ความคิดเห็นที่ 1 Desmond & Penny & Son เรื่องเปิดฉากที่เดสมอนตามหมอมาทำคลอดให้กับเพนนี ซึ่งหลายคนคงสงสัยว่าทำไมรวยก็รวย ถึงไม่ไปคลอดที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่เครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่านี้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งคู่ไม่ต้องการให้มีใครในโลกนี้รู้ว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เพราะหากข่าวรั่วไหลไปถึงวิทมอธ์ ทั้งคู่อาจจะต้องแยกจากกันอีก ด้วยเหตุนี้เพนนีซึ่งรักเดสมอนมาก จึงยอมที่จะต้องอยู่อย่างลำบาก (แบบคนรวยๆ) อยู่บนเรือที่ล่องไปเรื่อยๆ โดยพยายามไม่เฉียดใกล้เข้าไป ยังโซนที่วิทมอธ์อยู่ นับตั้งแต่วันที่เดสมอนออกมาจากเกาะเป็นเวลานับสามปี ลูกของเดสมอนและเพนนีเป็นลูกชาย และเดสมอนตั้งชื่อให้ลูกชายของเขาว่าชาลี เพื่อเป็นการระลึกเพื่อนที่สำคัญมากที่สุดคนหนึ่งของเขาที่จากไป ถามว่าทำไมเพนนีถึงยอมให้ใช้ชื่อนี้ ทั้งๆ ที่ชื่อนี้ใกล้เคียงกับชื่อของพ่อเธอมาก และเธอเองก็ไม่ได้ชอบพ่อของเธอมากสักเท่าไหร่ ประเด็นนี้ตอบได้ว่านั่นเพราะชาลีคือคนที่พูดกับเธอที่สถานีใต้น้ำ และนำข่าวดีที่สุดในชีวิตให้กับเธอได้รับรู้นั่นก็คือเดสมอนยังมีชีวิตอยู่และสบายดี และนั่นคือความประทับใจที่เธอมี และยิ่งได้รับรู้ว่าชาลีเสียสละชีวิตของตัวเอง เพื่อให้เดสมอนและพรรคพวกสามารถกลับออกมาจากเกาะได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ทั้งคู่จะตัดสินใจตั้งชื่อลูกชายว่าชาลี นั่นเพราะหากขาดชาลีไป เด็กคนนี้อาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ในโลกใบนี้... โรแมนติคโคดๆๆ ... จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับชื่อลูกของเดสมอนและคนที่เรารู้จักกันดี Charles Widmore   มีหลายคนตั้งประเด็นวิเคราะห์ที่น่าสนใจว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่เด็กคนนี้จะเป็น Charles Widmore  ตัวอย่างเช่นอาจจะมีเหตุการณ์อะไรสักอย่าง ที่ดึงให้เดสมอนและเพนนีต้องไปที่เกาะอีกครั้ง เพราะชะตาของเดสมอนกับเกาะยังไม่สิ้นสุด และอาจจะเป็นไปได้ที่เดสมอนและเพนนีจะไปที่เกาะนั่นพร้อมกับลูกชายของเขาทั้งคู่ และอาจจะย้อนกลับไปยังอดีตช่วงราวๆ ปี 1930s ทำให้ลูกชายของทั้งคู่ต้องเติบโตขึ้นบนเกาะ และด้วยเหตุผลบางอย่างทั้งคู่อาจจะตายไป และลูกชายต้องเติบโตต่อไปด้วยตัวเอง และไปเข้าพวกกับริชาร์ด และชื่อก็กลายเป็น ชาล์น วิทมอธ์ที่เรารู้จักกันดี แต่ปัญหาคือมันจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าพาราด๊อกซ์ หรือการวนซ้ำไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างยากพอสมควร เว้นแต่ว่าเพนนีจะเป็นลูกบุญธรรมของวิทมอธ์เหมือนกับอเล็กซ์ ใครพอมีหลักฐานยืนยันบ้างครับ ว่าตอนไหนที่มีข้อมูลว่าเพนนีเป็นลูกสาวของวิทมอธ์แบบสืบเชื้อเลือดอย่างแท้จริงบ้าง เพราะไม่งั้นอาจจะเข้าทางเลย ประเด็นนี้น่าสนใจขึ้นมาก็เพราะตอนที่เบนย่องไปหาวิทมอธ์ที่ห้องตอนที่ออกมาจากเกาะแล้ว เขาบอกว่าวิทมอธ์เปลี่ยนกฎที่เคยเป็น โดยการฆ่าอเล็กซ์ลูกสาว (บุญธรรม) ของเขา ดังนั้นเขาจะแก้แค้นบ้าง โดยการฆ่าลูกสาวของวิทมอธ์ นั่นเพราะทั้งคู่ไม่อาจจะฆ่ากันเองได้ด้วยมือของตัวเอง (อาจจะเป็นกฎอะไรสักอย่าง) ที่น่าสนใจก็คือเบนไม่น่าจะมีความผูกพันอะไรกับอเล็กซ์มากนัก เพราะคนอย่างเบนโตมาแบบขาดความอบอุ่น ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจวิธีการเลี้ยงดูลูกให้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้อเล็กซ์โตมาแบบเด็กมีปัญหา และคอยก่อปัญหาให้เขาปวดหัวเสมอ แต่เบนก็ไม่เคยทำโทษ หรือดุด่าอะไรเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่แคร์อะไรอเล็กซ์มากนักในเชิงพ่อลูก แต่สาเหตุที่เขาต้องดึงอเล็กซ์มาไว้ใกล้ตัว เพื่อป้องกันอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับอเล็กซ์ ซึ่งอาจจะหมายความว่าอเล็กซ์อาจจะเป็นคนสำคัญ หรือมีผลสืบเนื่องอะไรสำคัญสักอย่าง จนทำให้เบนต้องรักษาอเล็กซ์ไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา แต่เมื่อทหารของวิทมอธ์ฆ่าอเล็กซ์ เบนไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ว่าลูกตาย แต่เขารู้สึกช็อคมากกว่า เพราะไม่คิดว่าวิทมอธ์จะทำแบบนี้ ซึ่งนั่นยืนยันว่าการตายของอเล็กซ์ต้องส่งผลสำคัญอะไรบางประการกับเขาแน่ๆ ถ้าจำได้มีอยู่ตอนหนึ่งในซีซั่น 3 ซึ่งอเล็กซ์ถามว่าทำไมต้องทำกับแฟนของเธอแบบนั้น  เบนตอบกลับไปว่าเขากลัวว่าอเล็กซ์จะท้องกับแฟนหนุ่ม ทำให้ผมเชื่อว่าอเล็กซ์ต้องมีบทบาทสำคัญอะไรสักอย่างในการคลอดใครสักคนที่มีผลสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ และอาจจะมีผลกระทบโดยตรงกับเบน แต่เรารู้ว่าแม่ของเบนไม่ใช่อเล็กซ์แน่นอน เพราะแม่ของเบนชื่อ Emily ดังนั้นน่าจะเป็นคนอื่นที่มีความสำคัญกับสถานภาพของเบนอย่างแน่นอน กลับมาที่ประเด็นวิทมอธ์อีกครั้ง... จากที่อ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างเบนและอเล็กซ์ข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่าการที่เบนออกปากไปว่าจะฆ่าลูกสาวของวิทมอธ์นั้น มันมีความหมายมากกว่านั้น และทำให้เพนนีกลายเป็นตัวเชื่อมสำคัญเกี่ยวกับสถานภาพของวิทมอธ์เช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นเบนคงไม่จ้องจะฆ่าเพนนี เพราะตามนิสัยแล้วเบนคงไม่ใช่พวกเชื้อสายช่างกล ที่ว่าเมิงฆ่าลูกกรู กรูก็จะฆ่าลูกเมิงอะไรทำนองนี้แน่ๆ ซึ่งถ้าหากว่าประเด็นลูกของเดสมอนกลายเป็น Charles Widmore  เป็นไปไม่ได้แล้ว แสดงว่าเพนนีก็ต้องมีความสำคัญอะไรสักอย่างกับสถานภาพของเบนอย่างแน่นอน ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าประเด็นนี้จะเป็นอย่างไร จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:07:23 ]

ความคิดเห็นที่ 3 การพบกันระหว่างเดสมอนและวิทมอธ์ เราได้เห็นว่าตลอดเวลาที่ออกมาจากเกาะเดสมอนพยายามอย่างมากที่จะปิดบังตัวตน ไม่ให้วิทมอธ์รับรู้ว่าเขาออกมาจากเกาะแล้ว แต่ทันทีที่รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวผมแดงที่ถูกฟาราเดย์ทดลอง และได้รู้ว่าวิทมอธ์อยู่เบื้องหลังการทดลองครั้งนี้ของฟาราเดย์ มันทำให้เดสมอนสติแตก และรู้โดยทันทีว่าเขาจะมองหาข่าวคราวของแม่ของฟาราเดย์ได้จากใคร และเพียงเท่านั้น เขาก็ฝ่าเข้าไปหาวิทมอธ์โดยทันที (เข้าไปถึงห้องได้ง่ายเกินไปหรือเปล่านั่น ฮ่าๆๆ) ในการพบกันนั้นดูเหมือนว่าวิทมอธ์จะพยายามถามเดสมอนอย่างมาก เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความปลอดภัยของเพนนี ซึ่งก็ดูปกติที่พ่อจะห่วงลูก แต่ดูเหมือนว่าวิทมอธ์จะไม่ได้สนใจอย่างอื่นใดเลย นอกไปเสียจากความปลอดภัยของเพนนีเพียงเท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่เขากังวลเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะสามปีที่ผ่านมาที่เขาไม่รู้ข่าวคราวของเพนนีเลยนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เบนออกมาจากเกาะนั่นเอง และอย่างที่บอกไว้ข้างต้น เบนบอกออกมาเต็มปากเต็มคำแล้วว่าเขาจะตามฆ่าเพนนี  นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้วิทมอธ์กลัวมากว่าเพนนีจะไม่ปลอดภัย และคำพูดสุดท้ายที่เขาบอกเดสมอนก็คือการสั่งให้เดสมอนกลับไปหลบในที่ๆ เขาเคยหลบมาก่อน แล้วอย่าโผล่ออกมาสู่โลกภายนอกอีก นั่นเพราะเขามั่นใจว่าหากทั้งคู่ซ่อนตัวเหมือนที่เคยซ่อนตัวจากเขามาได้ถึงสามปี ก็น่าจะปลอดภัยจากการตามล่าของเบนอย่างแน่นอน จากฉากนี้ทำให้ผมแอบเชื่อนิดๆ เกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าลูกของเดสมอนอาจจะเป็น Charles Widmore  และเพนนีอาจจะเป็นแค่บุตรบุญธรรมของเขา แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 52 14:08:43 จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เดสมอน & เพนนี = Adam&Eve ในถ้ำที่กลุ่มแจ๊คเจอในซีซั่นแรก มีประเด็นย่อยเกี่ยวกับคู่เดสมอนและเพนนีที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือซากศพของคู่รักที่กลุ่มแจ๊คพบในถ้ำตอนซีซั่น 1 นั้นถูกเรียกว่าอดัม&อีพ และใกล้ๆ ซากศพนั้นมีเศษหินสีดำและสีขาวอยู่ในนั้น  ซึ่งปรากฏว่าในเรือของเดสมอนก็มีเจ้าหินสีขาวและสีดำนี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นหากบังเอิญว่าทฤษฎีเกี่ยวกับลูกชายของเดสมอนคือ Charles Widmore   เป็นจริง แสดงว่าทั้งคู่ย้อนอดีตกลับไปจริงๆ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ตายที่นั่น และกลายเป็นศพให้แจ๊คและกลุ่มที่เหลือพบที่นั่น แจ๊คเคยบอกว่าศพนี้น่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าหกสิบปี  ลองคิดย้อนกลับไปนะครับ จะเห็นว่าถ้าตอนปี 1954 ที่เราเห็นวิทมอธ์ครั้งแรก วิทมอธ์อายุ 17  ปี (จะรู้ข้อมูลเพิ่มตอนที่ 7)   นั่นหมายความว่าทั้งคู่อาจจะย้อนกลับไปราวๆ ปีไหนก็คำนวนได้ดังนี้ 1954-17 = 1937 นั่นหมายความว่าทั้งคู่อาจจะย้อนเวลากลับไปในช่วงราวๆ ปี 1937 แล้วเสียชีวิต เมื่อผ่านไปถึงปี 1996 ที่คาดว่าจะเป็นปีที่แจ๊คและพรรคพวก มาพบศพ (ตามทฤษฎี Timeloop Theory) ก็จะแสดงว่าเสียชีวิตไปแล้วราวๆ 1996-1937 = 59 ปี  พอเหมาะพอเจาะอะไรเช่นนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งการคาดเดาที่น่าสนใจและต้องตามดูกันต่อไปครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เดสมอนโกหกเรื่องแม่ของฟาราเดย์ตายไปแล้ว และเพนนีจับโกหกได้ ฉากนี้เดสมอนไม่ต้องการให้เพนนีกังวลใจเรื่องที่เขาจะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เกาะอีก ก็เลยจะโกหกเพนนีว่าแม่ของเดสมอนตายแล้ว เราไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเราไปที่อื่นกันเถอะ เช่นลอส แอลเจอลิสดีไหม  (คำพูดประโยคนี้อาจจะอยู่ในหัวของเดสมอนว่าจะโกหกต่อไป เพื่อให้ไป LA ได้แบบไม่ต้องเพนนีถามอะไรมากนัก) ท่าทีของเดสมอนไม่ได้ดูมีพิรุธอะไรมากนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามทีเพนนีรู้โดยทันทีว่าเดสมอนโกหกเธอ นั่นอาจจะเป็นไปได้อย่างมากว่าเธอก็รู้จักกับแม่ของฟาราเดย์แต่เธอไม่ได้บอกเดสมอน เพราะไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ หรืออาจจะมีสาเหตุอื่นใดมากไปกว่านี้ แต่ที่แน่ๆ คือเพนนีเองก็น่าจะมีข้อมูล และรับรู้อะไรๆ เกี่ยวกับเกาะที่พ่อของเธอตามหามาเนิ่นนานมากพอสมควร และแน่นอนว่าย่อมจะต้องรู้จักกับแม่ของฟาราเดย์แน่ๆ แม้ว่าเพนนีจะโกรธและผิดหวังกับสิ่งที่เดสมอนทำมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขา นั่นเพราะเธอรับรู้ถึงความทรมานของการเฝ้ารอเป็นอย่างดี ดังนั้นคราวนี้เธอจึงเลือกที่จะไม่ปล่อยให้เขาจากเธอไปไหนอีก นี่สินะ... สิ่งที่เรียกว่า ... “รักแท้” ...  (โคด Adam & Eve เลยมะนี่) ปล. แววตาของเพนนีตอนที่กอดเดสมอนอยู่ บ่งบอกอะไรบางอย่างว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เธอเป็นกังวลอยู่แน่ๆ ดังนั้นเพนนีรู้อะไรมากกว่าที่เราคิดว่าเธอจะรู้อย่างแน่นอน จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สรุปสายสัมพันธ์ของครอบครัววิทมอธ์ จากข้อมูลที่เราได้รับรู้มาจนถึงตอนล่าสุด (Lost 05-10) ทำให้เราพอจะคาดเดาสายสัมพันธ์ของครอบครัววิทมอธ์ได้ดังนี้ วิทมอธ์เป็นพ่อของเพนนี แต่เราไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นลูกจริงๆ หรือแค่บุตรบุญธรรม และยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแม่ของเพนนีว่าเป็นใคร และนิสัยใจคอของเพนนีก็ค่อนข้างตรงกันข้ามกับวิทมอธ์รวมถึงสำเนียงด้วยที่เพนนีใช้สำเนียงอังกฤษ ขณะที่วิทมอธ์ใช้สำเนียงอเมริกัน ดังนั้นแม่ของเพนนีควรจะเป็นคนอังกฤษ และเพนนีก็เติบโตมาบนเกาะอังกฤษค่อนข้างแน่นอน ประเด็นจึงจำเป็นต้องดูกันต่อไป ฟาราเดย์และ Mrs. Eloise Hawking  เป็นแม่ลูกกัน แม้ว่าถึงตอนนี้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนว่าทั้งสองคนนั้นเป็นแม่ลูกกันจริงหรือเปล่า แต่จากบุคลิกท่าทาง สำเนียง และความสามารถทางการคำนวน ทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นแม่ลูกกันจริงๆ ไม่ใช่บุตรบุญธรรม วิทมอธ์น่าจะเป็นญาติกับฟาราเดย์ เพราะออกเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของเขามายาวนานถึง 10 ปี แต่จะมีสายสัมพันธ์กันอย่างไร อันนี้เรายังไม่แน่ใจ แต่ถ้าฟาราเดย์เป็นลูกของวิทมอธ์ นั่นก็จะทำให้วิทมอธ์เป็นสามีของ Mrs. Eloise Hawking  ด้วยเช่นกัน อีกหนึ่งประเด็นที่วิเคราะห์ไว้แล้วด้านบนก็คือเพนนีน่าจะรู้จักทั้งฟาราเดย์และ Mrs. Eloise Hawking    ค่อนข้างแน่นอน เพราะรับรู้โดยทันทีว่าเดสมอนโกหก ตอนที่เขาบอกกับเธอว่าแม่ของฟาราเดย์ตายแล้ว เพียงแต่เธออาจจะไม่สนิทกับ  Mrs. Eloise Hawking  มากนัก   อาจจะเป็นไปได้ว่าครอบครัวของทางฟาราเดย์ กับเพนนีไม่ได้ติดต่อกัน เพียงแค่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของกันและกันเพียงเท่านั้น วิทมอธ์มีลูกชายคนโตที่เป็นครอบครัวเดียวกับเพนนีแต่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าชื่ออะไร แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 52 14:14:15 จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กลุ่มชนพื้นเมืองของเกาะแห่งนี้พูดภาษาละตินเป็นภาษาเฉพาะ ตรงนี้สื่อให้เข้าใจว่าวัฒนธรรมบนเกาะแห่งนี้สืบทอดมายาวนานมาก และน่าจะเป็นไปได้ว่ามีคนอยู่บนเกาะแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ รุ่นต่อรุ่นมาเนิ่นนานหลายร้อยปี และหากข้อสันนิษฐานที่ว่าเรือ Black Rock เข้ามาที่นี่ คาดว่าลูกเรือต้องพบกับชนเผ่าพื้นเมือง และได้เรียนรู้การพูดภาษาละตินมาจากชนพื้นเมืองที่นี่อย่างแน่นอน สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่าภาษาละตินคืออะไรและเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร ลองเข้าไปอ่านที่ link ด้านล่างดูครับ http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาละติน ภาษาละติน (อังกฤษ: Latin - ลาติน) เป็นภาษาโบราณในภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียนต้นกำเนิดในเขตบริเวณโรม และได้ชื่อว่าเป็นภาษาทางการในการสื่อสารของจักรวรรดิโรมัน ภาษาละตินในปัจจุบัน จุดเชื่อมโยงระหว่างภาษาละตินกับเกาะแห่งนี้ก็คือภาษานี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถวๆ กรุงโรม ซึ่งหากใครจำได้เกี่ยวกับรูปปั้นที่มีแต่ขา เราจะเห็นว่ารูปปั้นนั้นใส่รองเท้าที่เหมือนพวกโรมันใส่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าก่อนนั้นเกาะนี้มีกลุ่มชนของพวกโรมันมาอาศัยอยู่ และสร้างรูปปั้นขึ้น ด้วยเหตุนี้ภาษาละตินจึงถูกใช้เป็นภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารที่นี่มาเนิ่นนานหลายร้อยปีแล้ว แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 52 14:15:20 จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จอห์น ล็อคและริชาร์ด  การพบกันของทั้งคู่ ซีนสำคัญอีกซีนหนึ่งของตอนนี้คือการพบกันของทั้งคู่ที่ทำให้เราได้แต่อึ้งและงง กับบทสนทนาของทั้งคู่ ล็อคเดินตรงเข้ามาหาริชาร์ด แน่นอนว่าล็อคเองไม่ได้ลืมที่ริชาร์ดเคยเตือนล็อค ว่าการพบกันครั้งหน้าเขาจะไม่รู้จักล็อค ดังนั้นให้ยื่นเข็มทิศนี่ให้กับริชาร์ดที่ล็อคพบดูแต่ล็อคใช้คำพูดที่ดีกว่านั้นในการพบกัน เขาเปิดประตูให้กับการสนทนาระหว่างทั้งคู่ด้วยประโยคที่ว่า “จาคอบส่งผมมา” แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้ริชาร์ดรู้ว่ามีอะไรประหลาดเกี่ยวกับชายคนนี้ เพราะชายคนนี้รู้จักจาคอบ ที่คนทั่วๆ ไปไม่น่าจะรู้จัก ดังนั้นจึงปล่อยให้ล็อคเข้ามาคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ล็อคบอกกับเกี่ยวกับเข็มทิศและพูดว่าเขาถูกเลือกให้เป็นผู้นำและหัวหน้าของริชาร์ด ซึ่งริชาร์ดก็ตอบไปว่า ทางกลุ่มมีวิธีคัดเลือกผู้นำตั้งแต่คนๆ นั้นยังอยู่ในวัยเยาว์ และนั้นเป็นที่มาของการที่ริชาร์ดไปพบกับจอห์น ล็อคสมัยเด็กๆ นั้นเอง ตรงนี้ประเด็นที่น่าสนใจก็คือทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีกาลเวลาของ Lost มากขึ้น ว่าเวลาไม่จำเป็นต้องเดินเป็นเส้นตรง จากอดีตถึงปัจจุบันและไปสู่อนาคตเสมอไป คนที่อยู่ในอนาคตอาจจะเดินย้อนเวลา กลับมาเป็นอดีตให้กับใครบางคนก็เป็นได้ เหมือนในกรณีของล็อคที่ย้อนกลับมาคุยกับริชาร์ดก่อนที่ตัวเองจะเกิด และนั่นเป็นสาเหตุให้ริชาร์ตต้องไปหาล็อคในอนาคต เพื่อรักษา Timeline นี้ไว้ให้เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น สรุปว่าสิ่งที่ล็อคทำไป คือเดินเข้าไปคุยกับริชาร์ดในอดีตนั้น ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงอดีต นั่นเพราะมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นตาม Timeline ของจอห์นอยู่แล้ว ต่างไปเพียงแค่มันไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเหมือนปกติทั่วไปเท่านั้นเอง ตรงนี้ทำให้ทฤษฎีกาลเวลาของ Lost มีความเป็นไปได้ที่จะมีการวนลูปย้อนไปย้อนมาได้จริง  และอดีต ปัจจุบัน อนาคตสำหรับตัวละครบางตัว อาจจะไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงอย่างที่มันควรจะเป็น และแน่นอนว่าเราจะได้เห็นการวนย้อนไปมามากขึ้นในตอนต่อๆ ไป สำหรับฉากที่ริชาร์ดย้อนกลับไปเยี่ยมจอห์นล็อควัยเด็กนั้น เขากลับไปโดยมีของดังต่อไปนี้ให้ล็อคเลือก ว่าอะไรเป็นของเขาบ้าง มีด, ขวดใส่ทราย, เข็มทิศ, หนังสือการ์ตูน, หนังสือกฎหมาย, ถุงมือเบสบอล ล็อคเลือกหยิบของมาสามอย่าง สิ่งแรกที่หยิบคือขวดใส่ทราย (ริชาร์ดยิ้ม) ต่อมาคือเข็มทิศ (ริชาร์ดยิ้มกว้างกว่าเดิม) และสิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบคือมีด ซึ่งตอนที่จอห์นหยิบมีด ริชาร์ดมีทีท่าผิดหวังค่อนข้างรุนแรง แล้วบอกว่านั่นไม่ใช่ของๆ เขา และกลับไปพร้อมกับบอกว่าจอห์นยังไม่พร้อม ตรงนี้น่าสนใจ เพราะถ้าดูมาถึงตอนปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีดคือของที่อยู่กับจอห์นตลอดเวลาจริงๆ และจอห์นจะใช้มันเพื่อป้องกันตัวเองอยู่เสมอ และใช้มากกว่าปืนด้วย เป็นไปได้ว่าริชาร์ดที่มาทดสอบจอห์นจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ทำให้เขาคิดว่าจอห์นอาจจะแค่หยิบมั่ว จึงไม่ยอมรับว่าจอห์นคือคนพิเศษอย่างที่จอห์นในอนาคตมาบอกเขา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารับรู้ว่าจอห์นในอนาคตมีตัวตนอยู่จริง และเดินทางข้ามกาลเวลาได้จริง ในอนาคตริชาร์ดอาจจะเรียนรู้ภายหลังว่าที่จอห์นหยิบมีดนั้น มันคือสิ่งที่ถูกยิ่งกว่าถูกแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ริชาร์ดสนใจจอห์นมากขึ้น และดึงเขามาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม The Others หลังจากที่เขามาติดที่เกาะนั่นเอง จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ริชาร์ดไม่รู้เรื่องการเดินทางข้ามเวลาที่จอห์นพูดจริงหรือ ตอนที่ล็อคบอกกับริชาร์ดไปว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันยังไม่เกิดขึ้น  ริชาร์ดมีทีท่ามึนๆ งงๆ กับคำพูดของจอห์นพอสมควร นั่นหมายความว่า ริชาร์ดในตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องการเดินทางข้ามเวลาหรือเปล่า อันนี้เรายังไม่แน่ใจ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าเขารู้แล้ว เพียงแต่สับสนกับการเรียบเรียงคำพูดของจอห์นเท่านั้น เพราะจอห์นโผล่มาพร้อมกับพูดอะไรแปลกๆ ที่เขายังไม่เข้าใจมากนัก เพราะสิ่งเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้น และจอห์นก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับว่าตัวเองเดินทางมาจากอนาคตแบบชัดเจนเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือริชาร์ดรู้จักกับ Jacob แน่นอนแล้ว ณ เวลานั้น ส่วนตัวผมยังเชื่อในข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Timeloop ที่กล่าวว่าริชาร์ดเดินทางย้อนเวลามาในอดีต และตามกฎแล้วนั้น เขาจะไม่แก่ตัว และไม่เปลี่ยนแปลงสภาพทางกายภาพ  จนกว่าเวลาที่แท้จริงที่เขาย้อนเวลากลับมานั้น จะไล่หลังมาถึงเขา เช่นถ้าริชาร์ดเข้า Time Machine ย้อนเวลามาในวัย 45 ปี ตอนปี 2007  ต่อให้ย้อนเวลามาสักหนึ่งร้อยปี เขาก็จะไม่หนุ่มขึ้นและไม่แก่ลงเลยตลอดเวลา 1907 จนถึงปี 2006   แต่เขาจะเริ่มแก่ตัวลงอีกครั้งเมื่อถึงปี 2007 หรือเมื่อเขาออกไปจากเกาะที่เป็นเวลาที่แท้จริงเท่านั้น ทฤษฎีนี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องตามอ่านกันต่อไป  ส่วนทฤษฎี Timeloop ที่กล่าวถึงกฎการย้อนเวลานั้นอ่านได้จากกระทู้ด้านล่าง ในคห.ที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7676012/A7676012.html จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:19:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กองทัพสหรัฐ ระเบิดนิวเคลียร์  และที่มาของการแต่งตัวตลอดจนอาวุธของ The Others ในตอนนี้เราได้ข้อมูลว่าในช่วงปี 1950 สหรัฐทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในหมู่เกาะทางแปซิฟิคใต้ และก็บังเอิญว่าดันเป็นเกาะแห่งนี้ เราไม่แน่ใจว่าสหรัฐค้นพบเกาะนี้ได้อย่างไร และเข้ามาที่เกาะได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือจากข้อมูลที่ริชาร์ดบอกฟาราเดย์ก็คือมีทหารสหรัฐจำนวน 18 นายมาตั้งแคมป์อยู่บนเกาะ และแน่นอนว่าเพื่อทำการทดสอบอาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ เพื่อจะนำผลไปใช้ต่อในสงครามโลกนั่นเอง ดังนั้นนึงไม่น่าแปลกใจนักที่จะพบว่ากองทัพทหารของสหรัฐจะบุกโจมตีกลุ่มพื้นเมืองก่อน เพื่อหวังทดสอบอาวุธที่มี ริชาร์ดบอกกับฟาราเดย์ว่าเขาพยายามขอให้กลุ่มทหารออกไปจากเกาะแบบสันติแล้ว แต่พวกทหารไม่ยอม สุดท้ายเลยต้องฆ่าทิ้งทั้งหมดตามคำสั่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำสั่งของ Jacob และแน่นอนว่าเมื่อฆ่าหมดแล้ว อาวุธ เสื้อผ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ จึงถูกยึดมาใช้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงเห็นเสื้อผ้าการแต่งกายของกลุ่มริชาร์ดมีความคล้ายคลึงกับเสื้อผ้าของทหารสหรัฐในยุคสงครามโลก   อย่างเสื้อของวิทมอธ์ก็ปักชื่อว่าจอห์น ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นเสื้อผ้าที่ทางกลุ่ม The Others ผลิตขึ้นมาเองแต่อย่างใด และแน่นอนว่านี่คือข้ออธิบายว่าอนา ลูเซียเจอมีดที่เป็นของกองทัพสหรัฐบนเกาะแห่งนี้ได้อย่างไร จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:20:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ระเบิดนิวเคลียร์ และหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อไป ส่วนประเด็นเรื่องระเบิดนิวเคลียร์นั้น เรารู้ว่ามาจากกองทัพสหรัฐ และหลังจากที่กลุ่มของริชาร์ดฆ่าทหารทั้ง 18 คนตายหมดแล้ว ก็ไม่ได้มีกำลังเสริมใดๆ เข้ามากู้ระเบิดอีกเลยจึงค่อนข้างเป็นไปได้ว่ากองทัพสหรัฐอาจจะหลงทางเข้ามาเจอเกาะโดยบังเอิญ และเมื่อบางส่วนออกไปจากเกาะแล้วเพื่อรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ๆ จะทดสอบระเบิด แต่เมื่อจะกลับเข้าไปก็กลับเข้าไปไม่ได้เพราะหาไม่เจอเสียแล้ว เนื่องจากเกาะเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นระเบิดนิวเคลียร์จะเป็นอย่างไรต่อไป อันนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะตามคำแนะนำของฟาราเดย์ บอกว่ามีรังสีบางส่วนรั่วไหลออกมา และต้องใช้ตะกั่วในการฉาบปิดจุดรั่วแล้วจากนั้นให้ทำการฝังระเบิดไว้ในดิน หรือฝังไว้ในคอนกรีตเพื่อความปลอดภัยของเกาะแห่งนี้ เราไม่รู้ว่าหลังจากนั้นริชาร์ดทำอย่างไรกับระเบิดลูกนั้น เขาฝังไว้ตามที่บอกหรือเปล่า แต่ถ้าใครจำได้ว่าในช่วงต้นของซีซั่น 3 ที่มีการเปิดตัวละครจูเลียตนั้น เราได้รับรู้ว่าจูเลียตแอบกิ๊กกับคนชื่อ Goodwin และเขาทำงานอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับรังสีและมักจะกลับมาพร้อมกับแผลที่เกี่ยวข้องกับรังสีอยู่เสมอ จึงเป็นไปได้ว่ากลุ่ม The Others ในยุคของเบน อาจจะทำการศึกษาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์ลูกนี้ก็เป็นไปได้ บางคนเสนอประเด็นว่าอาจจะมีการฝังระเบิดไว้ใกล้กับสถานี Swan เพราะตอนที่ซายิดไปสำรวจหลุมหลบภัยของเดสมอน เขาบอกกับแจ๊คว่าที่นี่ถูกสร้างด้วยคอนกรีตที่หนามาก แต่ความเป็นไปได้ที่มากกว่าก็คือการสร้างผนังคอนกรีตหนาๆ น่าจะเป็นไปเพื่อป้องกันการระเบิดตัวของคลื่นแม่เหล็กมากกว่า เพราะจุดที่สถานี The Swan ตั้งอยู่นั้น ใกล้เคียงกับบริเวณที่คลื่นแม่เหล็กจำนวนมากตั้งอยู่นั่นเอง อีกทั้งระยะห่างของจุดที่ระเบิดถูกพบ กับสถานี The Swan ตั้งอยู่นั้นค่อนข้างไกล การขนย้ายจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคนั้น เว้นแต่ว่าริชาร์ดจะขุดฝังระเบิดไว้จริง แต่เมื่อกลุ่ม DI มายึดเกาะนี้ อาจจะไปค้นพบระเบิดนี้เข้า แล้วทำการขุดและขนย้ายไปฝังในคอนกรีต พร้อมๆ กับการสร้างสถานี The Swan แต่การยิงทฤษฎีนี้ตกก็ง่ายกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ตอนที่ The Hatch ระเบิดนั้น แรงระเบิด น่าจะทำให้เกิดภาวะรังสีของนิวเคลียร์รั่วไหลไปด้วย แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าระเบิดจะถูกนำมาฝังไว้ที่สถานีนี้ แต่ถ้าจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม DI เข้ากับระเบิดนิวเคลียร์ ผมเชื่อในประเด็นที่ว่า DI อาจจะถูกขู่จากกลุ่ม The Others ว่ากลุ่มนั้นมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่จึงทำให้กลุ่ม DI ไม่กล้าจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มของริชาร์ด  และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้กลุ่ม DI สร้างหลุ่มหลบภัยขึ้นมาที่สถานี Swan จะเห็นว่าหลุมหลบภัยนั้นมีการสร้างด้วยผนังคอนกรีตที่หนามากๆ และภายในมีการสต็อกอาหารอยู่อย่างมากมาย และมีกระทั่งชุดป้องกันสารพิษ ที่อาจจะตกค้างจากการระเบิดของนิวเคลียร์ และสร้างไว้ใต้ดินเพื่อป้องกันแรงระเบิดของนิวเคลียร์  ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งรุนแรงกับกลุ่มของริชาร์ด และกลุ่มของริชาร์ดเข้าตาจน จนต้องใช้ระเบิดในการระเบิดเกาะนั่นเอง เราน่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นในซีซั่นนี้ว่าระเบิดนิวเคลียร์มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการสร้างหลุมหลบภัยจริงหรือไม่ (มันน่าจะจริงเนอะ ข้อมูลเป็นเหตุเป็นผลกันขนาดนี้) สรุปประเด็นระเบิดนิวเคลียร์ ผมเชื่อว่าสมัยริชาร์ดน่าจะถูกนำไปฝังไว้ในที่ลับเฉพาะแห่งหนึ่งและเก็บเป็นความลับไว้จากพวก DI จนกระทั่งเกิดปัญหากับกลุ่ม DI หนักขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีการโจมตีกันเกิดขึ้นเพื่อหวังกวาดล้างกันและกัน เมื่อถึงตอนนั้นกลุ่ม The Others รู้ว่าสู้อาวุธสมัยใหม่กว่าของ DI ไม่ได้ จึงหยิบเอาระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาขู่กลุ่ม DI เพื่อนำไปสู่สนธิสัญญาสงบศึกระหว่างทั้งคู่ต่อมา จากนั้นพอเบนขึ้นมาคุมตำแหน่ง เมื่อรับรู้เรื่องระเบิดนิวเคลียร์ จึงอาจจะขุดมันขึ้นมาแล้วทำการวิเคราะห์ว่าจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเบนได้ข้อมูลอะไรจากระเบิดบ้าง และนำมาใช้ หรือวางแผนว่าจะเอามาใช้ทำอะไร ซึ่งตรงนี้ก็ต้องดูต่อไป   ไม่แน่นะ ตอนจบของ Lost  ระเบิดลูกนี้อาจจะถูกหยิบมาใช้เพื่อทำลายเกาะตามชะตากรรมของเกาะที่ทฤษฎี Timeloop Theory ว่าไว้ก็เป็นไปได้ จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Easter Eggs - ข้อมูลเก็บตกเล็กๆ น้อยๆ ตรงผนังของห้องทำงานของวิทมอธ์ มีภาพหมีขั้วโลกอยู่ และมีตัวอักษรว่า  Namaste Namaste ที่เขียนติดในรูปเป็นคำทักทายภาษาฮินดู (ที่ตอนนี้เนปาลใช้) มีความหมายว่ายินดีต้อนรับสู่ดินแดนของเรา จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:26:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 - Eloise คือชื่อฟาราเดย์ใช้ในการตั้งชื่อหนูทดลอง ที่เขาทดสอบการเคลื่อนย้ายกาลเวลาตอนอยู่ที่อ๊อกฟอร์ต และบังเอิญว่าเป็นชื่อเดียวกันกับแม่ของเขา Mrs. Eloise Hawking   - เรื่อง Lost นี้เคสตัวละครค่อนข้างดี  ใครเป็นญาติใคร แม่ลูกใคร จะค่อนข้างมีส่วนคล้ายกันค่อนข้างมาก ดังนั้นทฤษฎีที่ว่าฟาราเดย์เป็นลูกของวิทมอธ์และ Mrs. Hawking จึงค่อนข้างแปลกๆ เพราะฟาราเดย์ไม่มีส่วนอะไรคล้ายกันกับวิทมอธ์เลย แต่กลับดูคล้ายกับคนนี้มากกว่า  Alvar Hanso  แล้วตาคนนี้คือใคร นี่คือข้อมูลของเขาครับ ปี 1894 Alvar hanso เป็นผู้ก่อตั้ง รวมทั้งเป็น CEO ของ Hanso Foundation รวมทั้ง Hanso Group ทั้งหมด เป็นชาวเดนมาร์กที่สืบเชื้อสายมาจากอังกฤษ และเป็นหลานของ Magnus Hanso. จุุดมุ่งหมายของมูลนิธิก็คือการมีชีวิตที่ดีกว่าและการรักษาชีวิตให้ยืนยาว บนโลกนี้ (reach out for a better tomorrow and preserve life on earth). ปี 1967 หลังจากที่เขาได้ค้นพบสมการ Valenzetti (เป็นสมการที่เกิดจากการคำนวนผลกระทบจากสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและโซเวียต และได้ค้นพบถึงระยะเวลาแห่งจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์) เขาได้ตั้ง Dharma initiative ขึ้นเพื่อทดลองการยืดอายุมนุษย์ขึ้นโดยได้เริ่ม รับสมัครนักวิทยาศาสตร์ผีมือดีๆ จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ขณะเดียวกันเขาก็ได้นำเสนอโครงการต่อสหประชาชาติแต่ถูกปฏิเสธ เขาจึงนำเอาบรรดานักวิทยาศาสตร์มาทดลองบนเกาะนั่นเอง จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:33:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ชื่อตอนนี้มาจากชื่อที่เขียนไว้บนระเบิดนิวเคลียร์ จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 - Lost ถ่ายทำฉากส่วนใหญ่ที่ฮาวาย ดังนั้นจึงมีการนำสถานที่ในฮาวายมาปรับปรุงเป็นฉากในเรื่องอยู่บ่อยครั้ง เช่นโบสถ์ของแม่ฟาราเดย์ และมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ต ก็ถ่ายทำจากโบสถ์แห่งหนึ่งในฮาวาย - ผู้หญิงที่เดสมอนคุยด้วยที่อ๊อกฟอร์ตเพื่อถามเกี่ยวกับฟาราเดย์  กับพนักงานของสายการบิน Oceanic ที่ปล่อยให้ฮิวโก้ขึ้นเครื่องเป็นคนเดียวกัน ตัดประเด็นเรื่องคล้ายไม่คล้ายออกไปได้ เพราะคอนเฟริมแล้วว่าเป็นนักแสดงคนเดียวกัน (สงสัยจ้างตัวประกอบคนเดียวเล่นสองบท หรือมีอะไรมากกว่านั้น แต่ที่แน่ๆ คนดูเรื่องนี้ละเอียดโคดๆ ) จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:48:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 - เพนนีคลอดลูกที่ฟิลิปปินส์  มีป้ายติดอยู่ที่อาคารไม้เขียนไว้ว่า Mabuhay   ซึ่งมีความหมายว่า ยินดีต้อนรับ หรือเอ่ยทักทาย ประเด็นหลักคือบอกให้รู้ว่าคลอดลูกที่ฟิลิปปินส์นู้นนนนนน ใครสงสัยอะไร หรือมีอะไรเพิ่มเติมที่น่าสนใจก็ฝากไว้ได้เลยครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 52 14:50:48 จากคุณ : Mr. Forever - [ 29 มี.ค. 52 14:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ ดูแล้วมาอ่าน สนุกขึ้นอีกเยอะเลย จากคุณ : attribute - [ 29 มี.ค. 52 16:32:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ยอดเยี่ยมครับ ขอบคุณมาก จากคุณ : PGT - [ 29 มี.ค. 52 18:21:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สุดยอด ทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ นักแสดง คนที่ดูแลเรื่ององค์ประกอบต่างๆๆ ในฉาก และสุดยอดมากที่สุดก็คือคนดู ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทเลย แต่สามารถวิเคราะห์ได้ขนาดนี้ เราว่าซี่รี่เรื่องนี้สนุก เพราะต้องมานั่งตีความนี้แหละ นั่งวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆๆ พอๆ กับหนังนักสืบ จากคุณ : grinny2545 - [ 29 มี.ค. 52 19:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จาก list ของที่ริชาร์ดเอาไปให้เด็กชายล็อค ดู "มีด, ขวดใส่ทราย, เข็มทิศ, หนังสือการ์ตูน, หนังสือกฎหมาย, ถุงมือเบสบอล" ของสามอย่างที่เด็กชายล็อคเลือกมันก็น่าจะดูดีที่สุดแล้วนะ ทำไมริชาร์ดยังไม่พอใจอีก อยากให้เลือกอะไรหนอ ? จากคุณ : natsueme - [ 29 มี.ค. 52 20:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอ่อ วิทมอธ์น่าจะเป็นญาติกับฟาราเดย์ เพราะออกเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของเขามายาวนานถึง 10 ปี ---เดสมอนส์เคยเป็นนักบวช ต่อมาลาออก แล้วที่โต๊ะคุณพ่อก็มีรูป มรส.ฮอว์คิงกับคุณพ่อคนนั้นนั้นด้วย น่าจะเป็นคู่รักัน ก่อนออกจากโบสถ์ นั่นคือวันแรกที่เขาพบกับเพนนี เห็นได้ชัดว่าเพนนีมารับไวน์ไป เรื่องการติดต่อนี้ข่อนข้างแน่นอน วิทมอร์กับมรส.ฮอว์คิง ก็เคยรู้จักกันบนเกาะ แสดงว่ายังฉันท์มิตร จากคุณ : ดร.สุริยะ - [ 30 มี.ค. 52 00:20:16 A:118.173.147.188 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาอ่าน...แบบมึนๆ จากคุณ : ParisHolic - [ 30 มี.ค. 52 23:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มีใครสังเกตมั๊ยครับในตอนนี้ หลังจากที่ Richard โผล่มาทำแผลให้ John แล้ว Flash ก็เกิดขึ้นกลายเป็นตอนเช้าของปีไหนซักปี ตอนที่ John มองขึ้นไปดูเครื่องบินลำนั้น(ที่น้องเอคโคนั่งมา) จะสังเกตเห็นมี ควันดำๆออกมาจากเครื่องบินด้วย ไม่รู้ว่าคือ Monster หรือ ควันจากการตกลงมาธรรมดาเหมือนกัน จากคุณ : PGT - [ 31 มี.ค. 52 16:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อไหร่ บทสรุป มันจะจบสักที   ชอบมากๆ แต่ก็อึดอัดมากเหมือนกัน ปม มีเป็น 100 เหตุการณ์แล้ว คนแต่งเทพมากๆ จากคุณ : Kra_Arn - [ 31 มี.ค. 52 20:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 attribute - นี่เป็นสาเหตุที่ผมเลือกทำกระทู้แนวนี้ครับ คนดูจะได้เข้าใจ และสนใจจะคิดต่อยอดมากขึ้นครับ เพราะนี่คือความสนุกของเรื่องนี้อย่างแท้จริง  ถ้าดูแบบจบแล้วจบเลย มันจะไม่สนุกอย่างที่มันควรจะเป็นครับ grinny2545 - ใช่เลยครับ คนดูนี่แหละสุดยอดเลย ตีความกันได้สุดๆ จริงๆ ความสนุกอีกอันก็คือ การลุ้นว่าที่เราคิดไว้มันจะเป็นไง จะตรงไหม อะไรทำนองนี้อะครับ natsueme - คงเห็นล็อคหยิบมีด แล้วไม่รู้ว่าหยิบทำไมมั้งครับ เพราะตอนนั้นคงไม่รู้ว่าล็อคมันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ขนาดไหน ดร.สุริยะ - ผมก็ว่าน่าจะเป็นญาติมากกว่าลูกเหมือนกันครับ ParisHolic -  ค่อยๆ อ่านแล้วคิดตามครับ  เดี๋ยวจะหายมึนเอง  ฮ่าๆๆ PGT -  นั่นสิเนอะ  แต่ถ้าเป็นควันจากเครื่องก็น่าจะหมายความว่าพึ่งตก แสดงว่าย้อนกลับไปใกล้ๆ กับตอนที่ล็อคกำลังจะถูกยิงอะดิเนี่ย Kra_Arn -  ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปเนอะ จากคุณ : Mr. Forever - [ 31 มี.ค. 52 22:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มึนด้วย จากคุณ : คาราแมว - [ 1 เม.ย. 52 10:41:29 ]