Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    กระทู้ทบทวน : เมื่อหนังสือพิมพ์ชื่อดังละเมิดลิขสิทธิ์บทวิจารณ์ slumdog ในบล็อกผม

    เนื่องจากกระทู้ผมเกิดสาบสูญไร้ร่องรอย  (ใครทราบช่วยอธิบายหน่อยน่ะครับ) จึงขอความกรุณาเบียดบังพื้นที่เพื่อนๆ ชาวเฉลิมไทยเพื่อเรื่องนี้อีกซักครั้ง (ท่านใดเคยอ่านแล้วกระโดดข้ามไปได้เลยครับ)

    กระทู้เริ่มแรก  ตอนที่ 1

    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7617512/A7617512.html

    ตอนที่  2  กรณีศึกษาการละเมิดลิขสิทธิ์บทวิจารณ์ slumdog โดยคนที่คุณก็รู้ว่าใคร (ผมขอลงใหม่น่ะครับ)

    ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกความเห็นและกำลังใจที่มีให้ครับ  สุดตื้นตันจากใจจริง  รู้สึกเหมือนฮาร์วี่  มิลค์ ตอนชนะเลือกตั้ง (เหมือนเฉพาะความรู้สึกดีใจน่ะ  อย่างอื่นไม่)  ที่คนชายขอบอย่างนักเขียนนอกวงการถูกมองเห็นจากสังคมสื่อแห่งนี้  ไม่ใช่แค่มองเห็นซิ  แต่ยังให้ความสำคัญชนิดที่ผมคาดไม่ถึง  นึกว่าจะมีคนอ่านและรู้เรื่องนี้แค่เพียง 10 ถึง 20  แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น  ดีใจจริงๆ ครับ

    หวังว่าจะมีการบอกต่อกันไปนะครับ  เพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน  หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดอีกหรือลดน้อยลงบ้าง  ผมเห็นหลายบล็อกแปะลิงค์ของกระทู้นี้ไว้พร้อมขอให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น  ขอบคุณมากๆ ครับ  

    ขอส่งต่อน้ำใจอันชุ่มชื่นจากมวลมิตรในกระทู้ก่อนของผมถึงนักเขียนโนเนมทั้งในบล็อกและที่ห้องเฉลิมไทย  แล้งนี้ยังมีฝนครับ  แม้จะไม่มีราคาแต่การได้รับการปกป้องแบบนี้ก็แสดงอยู่ในทีว่างานของเราเป็นสิ่งมีค่าอยู่พอตัว

    ความคืบหน้าในส่วนของคดีผมคงบอกได้เพียงบางส่วนและจำเป็นต้องดีเลย์พอสมควร  (เรียลทามไม่ได้จริงๆ)  

    หลังจากทราบเหตุในวันที่ 27  ก.พ 2552  ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้วางจำหน่าย  (อย่าย่ามใจว่าคนชอบดูหนังจะไม่อ่านหนังสือพิมพ์แนวการเมือง)  ต่อมาวันที่  28  ก.พ 2552  ผมมีหนังสือถึงบรรณาธิการ  (เร็วไหม๊ครับ)  แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบและขอให้แสดงความรับผิดชอบภายในเวลาที่ผมกำหนด  

    ขอเพิ่มเติมเป็นความรู้นิดนึงครับ  ว่าทำไมบรรณาธิการถึงต้องมาร่วมรับผิดชอบกับกรณีนี้  พระราชบัญญัติการพิมพ์  พ.ศ.  2484  มาตรา  48  กำหนดว่า  “เมื่อมีความผิดนอกจากที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นด้วยการโฆษณาสิ่งพิมพ์...ในกรณีแห่งหนังสือพิมพ์  ผู้ประพันธ์และบรรณาธิการต้องรับผิดเป็นตัวการและถ้าไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการด้วย”  ดังนั้น  นอกจากผู้ประพันธ์ซึ่งกระทำการละเมิดแล้ว  บรรณาธิการก็ถือเป็น “ตัวการ” ซึ่งกระทำการละเมิดด้วยอีกคนหนึ่ง  และมีความรับผิดไม่ต่างไปจากผู้ประพันธ์แต่อย่างใด

    หลังจากโนติสไปแล้ว  ( แนะนำให้เก็บหลักฐานการส่งเอกสารไว้ด้วยน่ะครับ  เพื่อประโยชน์ของคดี)  ต่อมาได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากหญิงที่อ้างตัวว่าเป็นหัวหน้าข่าวบันเทิงขอเลื่อนนัดเจรจาไปอีกอาทิตย์นึง  ผมยินดีเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบ  ต่อมาหัวหน้าข่าวบันเทิงท่านดังกล่าวก็เมล์เอกสารชุดหนึ่งมาให้ผมพิจารณา  เป็นงานเขียนประมาณ 4  แผ่นของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร  อ้างว่าเคยเขียนส่งอาจารย์ตั้งแต่วันที่  7  ก.พ 2552  ผมตรวจดูแล้วก็อุเบกขา  ไม่มีผลต่อความรู้สึกให้กระเพื่อมขึ้นลงแต่อย่างใด  เนื่องจากมันไม่ได้เหมือนกับงานที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  

    อาทิตย์ถัดมาได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากชายซึ่งอ้างว่าเป็นฝ่ายกฎหมายของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นและเป็นตัวแทนของบรรณาธิการเพื่อเจรจา  พร้อมทั้งบอกว่าปัญหาในลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งทางหนังสือพิมพ์คงต้องพิจารณาเพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป  ผมขอให้ทางหนังสือพิมพ์เสนอความรับชอบ  ทว่านับแต่วันที่  10  มีนาคม  2552  เป็นต้นมา  ผมไม่ได้รับการติดต่อจากทางหนังสือพิมพ์อีกเลย  จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีให้เป็นกรณีศึกษาแก่พวกเราชาวบล็อกเก้อร์และนักเขียนโนเนมในเว็ปบอร์ดแห่งนี้ทุกคน  

    และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นกรณีศึกษาของหนังสือพิมพ์เล่มนั้นด้วยเช่นกัน

    แม้งานเขียนในเน็ตจะเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้อ่านฟรีแต่มันก็เป็นสิ่งมีเจ้าของ  เมื่อถูกขโมยไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใครบางคน  นำไปหารายได้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผู้อ่านจะต้องควักกระเป๋าตังค์ซื้อ  จะเรียกว่าไงดีครับ  ทำนาบนหลังคน  ชุบมือเปิบ  เหยียบหัวคนอื่น  มือใครยาวสาวได้สาวเอา  หรือคนโง่อย่างพวกผมย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาดอย่างคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ?  

    ในความคิดผม  การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และไม่อาจฝืนใจปล่อยให้ผ่านเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ( เหมือนงานฉลองเทศกาลฉงหยางหลังจากเพิ่งฆ่าฟันกันมาหยกๆ ใน Curse of the Golden Flower ที่ทำทีเป็นปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  )  เมื่องานของเราถูกละเมิดก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการปกป้องเยียวยาอย่างเหมาะสม  ไม่ใช่แค่โดยกฎหมาย  (ซึ่งผมให้ความสำคัญน้อยที่สุด)  แต่เป็นการปกป้องโดยมติในสังคมของพวกเราเอง  เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นว่าเราจะไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นอีก  ควรที่จะต้องร่วมกันประณามด้วยเสียงที่ดังพอ  จนกว่ามันจะเดินทางไปถึงกระดูก ค้อน ทั้ง โคลน และสะเทือนจิตสำนึกของผู้ที่เกี่ยวข้องได้

    การท่องอินเตอร์เน็ตไม่ใช่การเดินป่า  จะหยิบฉวยอะไรมาเป็นของตนอย่างสะดวกมือคงไม่ได้  งานเขียนแต่ละชิ้นมีเจ้าของและจำเป็นต้องเคารพถึงสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของนั้น  ตราบใดที่คุณไม่กล้าสอยมะม่วงข้ามรั้วบ้าน  ก็อย่าริอาจสอยงานเขียนคนอื่นไปแปรรูปขายและอ้างชื่ออย่างภาคภูมิว่าเป็นการสร้างสรรค์โดยวิริยะของตนเอง

    แม้การจิ๊กงานในเน็ตจะยวนใจแค่ไหนเพราะไม่มีคนเห็น  ไม่มีเสียงหมาเห่า  ไม่มีตำรวจเดินตรวจซอย  ไม่มีเพื่อนบ้านแสนดีคอยดูแลแทน  แต่ขอให้ทราบว่าเสียงแห่งการทวงสิทธิ์ได้เริ่มดังขึ้นแล้ว  จะดังขึ้นอีก  และหวังว่าเสียงนี้จะปลุกเพื่อนบ้านในสังคมชาวเน็ตให้มาช่วยกันสอดส่องระแวดระวังภัยแก่กัน  สังคมในเน็ตไม่ใช่ป่าดงดิบหรือแดนคนเถื่อนแต่เป็นสังคมของผู้ที่เจริญแล้ว  ข้าวของทุกชิ้น ณ ที่แห่งนี่มีกล้องวงจรปิดมองอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน  เป็นดวงตาแห่งมวลมิตรหลายร้อยหลายพันคู่ที่ผลัดเวรกันจับจ้องตรวจตรา  พร้อมที่จะป้องปรามความผิดลักษณะนี้  ฉะนั้นอย่าได้ย่ามใจและกระทำพฤติกรรมเยี่ยงนี้อีก

    กลับมาสู่ประเด็นกรณีพิพาทต่อนะครับ

    เข้าใจว่าหลายท่านยังเห็นว่าการละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องเป็นการทำซ้ำหรือคัดลอกแบบก็อปสำเนามาทั้งหมด  จริงๆ  เพียงแค่การดัดแปลงก็ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยเช่นกัน  หากมันยังคงสาระสำคัญและปรากฏความคิดของงานต้นฉบับอยู่  (ส่วนจะแค่ไหนเพียงไรเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยกันโดยละเอียดตามแต่กรณี)  

    ความเห็นของแต่ละท่านว่างานเขียนของคนที่คุณก็รู้ว่าใครดัดแปลงมาจากงานของผมหรือไม่นั้น  เป็นธรรมดาที่บางท่านอาจจะเห็นต่างจากส่วนใหญ่ว่าไม่น่าจะเป็นการดัดแปลง  บ้างอาจคิดว่าผมไปอ่านมาจากเว็บนอก  (ซึ่งผมชี้แจงไปแล้วว่าไม่เคย  เนื่องจากความอ่อนด้อยทางภาษา)  บ้างเห็นว่าเป็นเพียงความบังเอิญประมาณแค่ 10-20  ประโยคทั้งในส่วนของรายละเอียดและโครงสร้าง  ซ้ำร้าย  คนที่คุณก็รู้ว่าใครเคยบังเอิญเขียนงานอย่างบังเอิญไปคล้ายกับของท่านอื่นอีก  อย่างของคุณแสงท่าเรือในงานวิจารณ์เรื่อง  The Diving Bell and the Butterfly  ในลักษณะเดียวกันทั้งส่วนของโครงสร้างและการปรับรูปประโยคซึ่งเหมือนกันอย่างบังเอิญกับกรณีนี้ของผม  

    หากเป็นแค่ความบังเอิญจริง  ป่วยไข้ครั้งหน้าผมจะไปหาหมอดู  ปรึกษาหมอผี  และเลิกศรัทธาตลอดชีวิตในเหตุผลและวิทยาศาสตร์

    (ต่อครับ)

    แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 52 19:46:23

    จากคุณ : beerled - [ 25 มี.ค. 52 19:42:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com