CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    <<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Knowing , วินาศภัยในปรัชญา , จิตวิทยา , ศาสนา และ ไซไฟ ( โอ้ววว จะผสมอะไรกันมากมาย) >>>>>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (37 คน)
      ชอบ (40 คน)
      เฉยๆ (16 คน)
      ไม่ชอบ (2 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 96 คน

     38.54%
     41.67%
     16.67%
     2.08%
     1.04%


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป , อ่านความเห็นอื่นที่น่าสนใจ และ ชวนมาพูดคุยต่อที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=31-03-2009&group=14&gblog=147



    ... ตอนดูหนังตัวอย่าง ผมไม่คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มาก แถมยังคิดว่า มีโอกาสออกทะเลหรือปาหมอนตอนจบเอาได้ง่ายๆsmile เพราะ พล็อตหนังไซไฟที่มีความทะเยอทะยานสูงเยี่ยงนี้ หากไม่ได้มีเขียนบทฝีมือดี ก็มีโอกาสประสบชะตากรรม เหมือน หนังอย่าง The Forgotten

    คือ มีจุดเริ่มต้นที่น่าติดตามชะมัด แต่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่า มันจะคลี่คลายอย่างไรให้สมจริงน่าเชื่อถือ ก่อนที่สุดท้าย จะหักจบแบบ จะเอาแบบเนี่ย มีไรมั้ย ไปเสียดื้อๆ

    อีกทั้งตัวผกก.อเล็กซ์ โพรยาส ถึงจะเคยทำหนังตลาดฟอร์มยักษ์อย่าง I, Robot ออกมาดี แต่จะว่าไปแล้ว ด้วยประเด็นเริ่มต้นที่ดีอยู่แล้ว หนังยังสามารถที่จะเล่นอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่ (ลองไปเทียบกับการ์ตูน พลูโต ที่ขยายความ กฎสามข้อของหุ่นยนต์ได้น่าคิดกว่า) เพียงแต่ว่า อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอไว้ใจได้ หากจะต้องทำหนังซักเรื่องที่ต้องการขาย ความตูมตาม และ สอดใส่เนื้อหาที่ลึกซึ้งมากกว่าหนังแอคชั่นทั่วไป


    exclaim หมายเหตุ (Spoiler alert) : เนื้อหาถัดจากนี้ บอกเล่าใจความสำคัญของหนัง



    ... อ่านความเห็นคนที่ได้ดูแล้วจะเห็นการเปรียบเทียบว่า Knowing เหมือนเรื่องโน้นเรื่องนี้ เช่น รู้อนาคตและพยายามหยุดยั้งแบบ Final destination หรือ เหมือนตรงมะนาวต่างดุ๊ตอุตส่าห์ถ่อมาแต่ไกลเพื่อเตือนภัยชาวโลกแบบ The Day the Earth Stood Still ฯลฯ

    ส่วนผมก็คิดเช่นกัน ว่าหนังก็หยิบเล็กผสมน้อยมาหลายเรื่อง แต่ เป็นการผสมแบบเข้าท่า และส่วนตัวมองว่า หนังมีการผสมผสานระหว่าง ปรัชญา , ศาสนา , จิตวิทยา , วิทยาศาสตร์ เหมือน The Fountain

    ในด้านโครงเรื่องมีความคล้ายคลึงกับหนังของ เฮียมาโนช - M. Night Shyamalan ที่หน้าหนัง หลอกให้คนดูคิดว่าเป็นหนังตื่นเต้นโครมครามประมาณหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ แต่พอดูจริงๆเนื้อใน กลับต้องการนำเสนอ ปรัชญา และทำให้คนดูแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน คือ ผิดหวังเสียอารมณ์ กับ ปลื้มและทึ่งในไอเดีย

    เช่น Signs คนดูนึกว่าจะได้ดู หนังมะนาวต่างดุ๊ตบุกโลกต่อสู้กัน แต่ เอาเข้าจริง กลับเห็น มนุษย์ต่างดาววิ่งไปวิ่งมาแว๊บๆเหมือนจิ้งจกฮ่าฮ่าฮ่า มีโผล่เห็นชัดๆแค่ตอนจบ เพราะ มนุษย์ต่างดาว เป็นเพียง ตัวละครที่จะมาขับเน้นเรื่อง 'ศรัทธาและศาสนา' ที่ต้องการนำเสนอ

    Knowing ก็เช่นกัน หน้าหนังชวนให้นึกถึง หนังมหันภัยถล่มโลกประมาณ Deep impact ที่พระเอกจะต้องหาทางกู้โลก ซึ่งหนังก็มอบความตูมตามโครมครามสมใจคนดู ไปสองสามฉาก แต่ สิ่งที่หนังอยากเล่าจริงๆคือ เนื้อหาที่ผสมผสานบางส่วนจากหนังเฮียมาโนช

    เช่น การที่มนุษย์ถูกลงโทษจากธรรมชาติเหมือน The Happening ผสม ความเชื่อและศรัทธาในบางสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเช่น Lady in the Water และ Signs

    และจุดที่ผมคิดว่า มันช่างถอดแบบออกมาจากบล็อกเดียวกันมากๆ คือ พัฒนาการของตัวละคร ซึ่งใกล้เคียงกันเหลือเกินระหว่าง Signs , Contact และ Knowing



    manความน่าสนใจในจุดร่วมของ Signs , Contact และ Knowing ที่ผสมผสาน ความศรัทธา/ศาสนา + มนุษย์ต่างดาว

    ... ตัวละครนำจากหนังทั้งสามเรื่อง ตั้งต้นจาก เป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของ ความศรัทธา ศาสนา หรือ อะไรก็ตามที่จับต้องไม่ได้

    พวกเขาเชื่อว่า หลายๆอย่างเกิดขึ้นแบบบังเอิญ ไม่มีอะไรมาเป็นเหตุทั้งสิ้น ซึ่งความคิดเหล่านี้ เกิดขึ้นตามหลัง การสูญเสีย


    บาทหลวง ใน Signs สูญเสียภรรยา จนกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือศาสนาอีกต่อไป และ ทำให้เขาเกือบมองข้ามคำใบ้ ที่ภรรยาบอกก่อนตาย หรือ คำใบ้จาก พฤติกรรมประหลาดของลูกๆ ก่อนที่สุดท้ายเมื่อเขาศรัทธา เขาก็พบว่า สิ่งที่ไร้ความหมายเหล่านั้น อาจเป็น สิ่งที่เบื้องบนพยายามจะบอกเขาอยู่ เพื่อช่วยเขาและลูกๆจากมนุษย์ต่างดาว


    นักวิทยาศาสตร์สาว ใน Contact สูญเสียพ่อในวัยเด็ก เธอไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า เธอจะเชื่อก็เฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ จับต้องได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อครั้งหนึ่งที่ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเธอได้พบพ่อ ผ่านการเดินทางที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ด้วยความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว


    นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ใน Knowing สูญเสียภรรยาจากอุบัติเหตุไฟไหม้ นับแต่นั้นมา เขาก็เชื่อว่าทุกๆอย่างล้วนเป็นเรื่องของเหตุบังเอิญแบบเดาสุ่ม ไม่มีที่มาที่ไป ให้อารมณ์ประมาณ shit happen จนเมื่อวันหนึ่งที่เขาได้รับตัวเลขประหลาดที่เขียนขึ้นมาเมื่อห้าสิบปีก่อน แล้วพบว่ามันมีส่วนสัมพันธ์กับการตายของภรรยา เขาก็พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาล้วนเป็นคำใบ้ที่กำลังจะบอกอะไรเขาบางอย่าง



    ... สิ่งที่เราจะเห็นคือ หนังใช้ การสูญเสีย(loss) เป็นจุดเริ่มต้นเหมือนๆกัน เพราะสามตัวละครนำจากหนังทั้งสามเรื่อง พบกับ ความสูญเสียตั้งแต่ต้นเรื่อง

    ซึ่งตามทฤษฎีของจิตแพทย์ Elisabeth K&uuml;bler-Ross บอกไว้ว่า เมื่อเราพบกับการสูญเสียคนใกล้ตัว ความรู้สึกแรกสุดคือ Shock stage คือ ความรู้สึกช็อคหรือเหมือนเป็นอัมพาตเมื่อได้ยินข่าวร้าย

    จากนั้นจะมี 5 ระยะของการปรับตัว

    •Denial stage: ปฏิเสธความจริง
    •Anger stage: โกรธ
    •Bargaining stage: ต่อรอง
    •Depression stage: ซึมเศร้า
    •Acceptance stage: ยอมรับ



    ... ตัวละครทั้งสามคนจากหนังทั้งสามเรื่อง ยังไม่สามารถผ่านขั้นตอนการทำใจในระดับยอมรับได้จริง แต่ยังวนเวียนอยู่ในขั้นตอนของ ความโกรธ และ ความโกรธทำให้เลือกแพะ

    แพะที่ถูกโยนใส่คือ พระเจ้า




    ... ตัวละครนำในหนังทั้งสาม เลิกศรัทธาในศาสนา กลายเป็นคนที่เชื่ออะไรต้องมีหลักฐานพิสูจน์ชัด

    และ นั่นเกือบทำให้ บาทหลวงใน Signs เกือบไม่สามารถช่วยลูกชายได้สำเร็จ หากเขายังคงมองว่า คำใบ้ ที่ได้รับมาไม่มีความหมาย และ ตัวเลขมากมายใน Knowing ก็จะกลายเป็นเศษขยะ ถ้าพระเอกยังคงความคิดแบบเดิม โดยเขาไม่ทันมองว่า เขาเองก็ได้รับคำใบ้มากมายมากับตัวตั้งแต่ต้น

    แต่ส่วนหนึ่งเพราะ กระบวนการทำใจ หรือ Grief process ยังไม่ลุล่วงผ่านไปด้วยดี เขาจึงมีชีวิตแบบเหมือนมีเมฆหมอกบดบังการตัดสินใจอย่างเช่นที่เพื่อนเตือนเสมอ ที่เห็นได้ชัดคือ การเลี้ยงลูก ที่พยายามปกป้องแบบมากเกินไป และ ไม่คิดที่จะหันไปสนใจครอบครัวตัวเองที่เหลืออยู่

    ซึ่งลึกๆในใจของพระเอก คงมี ความกลัว ที่ตัวเองจะปกป้องลูกชายไม่ได้ ผสม ความรู้สึกผิดและคอยตำหนิตัวเองจากการตายของภรรยา

    พฤติกรรมบ้าคลั่งเข้าไปช่วยคนกลางกองไฟ อาจดูไร้เหตุผล แต่ถ้าเรารู้ประวัติของเขามาก่อน ก็พอจะอธิบายได้ถึง แทบทุกสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฝ่ากองไฟไปช่วยคน หรือ ปกป้องลูกแบบมากเกินเหตุ ล้วนเป็น การชดเชยความรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดเสมอว่าไม่สามารถดูแลภรรยาได้ถึงที่สุด

    จากแง่มุมของตัวละคร มาถึงตัวหนัง



    ... Knowing ต่างจากสองเรื่องที่เปรียบเทียบก็ตรง ตัวหนังนำเสนอประเด็นของศาสนาชัดเจนโจ่งแจ้งไม่กระมิดกระเมี้ยน ตั้งแต่ การเลือกคู่หญิงชาย , การเลือกสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งคู่เดินทางไปกับพาหนะเพื่อหลีกหนีภัยพิบัติ ราวกับ กำลังจะขึ้นเรือโนอาห์ , มนุษย์ต่างดาวที่มารับสี่ตนเสมือนเทวทูตทั้งสี่ , การใช้ภาพวาดหรือไฟ ซึ่งสอดคล้องกับในคัมภีร์ไบเบิ้ลหรือเรื่องราวของวันพิพากษา ฯลฯ

    ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ชวนให้ตีความอีกแง่ได้ว่า หรือ พระเจ้า ผู้สร้างโลกที่เราศรัทธาใน ศาสนา มาตลอด แท้จริงคือ คือ มนุษย์ต่างดาว หรือ จุดกำเนิดของโลกที่เราอาศัยจะมีที่มาเหมือนเช่นที่เห็นในหนัง ว่า มนุษย์คู่แรกถูกย้ายมาจากดาวดวงอื่นก่อนจะเกิดภัยพิบัติ

    หากคิดในแง่เทียบเคียง มนุษย์ต่างดาว(วิทยาศาสตร์) = พระเจ้า(ศาสนา) อาจจะดูคับแคบเกินไป แต่ มันก็สามารถอธิบายทุกอย่างในหนังได้ครบกระบวนความ

    นั่นคือ เหตุการณ์ทุกอย่างในโลกไม่ได้เกิดแบบโยนลูกเต๋าเดาสุ่มแต่ เป็น การถูกกำหนดและมีที่มาที่ไป (Deterministic) เพียงแต่ ใครจะเลือกเชื่อหรือศรัทธา ด้านไหน(วิทยาศาสตร์ /ศาสนา) เท่านั้นเอง



    ... และ ต่อให้อธิบายได้ มีเหตุมีผล สัจธรรมที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นคือ ความตาย

    พวกเขา(มนุษย์ต่างดาว/พระเจ้า) รู้ทุกอย่างล่วงหน้า พวกเขาตัดสินใจเลือกคนหนึ่งคู่ไว้อยู่แล้ว พวกเขาพยายามเตือนมนุษย์ แต่ เรื่องบางอย่างก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปไม่สามารถไปหยุดยั้งได้

    รหัสวินาศภัยอื่นๆ ไม่ได้ส่งมา เพื่อให้มนุษย์ป้องกัน แต่ เป็น การส่งมาเพื่อให้โยงไปถึง วันสิ้นโลก

    คำเตือนถึง วันสิ้นโลก ไม่ได้ส่งมาเพื่อให้หาทางรอด เพราะอย่างไรก็ไม่รอดอยู่ดี แต่ ส่งมาเพื่อเตือนว่า มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างไรในวันสุดท้ายของชีวิต ยิ่งถ้านำไปเทียบเคียงกับ ศาสนา ยิ่งย้ำชัดถึง บางสิ่งที่เราไม่มีวันหนีพ้น นั่นก็คือ 'ความตาย'

    จะเข่นฆ่าเอาตัวรอด ไม่ยอมรับความเป็นจริง หรือ ยอมรับสัจธรรม กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัว



    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 11:35:03

    แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 52 10:50:22

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 1 เม.ย. 52 10:46:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com