งดังของเขา) ฉบับการ์ตูนี้คว้ารางวัลมามากมาย เช่น รางวัล Hugo award ฯลฯ แถมยังเป็นการ์ตูนเรื่องเดียวได้รับการยกย่องให้ติดอันดับใน the 100 best English-language novels from 1923 to the present ของนิตยสาร Times

    -Watchmen ฉบับหนัง ถูกดัดแปลงโดย ผกก. Zack Snyder ที่คนดูส่วนใหญ่รู้จักจากหนังแมนๆอย่าง 300  (แต่ผมไม่ชอบเท่าไหร่ ชอบ Dawn of the Dead ที่เขากำกับมากกว่า) คะแนนเปิดตัวจากเว็บมะเขือเน่า คะแนนกลุ่มคนดูเฉลี่ยอยู่ที่ 77% และ นักวิจารณ์ก็ให้กันเฉลี่ยที่ 65% และ imdb อยู่ที่ 8.3/10


    ... Watchmen ทำให้ผมคิดถึงหนังสามเรื่องสามรส และ คิดว่าถ้าใครชอบสามเรื่องนี้ ไม่ควรพลาดที่จะตีตั๋วไปชม Watchmen



    ปราสาทมืดดู Watchmen แล้วคิดถึง Lost

    ... ส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดถึง ซีรี่ย์ Lost ที่ หน้าหนังนึกว่า หนังสัตว์ประหลาดถล่มคนบนเกาะ แต่ไปๆมาๆคือ หนังที่เล่าผสมทั้งปรัชญา , ศาสนา , วิทยาศาสตร์ แถมเล่ากระโดดย้อนหน้าย้อนหลังเพื่อเล่าปูมหลังตัวละคร โดย มีความลึกลับชวนอยากรู้คำตอบของเกาะปริศนา ตลอดทั้งเรื่อง

    ส่วน Watchmen ก็จะมีการแฟลชแบ็คย้อนกลับไปเล่าปูมหลังที่มาของแต่ละตัวละครให้เข้าใจว่า กว่าจะมาเป็นแบบนี้  พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง โดยผสมผสาน หนังดราม่า ไปกับ หนังสืบสวนสอบสวน ภายใต้ แก่นของปรัชญาทั้งด้านการเมือง , สังคม และ ความเป็นมนุษย์




    ค้างคาวดู Watchmen แล้วคิดถึงThe Dark knight


    ... ขอแสดงความเสียใจจริงๆกับผู้ชมที่ตีตั๋วเพราะเห็นคนแต่งชุดเท่ๆกับตัวอย่างเท่ๆ แล้วนึกว่าหนังจะออกมาแบบ Fantastic 4 หรือ X – men

    เพราะตัวหนังออกมาในแนวหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบ Dark knight ที่อาศัยแค่เครื่องแบบของการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่เนื้อในเน้นการตั้งคำถามย้อนกลับไปสู่คนดู หรือให้ความสำคัญกับโจทย์ที่เป็นปรัชญามากกว่า จะเป็น หนังแอคชั่นต่อสู้

    ถ้าใน Dark knight โจ๊กเกอร์เคยเตือนแบทแมนว่า  แรกๆเค้าก็ดีกับแก แต่วันหนึ่งแกก็จะเป็นเหมือนข้า เมื่อแกไม่มีประโยชน์ ประชาชนก็จะมองแกเป็น ไอ้บ้าใส่หน้ากากที่เป็นส่วนเกินของสังคม ใน Watchmen ก็ถ่ายทอดชะตากรรมเหล่านั้น ภายในไม่กี่นาทีแรก ที่หนังเล่าจากจุดเริ่มต้นสู่จุดจบของฮีโร่สวมหน้ากากอย่างชาญฉลาดและน่าสลดใจ

    ถ้าใน Dark knight เคยมีการตั้งคำถามให้ชวนคิดว่า การสวมชุดเท่ๆแล้วทำตัวเหนือกฎหมายในฐานะฮีโร่ เป็น สิ่งที่สมควรมีในสังคมหรือไม่ ใน Watchmen นำเสนอให้เห็นแล้วว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาของ คนธรรมดาที่ไม่ใช่คนดีแสนดี มาใส่ชุดฮีโร่ทำตัวเหนือกฎหมายแบบนี้สังคมจะเป็นอย่างไร


    ถ้า Dark knight เคยมีโจทย์ประมาณว่า การโกหกประชาชน เพื่อรักษา ความดีงาม สมควรหรือไม่ , จำเป็นหรือเปล่าที่ต้องนำเสนอความจริงให้คนรับรู้ หากความจริงนั้นไม่ช่วยอะไร  ใน Watchmen ก็จะมีโจทย์ให้คิดคล้ายๆกันประมาณว่า คุ้มมั้ย กับการฆ่าคนหนึ่งคนเพื่อช่วยคนสิบคน , จำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้สังคมรู้ความจริง

    ในแง่ความเป็นหนังโดยรวม ผมชอบ Dark knight มากกว่า แต่ถ้าเน้นไปที่ ความน่าสนใจของตัวละครแบบปัจเจกชน หรือ ปรัชญาสังคมที่หนังท้าทายความคิดของคนดู Watchmen นำเสนอได้มากกว่า เพราะ Dark knight ตัวละครค่อนข้างแบ่งสีชัดเจน และ ประเด็นไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่ แต่เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในทิศทางเดียว



    ฟักทองดู Watchmen แล้วคิดถึง Sin City


    ... ถึงจะเป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูน แต่ Sin City ก็ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับเด็กๆ เพราะ ท่ามกลางบรรยากาศมืดๆทึมๆอึมครึม เนื้อหาของหนังก็เล่าโลกของผู้ใหญ่ ที่พูดถึงกลุ่มคนไร้ทางสู้และถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Sexual abused หรือ child abused หรือการดูถูกเหยียดหยาม (สีผิว/ชนชั้นฯลฯ) อีกทั้ง ใส่ความรุนแรงเลือดสาดหรือฉากเอ็กซ์แบบไม่ยั้ง

    Watchmen ก็เช่นกัน หนังมุ่งเล่าถึงสภาพสังคม และ ความเสื่อมโทรมของมนุษย์ โดย ไม่บันยะบันยังในความรุนแรง เช่นฉาก หักแขน กระดูกทิ่ม ตัดมือ เลือดพุ่งปี๊ดพุ่งปี๊ด หรือ ฉากเอกซ์ก็เต็มที่ไม่มีบัง และเช่นเดียวกับ Sin City ที่ตัวละครในหนังไม่มีใครเป็น คนดีดี๊ดี แต่ละคนล้วนมี สีเทา สีดำ ผสมปะปนกันไป



    สรุป ... คุณจะชอบหนังเรื่องนี้ ถ้าชอบลีลาแบบ Lost ผสมประเด็นแบบ The Dark knight ภายใต้ภาพลักษณ์แบบ Sin city แต่ คุณจะผิดหวังอย่างรุนแรง ถ้าคาดหวังไว้ว่าจะเป็น X-men หรือ Fantastic four

    exclaim หมายเหตุ : หนังเรื่องนี้ไม่มีฉายโรงดิจิตอล และ โดนเซ็นเซ่อร์ นั่นคือ ช้างน้อยของดร.แมนฮัตตั้น ถูกทำให้มัวทุกฉากที่ปรากฎตัว บวก หนึ่งฉากจามหัวคนร้าย และ โรง Imax ก็โดนเช่นกัน ถ้าไปดูมีแต่จะเห็น เป้ามัวๆของดร.แมนฮัตตั้นใหญ่ขึ้นเท่านั้น


    ป.ล. ส่วน บทความ Watchmen แบบวิเคราะห์เต็มๆ ชวนไปอ่านต่อที่ filmax อีกสองเล่มข้างหน้าครับ (เขียนหมดกลัวไม่มีอะไรจะส่งเค้าsmile)


    man ... ขอฝากส่วนตัวนิดนึงจ้า กับหนังสือเล่มที่ 4 ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ชื่อ มากกว่าที่ตาเห็น - LifeScan  เปิดตัวที่งานเทศกาลหนังสือ โซนC1 บูธ N45 สนพ.4-letter word ศูนย์สิริกิติติ์ ปลายมีนาคมนี้ (รายละเอียดอ่านได้ที่บล็อกเน้อ)





    ideaบทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
    (บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

    ชวนคุยกันถึงหนัง(ออสการ์) ที่ได้ดู: สลัมด๊อก , นม , เฒ่าทารก , นักมวยปล้ำ ฯลฯ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=02-03-2009&group=14&gblog=143

    300 , นี่คือสปาตั้น(โว้ย) ... พลั่กกกกกก
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=03-2007&date=19&gblog=225

    Sin city , ฟิล์มนัวร์ที่ลงตัวและเจ๋ง
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=05-2005&date=29&blog=1

    แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 52 11:17:47

    แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 52 10:47:59

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 10 มี.ค. 52 10:45:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com