ความคิดเห็นที่ 1 ทฤษฎี Timeline Theory ในเรื่อง  Lost มาคุยประเด็นใหญ่ในเรื่องนี้ก่อน นั่นเพราะนี่คือประเด็นที่หลายๆ คนสับสน ไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจ ว่าบนเกาะแห่งนี้มันเกิดอะไรขึ้น มันทำไมไม่ปกติเหมือนที่อื่นๆ ในโลกสักเท่าไหร่กันนะ ซึ่งในที่สุดคำเฉลยที่พวกเราเฝ้ารอมามันก็มาถึงเสียที ผ่านทางคำบอกเล่าจากบทสนทนา ระหว่างฮิวโก้และไมล์นั่นเอง ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดก็คือคำถามของฮิวโก้นั้นราวกับถอดออกมาจากความสงสัยของคนดูทุกคน ยังไงยังงั้น และคำตอบของไมล์ที่รับรู้เรื่องนี้ผ่านฟาราเดย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับคำอธิบายจากทีมผู้สร้าง ส่งผ่านมาถึงคนดูนั่นเอง  ดังนั้นไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่าสิ่งที่ไมล์เล่านั้นถูกมากน้อยแค่ไหน เพราะผมเชื่อว่ามันน่าจะตรงกับสิ่งที่ทางทีมผู้สร้างต้องการเฉลยให้คนดูได้เข้าใจนั่นเอง อย่าลืมว่านี่คือซีซั่นที่ 5 แล้ว  ซึ่งจากคำสัมภาษณ์ของทีมผู้สร้างที่เล่าผ่านตอนที่ 0 ของซีซั่นนี้ ก็บอกอยู่แล้วว่าในซีซั่นนี้เราจะเริ่มตอบคำถามต่างๆ ที่เคยทิ้งปมไว้ในซีซั่นก่อนหน้านั้นให้มากขึ้น และแน่นอนว่า Time Theory ก็คือหนึ่งในปมที่กำลังค่อยๆ ถูกเฉลยมากขึ้นๆ และน่าจะเข้าใจ ได้อย่างกระจ่างแจ้งมากขึ้น เมื่อถึงตอนที่พูดถึงเรื่องของฟาราเดย์ในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี้ จากคำตอบของไมล์ที่ตอบฮิวโก้ ทำให้สรุปได้ว่าตามปกติแล้ว สำหรับคนทั่วๆ ไปเวลาย่อมเดินเป็นเส้นตรง อดีดไปหาปัจจุบันและมุ่งหน้าสู่อนาคต แต่สิ่งที่เกิดกับกลุ่ม Lostie ณ เวลานี้นั้นไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น และเหตุผลก็เกิดมาจากการที่เบนหมุนวงล้อเพื่อย้ายเกาะนั่นเอง เพราะนั่นทำให้ถนนของกาลเวลา เกิดการเบี่ยงเบนไปไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น และผลที่ตามมาก็คือกลุ่ม Lostie แทนที่อนาคต ของพวกเขาจะเดินไปข้างหน้า มันกลับย้อนไปด้านหลังแทน นั่นหมายความว่าอดีตในปี 1977  คือปัจจุบันสำหรับพวก Lostie นั่นเอง และนั่นหมายความว่า Time Theory ในเรื่องนี้มีเพียงแค่ถนนสายเดียว ไม่ได้มีหลายเส้นเหมือนอย่างที่ทฤษฎี Timeloop Theory นำเสนอแต่อย่างใด ซึ่งสำหรับผมแล้วผมว่ามันเข้าท่ากว่าเยอะเลย กับการสรุปให้เส้นกาลเวลาเป็นไปในแนวนี้ จากนั้นเราได้เห็นการตัดสินใจของตัวละครหลายๆ ตัวในเรื่องนี้ที่ทำไปหลังจากที่เขาย้อนกลับไปยังอดีต ซึ่งก่อนนั้นเรามักจะมีความเชื่อที่ว่าเมื่อใครสักคนเกิดย้อนกลับไปยังอดีต เราไม่ควร ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนหรือสิ่งที่อยู่ในอดีต เพราะมันจะส่งผลให้อนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่เราเห็นตัวละครในกลุ่ม Lostie หลายคนทำเช่น Sawyer เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่ม The Others และส่งผลให้เกิดการตายของ The Others สองคน หรือไม่ว่าจะเป็นการที่ ล็อคเข้าไปคุยกับริชาร์ด, การที่ซายิดยิงเบน, หรือกระทั่งการที่แจ๊คไม่ยอมรักษาเบน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่พวกเขาทำไปไม่ใช่สิ่งที่เขาเข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีต นั่นเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว พวกเขาแค่ทำมันไปตามที่ถูกลิขิตไว้โดยไม่รู้ตัวเพียงเท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปนั้น ล้วนแล้วแต่ส่งผลสืบเนื่องให้อดีตที่พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นไปตามแนวทางที่มันควรจะเป็นทั้งสิ้น เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นนั่นเอง และนั่นคือคำอธิบายของสิ่งที่ฟาราเดย์พูดเอาไว้นับตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา นั่นก็คือ... ... Whatever Happened, Happened ... หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ว่าอะไรที่เราตัดสินใจทำลงไป มันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นนั่นเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่เราถูกลิขิตให้ทำอยู่แล้วนับตั้งแต่เกิดมา ไม่ต่างอะไรกับการฟัง CD เพลงที่มีเพลงในนั้นครบหมดแล้วทั้งแผ่น อยู่แค่ว่าเราจะฟังเพลงไหนก่อนหลังเท่านั้นเอง และไม่ว่าจะเล่นเพลงไหนก่อนหรือหลัง เนื้อหาในเพลงแต่ละเพลงก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะม้นถูกแต่งและบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง สรุปในตอนนี้บอกให้เราเข้าใจว่าโลกนี้มีถนนกาลเวลาเส้นเดียว และทุกคนต้องเดินบนถนนเส้นนี้ ไม่มีโลกคู่ขนาน ไม่มีถนนเส้นใหม่ๆ ที่จะแตกออกไปหากว่าตัวละครคนใดเข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีต นั่นเพราะทุกอย่างล้วนถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว และทุกตัวละครแค่ทำไปตามที่ถูกลิขิตไว้ให้ทำ เพียงเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ว่ากลุ่ม Lostie กลับมาเพื่อสิ่งนี้นั่นเอง  ฮ่าๆๆ ปล. อย่าลืมว่ากรณีของเดสมอนเป็นกรณีพิเศษ ที่เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎข้อนี้นะ เพราะทุกครั้ง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับอดีตของเดสมอน มันจะกลายเป็นความทรงจำที่เพิ่มขึ้นมาแทนที่ อย่างที่เราได้เห็นในกรณีของฟาราเดย์นั่นเอง จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Fate VS Free Will ประเด็นอีกจุดหนึ่งที่เรื่อง Lost พยายามนำเสนอนั่นคือช่องว่างระหว่างคำว่า Fate หรือชะตาลิขิต และคำว่า Free Will หรือการตัดสินใจทำในสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเราเอง ประเด็นนี้ถูกเสนอมาเรื่อยๆ ในเรื่องนี้ผ่านการตัดสินใจของตัวละครหลักหลายๆ ตัว ที่เริ่มต้นมักจะเชื่อว่า ชีวิตนี้เราเป็นคนลิขิตเส้นทางชีวิตเอง ไม่มีใครลิขิตชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง แต่นานวันเข้า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกาะแห่งนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเขาเหล่านั้นไปเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นล็อคที่เรา น่าจะเห็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด เกี่ยวกับพัฒนาการความเชื่อของเขา และในซีซั่นนี้เราก็ได้เห็นแจ๊ค ที่ก่อนนั้นเคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า Free Will มากกว่าใคร  ถึงวันนี้ความเชื่อของเขาก็เริ่มสั่นคลอนมากขึ้น และเหตุการณ์ที่เขาตัดสินใจใช้มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายในการทดสอบความเชื่อของตัวเอง นั่นก็คือการไม่รักษาเบน และเฝ้าดูว่า Fate จะทำหน้าที่ของมันอย่างไรต่อไป และแน่นอนว่าผลที่ตามมา เราก็คงจะได้เห็นแจ๊คที่กำลังจะมีความเชื่อตามล็อคไปติดๆ หลังจากนี้ค่อนข้างแน่นอน แต่ถามว่างั้นเราไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินเลือกทางเดินให้กับชีวิตของเราเลยงั้นหรือ คำตอบก็คือไม่ใช่ซะทีเดียว นั่นเพราะเรายังมีทางเลือกที่จะทำอะไรด้วยตัวเราเองด้วยเช่นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สิ่งที่เราตัดสินใจทำไปนั้น ต้องไม่ไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเราเอง และของคนอื่นๆ   เราจะเห็นว่าตัวละครบางตัวพยายามที่จะฆ่าตัวตาย เช่นไมเคิลที่พยายามจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง หลังจากออกไปจากเกาะ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสิ่งที่เขาทำคือการพยายามใช้ Free Will นำหน้า Fate ดังนั้น Fate จึงสร้างอุปสรรคเพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น เช่นลูกปืนติด กลไกไม่ทำงาน  หรือกระทั่งตอนที่แจ๊คจะโดดสะพานฆ่าตัวตาย Fate ก็สร้างเหตุการณ์ขึ้นมา บังคับไม่ให้เขาฆ่าตัวตายนั่นเอง สรุปประเด็นเรื่องทฤษฎีของชะตาลิขิต กับสิ่งที่เราลิขิตในเรื่องนี้ได้ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ ในเรื่องนี้จะยกตัวอย่างให้เห็นว่าทุกอย่างบนโลกแห่ง Lost นั้นมันเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งที่เป็น Fate ก็ต้องเป็น fate ซึ่งไม่มีวันที่ Free Will จะเปลี่ยนแปลงได้ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้คุณกำลังจะทานมื้อเที่ยง แต่ไม่แน่ใจว่าจะทานอะไรดี  ซึ่งตรงนี้หากว่ามันเป็น Fate ที่คุณกำลังจะพบเนื้อคู่ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต ธรรมชาติจะผลักดันคุณให้ไปทานอาหารที่ร้านนี้ เพราะคุณจะได้เจอกับเนื้อคู่ของคุณ  แต่คุณก็มีอิสระที่จะเลือกทานได้ว่าจะทานอะไร ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ หรืออะไรก็ตามที ตราบใดก็ตามที่คุณจะไปกินร้านนั้นที่คุณจะไปพบกับเนื้อคู่ของคุณ แต่ ถ้าหากว่าคุณตัดสินใจว่าจะไม่ไปกินร้านนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการพยายามใช้ Free Will  ให้เหนือกว่า Fate  ธรรมชาติจะมีวิธีการที่ทำให้คุณต้องไปที่ร้านนี้ในที่สุด ไม่ว่าจะไม่อยากไปร้านนี้สักเท่าไหร่ก็ตามที  เช่นอยู่ดีๆ เดินไปเจอลูกค้าคนสำคัญมาชวนคุณไปทานข้าวที่ร้านนี้ และคุณก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ไป และก็ต้องไปเจอกับเนื้อคู่ของคุณในที่สุด นี่ คือตัวอย่างทฤษฎี Fate & Free Will ในหนังเรื่อง Lost ครับ  ไม่เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงนะ เพราะเรื่องนี้เราต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเราพิสูจน์เอาเอง แต่สุดท้ายแล้วมันจะแตกต่างไปจากนี้หรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปเรื่อยๆ ครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จุดเปลี่ยนของตัวละครแต่ละตัว Jack - ในตอนนี้เราได้เห็นจุดเปลี่ยนของตัวละครหลายต่อหลายอย่าง แต่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น Jack ที่ตอนนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความเชื่อในเรื่องของ Fate มากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะเมื่อ ได้ยินสิ่งที่ไมล์พูด จนส่งผลให้เขาตัดสินใจทดสอบมันว่า Fate มีแนวทางในการรักษาเบนอย่างไร หากว่าเขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงพูดกับ Kate และ จูเลียตเช่นนั้น ในซีซั่นนี้เราได้เห็นคำพูดว่า "Suppose" จากแจ๊คบ่อยขึ้น ซึ่งคำๆ นี้เป็นคำที่แจ๊คไม่เคยพูดมาก่อนเลย และมักจะดูถูกคำพูดคำนี้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้หลุดออกมาจากปากของล็อค แต่ตอนนี้เราเห็นเขาพูดมันบ่อยขึ้น อันเป็นผลที่เกิดจากจุดเปลี่ยนของความเชื่อที่เริ่มไหลมาทาง Fate มากขึ้นนั่นเอง และเหตุการณ์สืบเนื่องจากนี้ไป ย่อมกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้เขาหันมาเชื่อ ในเรื่องของ Fate มากขึ้นเต็มตัวในที่สุด ================================== แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 01:33:56 จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:27:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Kate - ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครหลักในการเดินเรื่องของตอนนี้ เราได้เห็นเธอกลายเป็นคนที่อ่อนไหวมากขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามีชีวิตของเด็กน้อยมาเป็นสิ่งเกี่ยวพัน นั่นเพราะความสัมพันธ์ที่เธอเคยมี กับแอรอน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนั้น บทนี้เราได้เข้าใจจิตใจเบื้องลึกของ Kate มากขึ้น ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจรับแอรอนไปเป็นบุตร ก่อนนั้นเราเคยเข้าใจว่าเธอใช้มันเพื่อขอความเห็นใจต่อสังคม เมื่อเธอต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องคดี แต่ถึงตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า Kate ตัดสินใจรับแอรอนมา นั่นเพราะเธอต้องการได้รับและได้ถ่ายทอด ความรู้สึกรักที่เธอมีให้กับใครสักคน บทสนทนาระหว่างเธอกับอดีตคนรักของ Sawyer ทำให้เรารู้ดีว่าหลังจากกลับมาจากเกาะ เธอยังคงรัก Sawyer อยู่ และเมื่อเขาตัดสินใจกระโดดลงไปจากฮอ นั่นทำให้หัวใจของเธอ แตกสลายลงไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นการรับแอรอนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ขาดหายไป ก็ช่วยทำให้เธอไม่ต้องอยู่ลำพังคนเดียว และยังสามารถใช้ชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนได้ และนั่นคือที่มาของคำพูดที่เธอต้องการแอรอน มากกว่าที่แอรอนต้องการเธอ  แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชั่วระยะหนึ่ง สามปีผ่านไป ตะกอนความรู้สึกรักที่เธอเคยมีให้กับ Sawyer ก็ค่อยเลือนหายไปทีละน้อยๆ และเหตุการณ์ที่ซุปเปอร์มาเก็ตที่แอรอนหายไปนั้น ก็ทำให้เธอได้คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอ จะต้องคืนแอรอนกลับไปยังคนที่แอรอนสมควรจะอยู่ด้วย นั่นก็คือคนที่เกี่ยวข้องกับแคลร์มากที่สุด นั้นก็คือแม่ของแครล์นั่นเอง และนั่นคือเหตุผลที่เธอตัดสินใจคืนแอรอน และตัดสินใจที่จะกลับไปที่เกาะพร้อมกันกับแจ๊คและคนอื่นๆ คืนนั้นหลังจากคืนแอรอนให้แม่ของแคลร์แล้ว เธอก็กลับไปรอแจ๊คที่บ้าน เพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธอจะไปกับเขา และคืนนั้นสิ่งที่เธอทำกับแจ๊คก็ไม่ได้เป็นไปเพราะเธอรักเขา แต่เป็นเพราะเธอต้องการเขาเพื่อให้ได้รับรู้ว่า เธอยังเป็นที่ต้องการอยู่บ้าง สำหรับใครสักคน หากยังพอจำได้ในซีซั่นก่อนหน้านี้ มีตอนหนึ่งที่หลังจากไมเคิ่ลหลอกกลุ่ม Jack, Sawyer, Kate ให้มาพบกับเบน Kate เป็นคนเดียวที่ได้ถูกให้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และมาร่วมทานอาหารกับเบน ที่ริมชายหาด บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะเบนทำไปเพื่อตอบแทนที่เธอช่วยชีวิตเขาก็เป็นไปได้เช่นกัน แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 01:29:38 จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:29:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Juliet -  ตอนนี้เป็นตอนที่ทำให้เราได้รู้จักจูเลียตมากขึ้น อย่างน้อยก็ในแง่มุมของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุด นั่นก็คือการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเคียงข้างกับคนที่เธอรักเพียงเท่านั้น และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงเลือกอยู่ที่นี่มาตลอดระยะเวลาสามปี แทนที่จะเป็นสองอาทิตย์ อย่างที่ Sawyer รับปากกับเธอไว้ก่อนหน้านั้น บางทีเธออาจจะรู้ดีว่าการจากเกาะนี้ไปยังโลกภายนอกที่เธอโหยหานั้น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะสิ่งที่รอคอยเธอยู่ด้านนอกนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดหวังแน่นอน เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่แน่นอน ในขณะที่การอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ทำให้เธอมั่นใจได้ว่าเธอยังมีคนที่รู้จัก และสถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นที่ๆ เธอเอง คุ้ยเคยกับมันเป็นอย่างดี และปัจจัยที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นความรักที่เธอโหยหามาเนิ่นนาน และเมื่อได้รับมัน เธอเองก็พร้อมที่จะหยุดชีวิตของเธอไว้ที่นี่ แม้จะรู้ดีว่าในอีกไม่นานกลุ่ม DI ทั้งหมดจะถูกกวาดล้างก็ตามที แต่ถ้าหากสิ่งนั้นมันจะแลกมากับความอบอุ่นที่เธอโหยหาที่จะได้รับมาเนิ่นนาน เธอก็พร้อมที่จะยอมรับมัน อย่างเต็มใจ แต่การกลับมาของพวก Jack ทำให้สิ่งที่จูเลียตเคยคาดฝันนั้นพังทลายไปจนหมดสิ้น ภาพที่เธอยืนพิงหน้าต่าง มองดูการกลับมาของกลุ่ม Jack นั้นอธิบายความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมี ณ เวลานั้นได้เป็นอย่างดีที่สุด แน่นอนว่าเธอกังวลว่าการกลับมาของกลุ่ม Jack จะทำให้สิ่งต่างๆ ที่พวกเธอพยายามทำมาทั้งหมดสูญเปล่า ชีวิตที่คาดหวังเอาไว้ก็อาจจะไม่เป็นไปอย่างนั้น โดยเฉพาะการกลับมาของ Kate ที่เธอก็รับรู้อยู่เรื่อยมา ว่าเป็นคนรักเก่าของ Sawyer อาจจะเข้ามาทำให้ความสัมพันธ์ที่เธอมีกับ Sawyer เปลี่ยนไป แต่สุดท้าย สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่ก้มหน้ายอมรับผลที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการกลับมาของกลุ่ม Jack เพียงเท่านั้น และคาดหวังว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนมากเกินไปนัก แต่แล้วหากมองย้อนไปที่ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้างหลังจากที่กลุ่ม Jack กลับมา เพียงแค่ ไม่กี่วันก็เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น พร้อมกับการหายตัวไปของ Sayid ที่อยู่ในสภาพนักโทษ พร้อมกับ ร่างของเบนในวัยเยาว์ที่ถูกยิง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นและแน่นอนว่าไม่ต่างอะไรกับการย้อนนับเวลาถอยหลัง เพื่อจะได้พบว่า ชีวิตที่อบอุ่นที่เธอเคยมีก่อนหน้านั้น กำลังถูกนับถอยหลังมากเข้าไปทุกที แต่แม้ว่าจะรู้สึกอะไรมากมายก็ตามที สิ่งที่เธอเลือกที่จะทำเรื่อยมาก็คือกดเก็บมันไว้ภายในใจ ภายใต้รอยยิ้มบางๆ ที่พอจะช่วยเธอสะกดจิตใจให้ได้บ้างเพียงเท่านั้น จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ที่ กลุ่ม Jack กลับมาเราไม่ได้เห็นรอยยิ้มอย่างสุขใจจากจูเลียตอีกเลย มีเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ที่ฉาบแต้มอยู่บนใบหน้าเพียงเท่านั้นเรื่อยมา ในกรณีของเบน แม้ว่าเธอจะเคยเกลียดเขามากมายสักเท่าไหร่ก็ตามที แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจช่วยเขา นั่นอาจจะเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอได้รู้จัก และใกล้ชิดกับเบนมากขึ้น รู้ว่าเขาเติบโตมาอย่างไร และพ่อของเขาปฏิบัติกับเบนอย่างไร ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แน่นอนว่ากลุ่มของ jack ที่พึ่งมาถึง ย่อมไม่มีโอกาสได้รับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ว่าภูมิหลังที่เบนเติบโตมานั้นเป็นอย่างไร จูเลียตพยายามช่วยเบนอย่างเต็มที่ แต่เธอรับรู้ถึงขอบเขตของความสามารถของตัวเองดี ว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นหนักหนาเกินกว่าความสามารถของสูตินารีแพทย์อย่างเธอ ดังนั้น Sawyer จึงเป็นฝ่ายเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก Jack ที่เป็นแพทย์ผ่าตัวตัวจริง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ และจูเลียตเองก็รับรู้ดีว่าแจ๊คไม่ได้ต้องการจะช่วยเบน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากแจ๊คอีกเลย ฉากที่จูเลียตเข้าไปคุยกับ Jack นั้นแสดงให้เห็นความรู้สึกเก็บกดของเธอได้เป็นอย่างดี ลูกโป่งของความกดดันที่เธอกดเก็บเอาไว้เต็มหัวใจ ระเบิดให้เราได้เห็นในฉากนั้น ว่าสิ่งที่เธอคิด และกังวลอยู่เรื่อยมานั้นมันเป็นอย่างไร และมันระเบิดออกมาเพราะเหตุใด ช่วงเริ่มต้นของการสนทนา เราได้เห็นแจ๊คบอกว่าที่เขาไม่ช่วยนั่นเป็นเพราะเด็กคนนั้นคือเบน และสิ่งที่จูเลียตตอบกลับมาก็คือ... that's not ben yet. He's just a kid. (นั่นยังไม่ใช่เบน (ที่พวกเรารู้จัก)หรอก ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง) ประโยคนี้ทำให้เราแน่ใจได้ว่าจูเลียตรู้ดีว่าการส่งเบนไปให้ริชาร์ดรักษานั้น จะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กน้อยคนนี้ เปลี่ยนไปและกลายเป็นเบนที่เธอรู้จักในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้อย่างแน่นอน แต่ทั้งๆ ที่เธอรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร แต่เธอก็ยังตัดสินใจทำไป นั่นเพราะเหตุผลเดียวกันกับที่เธอบอก Sawyer ว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตามที มันคือสิ่งที่ผิดที่จะปล่อยให้เด็กคนนี้ตายไปต่อหน้าต่อตา และแน่นอนว่าสิ่งที่จูเลียตตัดสินใจทำไปนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามที่ Fate ขีดเส้นไว้แล้วทั้งนั้น และในฉากนี้เราได้เห็นว่าเธอรู้สึกผิดหวังและเสียความรู้สึกกับสิ่งที่แจ๊คตัดสินใจทำมากมายเพียงใด ดังนั้นใครที่หวังว่าจะมีการรีเทิร์นระหว่างคู่กิ๊กในอดีตอย่าง Jack และจูเลียตก็คงบอกได้คำเดียวว่า ตัดใจได้เลย เพราะจากนี้ไปผมว่าแม้แต่หน้าแจ๊ค จูเลียตก็อาจจะไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ (ฉากนี้เป็นอีกหนึ่งซีนดราม่าที่ผมชอบมากๆ ในเรื่อง Lost เลยทีเดียว จูเลียตแสดงได้ถึงมาก ฮ่าๆๆ) จริงอยู่ที่ว่าเธออาจจะเพียงแค่ยอมรับและปล่อยให้เบนตายไปก็ได้ เพราะเธอก็พยายามที่สุดแล้ว เท่าที่ความสามารถของเธอจะทำได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ อาจจะเนื่องด้วย การเป็นสูตินารีแพทย์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตของเด็ก หรือด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะพบเจอกับ ความตายของเด็กคนไหนอีกแล้วเหมือนอย่างที่เธอเคยพบเจอตอนที่อยู่กับกลุ่ม The Others และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจเสนอให้ส่งเบนไปให้ริชาร์ตช่วย แม้จะรู้ดีกว่าใครๆ ว่าสิ่งที่ริชาร์ตจะทำกับเบนนั้น จะเปลี่ยนให้เบนกลายเป็นเบนที่เธอรู้จักก็ตามที การตัดสินใจตรงนี้ทำให้เราได้รับรู้ว่าแม้ก่อนหน้านั้นเธอจะดูเย็นชา น่ากลัว คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็เป็นคนที่มีจิตใจที่อ่อนโยนไม่น้อยเลยทีเดียว  (เป็นป๋าดันจูเลียตจริงๆ เลยตรู ฮ่าๆๆ) จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Sawyer - เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ Sawyer มาเรื่อยๆ ในตอนก่อนหน้านี้และรับรู้ว่า เขาโตขึ้นกว่าเดิม และใช้ชีวิตกับการรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นๆ มาตลอดเวลาสามปีในตำแหน่ง หัวหน้า Security และการได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่เขารัก ก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้นเช่นกัน แม้ว่าการกลับมาของ Kate จะทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ ของคนทั้งคู่ก็คงไม่ต่างจากสายน้ำที่ไหลผ่าน ที่ย่อมไม่มีวันกลับคืนมาได้อีกแล้ว ที่สำคัญซีซั่นนี้ Sawyer เดินหน้าเป็นพระเอกเต็มตัวขึ้นกว่าที่เคย ถีบเอาแจ๊คขวัญใจคนเก่า ให้หลุดอันดับไปได้แบบไม่เห็นฝุ่น และถึงเวลาที่เราจะได้ดูว่าภายใต้การนำของ Sawyer ทุกอย่างจะเป็นไปในทางไหน ดีกว่าที่แจ๊คเคยเป็นผู้นำกลุ่มก่อนหน้านั้นหรือไม่ ประโยคคลาสสิคอย่าง I'm thinking ที่ตบหน้าแจ๊คได้ฉาดใหญ่จะทำให้การนำของ Sawyer เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นไหม  เราก็คงได้เห็นคำตอบของมันในอีกไม่ช้าเป็นแน่แท้ แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 00:38:56 จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ฮิวโก้ & ไมล์ -  คู่หูคู่ฮาแพ็คคู่ๆ ใหม่ของ lost ถูกนำเสนออย่างถูกคู่ ซึ่งเรารู้กันว่าสองคนนี้ เป็นพวกอยู่เงียบๆ ไม่เป็นโดยพื้นฐานนิสัยกันอยู่แล้ว ทำให้เมื่อมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ รับรองว่าเราจะได้เห็นทั้งคู่คอยคุยไปกัดกันไปเรื่อยๆ แน่ๆ ผมชอบไอเดียที่เล่าเรื่อง Timeline Theory ผ่านทางบทสนทนาระหว่างไมล์และฮิวโก้นะ เพราะมันฟังแล้วเพลินดีกับการตั้งคำถาม และการตอบของทั้งคู่ ทำให้เรื่องที่ฟังดูเครียด กลับเข้าใจได้ง่ายขึ้น จากบทสนทนา เราจะเห็นได้ว่าฮิวโก้คือตัวแทนของคนทั่วไปที่เชื่อว่าเวลาเดินทางเป็นเส้นตรง และยังยึดติดกับเส้นนั้น แต่ไมล์ก็พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเวลาสำหรับพวกเขานั้น ไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงอีกต่อไปแล้ว ฮิวโก้เปิดบทสนทนาโดยการยกทฤษฎีจากเรื่อง Back to the future ที่พูดถึงประเด็น Time Travel ว่าหากเราเข้าไปเปลี่ยนอะไรในอดีตก็ตามที สิ่งนั้นจะส่งผลกระทบกับเรา เช่นตัวเอกในหนังเรื่องนั้นย้อนกลับไปยังอดีต และทำอะไรบางอย่างที่ส่งผลให้พ่อกับแม่ ของเขาเกือบไม่ได้รักกัน ผลที่ตามมาคือภาพของพี่ชายและน้องสาวของเขาค่อยๆ เลือนหายไป รวมไปถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเขา เพราะหนังนำเสนอว่าหากเขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงอดีตตรงนี้ มันจะส่งผลให้เขาไม่ได้เกิดนั่นเอง นั่นคือที่มาของฮิวโก้ที่นั่งจ้องมือตัวเอง แล้วบอกว่าเพราะพวกเขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงอดีต นั่นย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และนั่นย่อมส่งผลมาถึงเขาแน่นอน บางทีเขาอาจจะค่อยๆ หายตัวไปเหมือนที่เห็นในหนังก็เป็นได้ แต่สุดท้ายไมล์ก็มาอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกันหนังแล้ว ทฤษฎี Time Travel ของเรื่อง Lost น่าจะตรงกับหนังเรื่อง  Kate & Leopold มากกว่า บทสนทนาของคู่นี้แน่นอนว่าอธิบายกรอบเวลาภายในเรื่อง Lost เอาไว้อย่างชัดเจน แม้ว่าไมล์เองอาจจะไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับ Time Travel ดีเท่ากับฟาราเดย์ แต่ด้วยนิสัยช่างซักช่างถาม แน่นอนว่าเขาต้องถามฟาราเดย์จนเข้าใจมากพอ ที่จะหยิบมาอธิบายให้ฮิวโก้ฟังอย่างถูกต้องมากพอสมควรแน่นอน และผมเชื่อว่าบทสนทนาของคู่หูคู่นี้น่าจะทำให้คนดูเรื่อง Lost เข้าใจเกี่ยวกับกรอบทฤษฏีนี้มากขึ้น และน่าจะดึงรอยยิ้มจากคนดูได้เรื่อยๆ ในตอนต่อๆ ไปอย่างแน่นอน  ดูอย่างตอนนี้สิ ขนาดอยู่ในสถานการณ์ ที่ตึงเครียดอย่างตอนที่จูเลียตเข้ามาพบกับแจ๊คแบบดราม่าสุดๆ  ก่อนที่จะตัดฉากไป ตาไมล์ก็ยังอุตส่าห์ ทิ้งประโยคเด็ดให้คนดูได้แอบยิ้มบางๆ ได้อยู่บ้าง hey,ask me more questions about time travel. เครียดก็เครียดนะ แต่เจอประโยคนี้เข้าไปก็อดยิ้มไม่ได้เลยเหมือนกัน จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ริชาร์ด, ปราสาทหิน และเบน ตอนนี้ปิดฉากได้อย่างสุดยอดอีกตอนหนึ่ง นั่นก็คือภาพของริชาร์ดที่กำลังอุ้มเบนเดินเข้าไปยังปราสาทหิน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่เดียวกันกับที่กลุ่มทีมของรุซโซ่ตัดสินใจเข้าไปในนั่น และกลับออกมาด้วยทีท่าที่เปลี่ยนไป เรายังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับปราสาทหินนี้เลยแม้แต่น้อย รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นที่อยู่ของหมอกดำ ที่เป็นปริศนามานับตั้งแต่ซีซั่นแรก และรู้เพียงว่าริชาร์ดพาเบนมาที่นี่เพื่อรักษาด้วยวิธีอะไรสักอย่าง จากเคสของทีมรุซโซ่ เราได้เห็นว่าคนที่ออกมาจากปราสาทนั้นจะเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เย็นชาขึ้น และทำได้ทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่สำคัญกว่า  ตัวอย่างเช่นแฟนของรุซโซ่ที่พร้อมจะยิงเธอและลูก ได้อย่างไม่ลังเล ซึ่งฉากนั้นทำให้เราได้รู้ว่าบางทีลูกสาวของรุซโซ่อาจจะมีความสำคัญบางอย่างกับเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบก็ตามที ทำให้พ่อแท้ๆ ของเธอยังต้องการที่จะฆ่าให้ตาย แต่สุดท้าย Fate ก็ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง นั้นก็คือปืนมีปัญหายิงไม่ออก ก็เลยโดนรุซโซ่ยิงตายในที่สุด เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่รุซโซ่เรียกว่าอาการป่วย และการเป็นพาหะของโรคคืออะไร แต่แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เบน กำลังจะเป็น การรักษาครั้งนี้ก็คงจะเป็นไปตามที่ริชาร์ดบอกไว้ นั่นคือเบนจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมได้อีก เขาจะสูญเสียความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ที่เคยมีไป และกลายเป็นคนของริชาร์ดในที่สุด ส่วนประเด็นที่บอกว่าเบนจะสูญเสียความทรงจำบางส่วนไปนั้น เราไม่แน่ใจว่าตอนถัดไปนั้นจะมีคำอธิบายที่ดี และเป็นเหตุเป็นผลกับประเด็นนี้มากแค่ไหน เพราะถ้ามันไม่มีเหตุผลรองรับมากพอ มีหวังโดนคนดูด่าแน่ ว่าที่พูดไปนั้นก็แค่เติมบทไป เพื่ออุดรอยโหว่ของบทที่เคยรั่วไปก่อนนั้นว่าทำไมเบนถึงจำซายิดไม่ได้ จะอธิบายอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 00:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Charles and Ellie ประโยคสั้นๆ จากหนึ่งในกลุ่ม The Others ที่ถามกับริชาร์ดเกี่ยวกับสิ่งที่ริชาร์ดกำลังจะทำกับเบนนั้น เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า you shouldn't do this without asking ellie. (คุณไม่ควรทำเรื่องนี้โดยไม่ถาม Ellie นะ) And if charles finds out (แล้วถ้าชาร์ลเกิดรู้เรื่องนี้เข้า....) แต่ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ริชาร์ดก็ตอบกลับไปว่า I don't answer to either of them. (ฉันจะไม่ตอบคำถามใดๆ จากทั้งคู่ทั้งนั้นแหละ) ประโยคนี้ทำให้เราทราบดีว่าสถานภาพของริชาร์ดตอนนี้ ต่างจากที่เราได้เห็นในตอนที่ล็อคเดินเข้าไปคุยกับริชาร์ดในตอนที่ 3 แล้ว และอาจจะเป็นไปได้ว่าตอนนี้ไม่ Ellie ก็ Charles เป็นคนที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของกลุ่ม The Others เสียแล้ว นอกจากนี้แล้วอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง Ellie และ Charles ที่จากตอนที่ 3 เราจะเห็นว่า ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อาจจะไม่ได้ดูหวานจนจะเป็นคู่รักกันสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่แน่บทเรียนจากละครหลังข่าวเมืองไทย ทำให้เราทราบดีว่า การเกลียดกันตอนต้นแล้วมารักกันตอนท้ายเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ข้อสันนิษฐานที่ว่าสองคนอาจจะเป็นเพียงแค่เพื่อนในวัยเด็ก หรือคนที่สนิทสนมกันเพราะเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กัน ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน ก็ต้องดูกันต่อไปว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้จะเป็นอะไรกันแน่ และฟาราเดย์จะเป็นลูกชาย ของ Ellie ตามที่เคยถูกสันนิษฐานกันไว้จริงไหม และสายสัมพันธ์ระหว่างฟาราเดย์และ Charles เป็นอย่างไร ลึกซึ้งแค่ไหนถึงได้ทำให้ Charles สนับสนุนทุนการวิจัยของเขามานานนับสิบปี เป็นเพียงเพราะเรื่องที่ฟาราเดย์ ทำการวิจัยนั้นส่งผลประโยชน์โดยตรงกับเขา หรือเพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวกันแน่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป และจากบทสนทนาข้างต้นมีคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นไปได้ว่า ณ เวลานั้น Charles ขึ้นเป็นหัวหน้าของ The Others อย่างเต็มตัวแล้ว โดยอาจจะมี Ellie เป็นเหมือนรองหัวหน้าคอยทำหน้าที่รับผิดชอบและคอยตัดสินใจแทนเขา ในกรณีที่เขาไม่อยู่ในสภานภาพที่พร้อมจะทำหน้าที่นั้น เช่นว่ากำลังออกไปทำธุระสำคัญบางอย่างนอกเกาะเป็นต้น และเป็นไปได้ไหมว่า ณ เวลานั้น Charles กำลังออกไปธุระนอกเกาะ จึงทำให้ตอนนี้ Ellie กำลังอยู่ในฐานะ ตัวแทนหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว จึงเป็นสาเหตุที่ชายคนนั้นตั้งคำถามกับริชาร์ดว่าควรจะบอก Ellie ก่อนไหม ก่อนที่จะทำเรื่องนี้ เพราะถ้า Charles รู้เรื่องนีทีหลัง (อาจจะหลังจากกลับมาที่เกาะอีกครั้ง) อาจจะเกิดปัญหาขึ้น แต่สิ่งที่ริชาร์ดตอบก็ยืนยันให้เห็นเช่นกัน ว่าลึกๆ แล้วทั้งสองคนนี้อาจจะมีข้อขัดแย้งบางอย่างลึกๆ ภายในใจ ทำให้ริชาร์ดไม่เห็นความสำคัญว่าจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้กับทั้งคู่ได้รับรู้รับฟัง อาจจะเป็นไปได้ว่าริชาร์ด อาจจะไม่ชอบแนวทางในการนำของ Charles ก็เป็นไปได้ และหลังจากนี้เขาเองอาจจะเป็นคนที่หันมาหนุนเบน ให้ขึ้นเป็นผู้นำแทน Charles เหมือนกับตอนที่เขาหันมาหนุนล็อคให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของกลุ่มแทนเบนก็เป็นได้ หลายคนอาจจะถามบทบาทหน้าที่ของริชาร์ดว่าเขามีหน้าที่อะไรในเส้นบริหารของกลุ่ม The Others กันแน่ อันนี้ก็ยังตอบได้ไม่เต็มที่นัก เพราะข้อมูลเกี่ยวกับริชาร์ดยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอะไรมากนัก แต่จากที่เราได้เห็นๆ กัน ริชาร์ดคือคนที่ไม่แก่ตัวลงเลย ไม่ว่าเวลาจะเลื่อนผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ตามที แต่บทบาทที่เราเห็นจากเขาส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะรับบทบาทการเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่ถูกเลือกมาเป็นหัวหน้าเสียมากกว่า และอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาได้รับหน้าที่มาจาก Jacob อีกที ว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เขาต้องเลือกคนที่ Jacob เลือก ให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม The Others แทนเขา เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง สรุปสถานการณ์ตอนนี้ตามความเห็นของผมคือวิทมอธ์ขึ้นกุมอำนาจเป็นหัวหน้าของกลุ่ม The Others เรียบร้อยแล้ว โดยมี Ellie (แม่ของฟาราเดย์) ถือตำแหน่งรองหัวหน้าอยู่ และขณะนี้วิทมอธ์กำลังออกไปทำธุระภายนอกเกาะ ทำให้ตอนนี้ Ellie จึงขึ้นเป็นรักษาการณ์หัวหน้าแทน ด้วยเหตุนี้หนึ่งใน The Others จึงตั้งคำถามกับริชาร์ดว่าจะไม่เป็นอะไรหรือ ที่ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาผู้นำซึ่ง ณ เวลานี้ ก็คือ Ellie ก่อน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าสุดท้ายริชาร์ดก็ไม่แคร์เรื่องนั้นสักเท่าไหร่ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Easter Eggs - ในตอนที่ 10 ซายิดยิงเบนเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจเต็มๆ  ซึ่งซายิดนักฆ่าในสายเลือดเชื่อเหลือเกิน ว่ายังไงเบนก็ไม่รอด เพราะเขายิงเข้าเป้าสังหารเต็มที่ ก่อนที่จะวิ่งหนีไป พร้อมๆ กับทิ้งคำถามกับคนดูว่าเบนจะรอดได้ไง โดนยิงเข้ากลางหัวใจแบบนั้น แต่ในสัปดาห์ต่อมาตอนที่ 11 ฉากที่จินพลิกร่างของเบนกลับมา  แผลโดนยิงย้ายมาที่ด้านขวาของเบนเฉยเลย จะว่าเป็นความผิดพลาดของทีมผู้สร้างก็อาจจะเป็นได้ หรือจะบอกว่าเพราะเบนยังไม่ถึงฆาต Fate เลยทำอย่างที่เคยทำ นั่นก็คือย้ายกระสุนให้กลายมาเข้าด้านขวาแทน  (คิดในแง่นี้ก็ดูเหมือนว่าจะแถกันเกินไปเนอะ ฮ่าๆๆๆ) สรุปไม่ว่าจะยังไงก็ตามที สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือตอนที่สิบ เบนโดนยิงเข้าหน้าอกด้านซ้าย แต่พอตอนที่ 11 แผลดันย้ายมาด้านขวาซะงั้น เอาละสิ ทีมงานจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:02:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แวะมาแล้วค่ะ เชียร์คู่ Jack & Juliet อ่าค่ะ สงสาร Juliet ไม่ค่อยจะได้สมหวังซักที - -" ฝากลิงค์ให้ เค้าทำน่ารักดีค่ะ เป็นแบบรวบรัด กระชับ ได้ใจความของ ep11 อิอิ จากคุณ : spoilt bytch - [ วันจักรี 01:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ่าว ตายๆ ปาดหรือเปล่าคะนี่ ขอโทษทีค่ะ เห็นดึกแล้วนึกว่าโพสท์จบแล้ว >< จากคุณ : spoilt bytch - [ วันจักรี 01:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 - ในซีซั่น 4 ตอน "The Other Woman" ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับแฟลชแบ็คของจูเลียตตอนที่มาถึงเกาะใหม่ๆ และเบนพาจูเลียตมาแนะนำให้คนอื่นๆ ได้รู้จัก ใครคนหนึ่งทักว่าจูเลียตหน้าตาเหมือนเธอคนนั้น ซึ่งเราไม่ได้คำตอบว่าเหมือนใครในอดีต  แต่ถึงตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าคนที่คล้ายนั่นจริงๆ แล้วก็คือจูเลียตนั่นเอง - Kate ร้องเพลงชื่อ "Catch a falling star" ซึ่งเป็นเพลงเดียวกันกับเพลงที่แคลร์เคยร้องขอ ให้คู่สามีภรรยาที่เกือบจะตกลงรับแอรอนไปเป็นบุตรบุญธรรม ร้องให้ลูกของเธอฟังบ่อยๆ เพราะเป็นเพลงที่แม่เคยร้องให้เธอฟังอยู่เสมอๆ ตอนที่เธอยังเด็ก  บางที Kate อาจจะเคยได้ยินแคลร์ ร้องเพลงนี้ให้แอรอนฟังตอนที่อยู่ที่เกาะก็เป็นไปได้  (ข้อมูลเรื่องเพลงนี้ที่แคลร์พูดถึง ดูได้จากซีซั่นแรก ชื่อตอนว่า "Raised by Another") - ผู้หญิงที่จูงมือแอรอนเดินไปตอนอยู่ใน Supermarket ไว้ทรงผมคล้ายกับแคลร์ และเมื่อมองจากด้านหลัง ทำให้เคธคิดว่าคนที่จูงแอรอนไปอาจจะเป็นแคลร์ หรือพูดง่ายๆ ว่าเคธอยู่ในช่วงตะลึงกับความรู้สึกที่ว่า "OMG IT'S CLAIRE"   และนั่นคือที่มาของความรู้สึกโล่งอกลึกๆ ในใจของเธอว่าแคลร์กลับมาพาแอรอนกลับไปกับเธอในที่สุด ตามที่เธอคุยกับแฟนเก่าของ Sawyer พูดง่ายๆ ว่าเหตุการณ์นั้นทำให้เธอเข้าใจว่าลึกๆ แล้วเธอก็ต้องการให้ แอรอนกลับไปอยู่กับแคลร์ตลอดมาโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือที่มาของฉากนี้ที่ว่าทำไมจึงต้องให้คนที่มีทรงผมคล้ายแคลร์ เป็นคนจูงแอรอนไป แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 01:36:42 จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 - ในรถแวนของกลุ่ม DI ตรงคอนโซลด้านหน้าดูเหมือนว่าจะมีเครื่องเล่น CD ติดอยู่ในรถบางคัน ถามว่าแปลกตรงไหนล่ะ ก็ตอบได้ว่าแปลกตรงที่เครื่องเล่นซีดีถูกผลิตออกมาใช้ราวๆ ปี 1982 ไม่ใช่ปี 1977 นั่นเอง สังเกตจากภาพด้านล่างจะเห็นว่าตรงคอนโซลด้านหน้าดูเหมือนกับเครื่องเล่นซีดีที่ถูกถอดหน้ากากออก ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่ช่องใส่ซีดี และก็ช่องเสียบเล็กๆ ที่มีไว้เชื่อมสัญญาณระหว่างหน้ากากกับเครื่องเล่นเท่านั้น จากการวงสีแดงด้านล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจะเห็นว่าช่องเล็กๆ ที่ผมใส่สีเหลี่ยมสีแดงๆ ไว้นั้น คือตัวเชื่อช่องสัญญาณระหว่างหน้ากากกับตัวเครื่องเล่นซีดีนั่นเอง ถ้าหากว่าว่างๆ ก็ลอง ถอดหน้ากากเครื่องเล่นซีดีในรถดูนะ จะเห็นเจ้าช่องเชื่อมสัญญาณนี้อย่างแน่นอน จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 หลายคนอาจจะบอกว่าบางทีอาจจะเป็นแค่แผ่นปิดเวลาไม่ได้มีการสั่งให้ติดวิทยุหรือเครื่องเสียงก็ได้ แต่คำพูดนี้ก็ถูกยิงตกไป เพราะมีคนหาภาพมาโพสให้เห็นแล้ว ว่าหากไม่มีการสั่งเครื่องเสียงในรถ แผ่นปิดมาตรฐานจะเป็นแผ่นแบบไม่มีช่องอย่างที่เห็นกัน ส่วนรูปด้านบนสองรูปนั้น เป็นภาพของรถหลังจากติดชุดเครื่องเสียงแบบวิทยุเล่นเทปปกติ กับอีกอันเป็นเครื่องเล่นซีดีครับ แน่นอนว่าเป็นภาพที่ถ่ายรถรุ่นนี้ในยุคปัจจุบันที่ได้รับการตบแต่งให้สวยงามเข้ายุคนั่นเอง เพราะช่วงที่รถรุ่นนี้ออก ยังไม่มีซีดีในรถแน่นอนครับ แต่พอเรื่องนี้จับรถรุ่นนี้มาเข้าฉาก น่าจะเป็นไปได้ว่าหารถรุ่นที่ใช้เทปมาเข้าฉากไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องเอารถที่มีซีดีเป็นเครื่องเสียงประจำรถ มาเข้าฉากอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้สะดุดตานักจับผิดมากเกินไป ก็เลยถอดหน้ากากซีดีออกซะ ดูง่ายจากภาพด้านบน เราจะเห็นว่ามีช่องว่างอยู่ตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็นหน้ากากวิทยุและเครื่องเล่นซีดี ดังนั้นสรุปได้ง่าย ๆ ว่า มันเป็นเพราะถอดหน้ากากซีดีออกไปอย่างแน่นอน ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ฮ่าๆๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าสร้างนิสัยช่างสังเกตให้กับคนดูจนมากเกินไป มิเช่นนั้นท่านจะพลาดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้คนดูเรื่องนี้ดูกันแบบเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตายมากมายมหาศาล ประหนึ่งเล่นเกมส์จับผิดในทุกๆ อนูเลยทีเดียวเชียว แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 01:43:29 จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 The Best quote of the episode ฉากที่ริชาร์ดอุ้มเบนเข้าปราสาทหินอาจจะทำให้หลายต่อหลายคนอ้าปากค้างมาแล้ว แต่ซีนจบกลับสุดยอดกว่านั้น ภาพของเบนที่ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากเขา มากสักเท่าไหร่นัก  เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เบนมักจะมีแผนรับมืออยู่เสมอ แต่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเขาขณะนี้ ภาพของล็อคที่นั่งมองดูเขาอยู่ในระยะประชิด คนเดียวกันกับที่เขาฆ่ามากับมือ สิ่งนี้ทำให้หลายๆ คนบอกกันว่าสีหน้าและท่าทีของเบน ในฉากนี้เข้าขั้นที่เรียกว่า priceless หรือประเมินค่ามิได้กันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ ฉากนี้ปิดท้ายที่รอยยิ้มบางๆ ของล็อคพร้อมกับคำพูดนิ่มๆ ที่สำหรับผมแล้ว ยกให้เป็นคำพูดสุดยอดของตอนนี้เลยก็ว่าได้ hello, Ben. Welcome back to the land of the living. คิดได้ยังไงกับไดอะล็อคนี้  สุดยอดจริงๆ จบแล้วครับสำหรับตอนนี้  ยาวสักหน่อย เพราะตอนนี้มีจุด้เปลี่ยนสำคัญหลายจุด แต่เนื้อหาที่สรุปไว้แน่นมากพอสมควรเหมือนกันครับ อ่านแล้วยังไงก็ฝากความเห็นไว้สักหน่อยนะ คนเขียนจะได้ไม่เหงา ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมและทักทายด้วยครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 17 spoilt bytch - แต่ผมเชียร์คู่ Sawyer & Juliet มากกว่า ดูเข้ากันดี  ต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากัน สงสาร Juliet ที่มักจะตกอยู่ในฐานะไปหลงรักคนที่เขามีเจ้าของอยู่ในหัวใจแล้วเรื่อยเลย ตั้งแต่สมัย Goodwin ก็ทีหนึ่งแล้ว หวังว่าคราวนี้จะไม่อกหักอีกเนอะ ส่วนตาแจ๊คนี่แอบหมั่นใส้เป็นการส่วนตัวเลยไม่ค่อยเชียร์  ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 01:39:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อิอิ แต่แอบชอบแจ๊คอ่ะค่ะ หล่อดี 555 ไม่เกี่ยวกับหนังแต่อย่างใด หมั่นไส้เคทมากกว่า สองจิตสองใจ อาจจากที่ Mr. Forever สรุปมา แปลว่า Kate รัก Sawyer มากกว่า Jack ใช่ไหมคะ (โธ่ พี่ Jack T __ T) อยากดูต่อจังเลย นึกว่าจะไม่ได้เจอลุง John ซะแล้ว จากคุณ : spoilt bytch - [ วันจักรี 01:47:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 spoilt bytch - น่าจะเป็นอย่างนั้นอะครับ เพราะก่อนที่จะออกมาจากเกาะนั้น เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่รักกัน และแจ๊คเองก็รับรู้ถึงเรื่องนั้นดี ก็อย่างว่าได้เห็นหนังสดผ่านกล้องวีดีโอวงจรปิดต่อหน้าต่อตา ก็คงต้องทำใจยอมรับให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามที แต่สุดท้ายรักนี้ก็ไม่สมหวัง เพราะ Sawyer ตัดสินใจกระโดดลงมาจากฮอแทนที่จะออกเกาะไปพร้อมกัน ซึ่งตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า อะไรคือสาเหตุลึกๆ ที่เขาตัดสินใจกระโดดออกมาในวันนั้น หลังจากออกมาจากเกาะ Kate ก็เคว้ง อกหัก ขาดที่พึ่งพาทางใจ สุดท้ายก็เลยดึงแอรอนมาเติมเต็มช่องว่างความรักที่ขาดหายไป โดยมีแจ๊คคอยมาเติมเต็มช่องว่างบางส่วนที่ขาดหายไป พร้อมกับความเชื่อที่ว่าบางที Sawyer อาจจะตายแล้ว หรือถึงแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ Sawyer เองก็คงไม่ได้กลับมาเจอเธออีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแจ๊ค แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่ได้ เหตุผลจากความระแวงไม่เชื่อใจของแจ๊ค เพราะเคยโดนมาแล้วจากภรรยาคนเก่า ทำให้เขา กลายเป็นคนขี้ระแวง และไม่อาจจะทำเป็นลืมได้ เพราะตามนิสัยของคนเป็นหมอแล้ว อะไรที่สงสัยคาใจ เขาต้องพยายามหาคำตอบให้ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามถาม Kate เท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบสักที โดยเฉพาะประเด็นสิ่งที่ Sawyer กระซิบหูเคธก่อนจะกระโดดลงไป สุดท้ายความรักชั่วคราวของแจ๊คกับเคธก็จบลง ทั้งๆ ที่จะหมั้นกันอยู่แล้วแท้ๆ ก็อย่างว่าแหละ แจ๊คเหมือนจะพึ่งพาได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาความไม่เชื่อใจ ไม่เข้าใจกันเข้ามาแทรกกลาง สุดท้ายก็ล่ม ถามว่าถึงวันนี้ที่ Kate กลับมาที่เกาะ เธอยังมีความรู้สึกรักให้กับ Sawyer อยู่บ้างไหม ผมว่าก็คงพอมีอยู่ แต่ก็พยายามหักห้ามใจ เพราะรู้ดีว่า Sawyer คบกับ Juliet อยู่ และคงไม่เหมาะนักที่ทั้งคู่จะใกล้ชิดกันให้หวั่นไหวหัวใจเช่นเคย สุดท้ายผมว่าคู่นี้ไม่น่าจะลงเอยกันได้แล้วล่ะ ระหว่าง Sawyer & Kate เพราะยังไง Juliet ก็สวยกว่า อึ๋มกว่า อ่อนโยนกว่า ยิ้มหวานกว่าเยอะ ฮ่าๆๆ ว่าแล้วก็ผลักให้อิตาแจ๊คกลับไปลงเอยกับ Kate เหมือนเดิมละกัน แต่ก็คงยาก เพราะตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าอิตาแจ๊คมันจะกลายเป็นคนยังไงต่อไป หลังจากที่ได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วเบนก็ไม่ตาย เกาะมีวิธี Fix อย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 02:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มามาร์กไว้ว่าอ่านถึง คห .8 ครับ จขกท. สุดยอดมากเลย ขนาดผมอ่านยังเหนื่อย (และง่วงด้วย แหงหละ จะตี 4 แล้ว) แต่คิดเหมือนกัน(มั้ง) คือสงสารจูเลียตมาก รู้สึกว่าเธอคนนี้จะผิดหวังมาตลอดเกือบจะทุกครั้ง ทุกเรื่อง ตลอดเวลา หน้าตา นิสัย ท่าทาง เหมือนแฟนเก่าผมยังกะแกะด้วยหละมั้ง เลยชอบเป็นพิเศษ ถึงจะอายุมากกว่าผมเกือบ 20 ปี (55+) เวลาผมดู Lost แล้วเหมือนได้พัฒนาสมองไปด้วย ชอบมากๆ เพราะมันไม่จบแค่ในจอ ต้องมีมาคิดต่อยอด คุยกับคนอื่นเรื่องต่างๆ มันมีเสน่ห์ตรงนี้หละครับ เดี๋ยวตอนเช้ามาอ่านต่อนะครับ จากคุณ : ichioini - [ วันจักรี 03:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 21 นับถือ Mr. Forever จริงๆ ผมตามอ่านกระทู้มาตลอดเลยเพราะวิเคราะห์ได้ละเอียดดีครับสำหรับหนังที่บทมันซับซ้อนแบบนี้ ดูหนังแล้วมาอ่านกระทู้ทำให้ภาพอะไรต่างๆมันชัดเจนขึ้นเยอะเลย ทีมเขียนบท Lost ก็เก่งมากๆในเรื่องรายละเอียดกับการค่อยๆเปิดเผยปริศนาทีละหน่อยๆ ผมดู ss นี้แล้วยังทึ่งได้อีก ว่าทำไม ss แรกๆ ถึงใช้การเล่าเรื่องแบบสลับไปมา เพราะนอกจากจะเล่าปูมหลังของตัวละครในตอนแรกได้แล้ว ในตอนหลังก็ยังเข้ากับคอนเซปเรื่อง เวลา ได้อีกแน่ะ ประเด็นรัก 3-4 เศร้า ถึงจริงๆจะเชียร์คู่ Sawyer + Juliet แต่ผมว่าอาจพลิกได้อีกนะ ยังเหลืออีกตั้ง 1 ss (แต่ก็ไม่แน่เพราะต้องเร่งเคลียร์ปริศนาที่ค้างคาให้หมดก่อนจบ) เป็นกำลังใจให้ จขกท. และจะตามอ่านต่อไปครับ จากคุณ : Hexagon อดีตหัววุ้น - [ วันจักรี 08:55:54 A:58.9.42.77 X: TicketID:104174 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ichioini - เจอกองเชียร์จูเลียตเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว ผมว่าบทของจูเลียตเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะครับ ตอนดูช่วงซีซั่นสามยังไม่คิดว่าจะพัฒนามาเป็นตัวเด่นได้ขนาดนี้เหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่าช่วงซีซั่นนี้เผลอๆ บทอาจจะเด่นกว่า Kate ก็ได้เนอะ หุๆๆ Hexagon อดีตหัววุ้น - ประเด็นส่วนใหญ่ที่ยกมาเขียนนี่หลักๆ จะเรียบเรียงมาจากข้อมูลที่อ่านตามเวปบอร์ดต่างประเทศครับ จากนั้นก็เอาประเด็นที่น่าสนใจ และดูว่าน่าจะเป็นไปได้เอามาสรุปแล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็มานั่งเรียบเรียงอีกรอบ เพราะถ้าใครลองไปตามอ่านตามเวปบอร์ดต่างประเทศดูจะเห็นว่า Topic หนึ่งที่ผมยกมานี่ เขาคุยกันเป็นสี่สิบห้าสิบความเห็น บางประเด็นที่น่าสนใจมากหน่อยก็ปาไปร้อยกว่าความเห็น ซึ่งก็มีทั้งความเห็นที่น่าสนใจ แล้วก็ออกแนวเพ้อๆ ปนๆ กันไปครับ ก็ต้องอ่านจนหมด แล้วเอามาวิเคราะห์อีกทีหนึ่ง ซึ่งตรงนี้แหละใช้เวลานานกว่าการเขียนอีกครับ ขั้นตอนการเรียบเรียงเนี่ย บางคนถามว่าไปเปิดเวปบอร์ดต่างประเทศอันหนึ่งแล้วก็อปมาแปลเลยหรือเปล่า อันนี้ตอบได้เลยว่าไม่ได้ทำอย่างนั้นครับ เพียงแค่เอาประเด็นที่เขายกขึ้นมาถกกัน ซึ่งบางอันก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจในตอนนั้นๆ อยู่แล้ว หรือบางทีในส่วนปลีกย่อย ที่เราดูแล้วเก็บไม่ทัน มันก็ทำให้เราได้ไปเปิดดูย้อนกลับไปดูตามที่เขายกขึ้นมาเป็นประเด็นซ้ำอีกทีครับ แล้วถึงค่อยมาสรุป ทำความเข้าใจ ตีประเด็นให้แตก แล้วเอามาวิเคราะห์ในหลายๆ มุมมอง ก่อนจะสรุปเป็นความเห็นหลักที่ผมรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่สุด จากนั้นก็ค่อยเอามาเรียบเรียงสรุปในสำนวน และตามความเห็นของผมอีกที  จึงจะมาเป็นเนื้อความอย่างที่เห็นในกระทู้นี้ครับ สาเหตุที่ตั้งกระทู้วิเคราะห์แนวนี้ขึ้น เพราะเห็นหลายคนดูแล้วสับสน ไม่เข้าใจ และตามไม่ทัน บางคนมีแนวคิดที่น่าสนใจแต่ไม่รู้จะไปคุยกันที่ไหน ก็เลยตั้งกระทู้มาให้่อ่าน วิเคราะห์ แล้วก็พูดคุยกันในนี้เลย เห็นด้วยไม่เห็นด้วยยังไงก็มาล้อมวงคุยกัน ซึ่งผมเชื่อว่าม้ันจะทำให้ดูเรื่องนี้สนุกขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะเลยครับ ^^ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 11:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มีคำถามอ่ะค่ะ -ทำไมเจ๊จูถึงรู้ล่ะคะว่าริชาร์ตช่วยเบนไม่ให้ตายได้ อืมม..หรือเคยเจอกันมาก่อนในตอนเก่าๆหว่า จำไม่ได้แล้ว -ช่วงเวลาในตอนนี้  เคยมีใครพูดถึงเจคอบหรือยัง หรือว่าเจคอบเป็นหัวหน้าหลังจากวิทมอร์ แล้วทำไมหลังจากวิทมอร์ต้องให้เจคอบเลือกคนที่จะเป็นหัวหน้าด้วย ทั้งที่ดูๆแล้วริชาร์ตก็น่าจะเจ๋งพอที่จะเป็นหัวหน้าได้ เพราะรู้ เรื่องเกาะดี ปล. ตอนหน้ามาวิเคราะห์อีกนะคะ ชอบมากกกก แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 20:02:39 จากคุณ : honeybe_cool - [ วันจักรี 12:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ชอบอ่านครับ คุณMr. Forever  ผมเชื่อว่ามีคนตามอ่านเยอะแน่นอน  ยิ่งตอนนี้ปมทยอยคลายมาเรื่อยๆหลายจุด  ยิ่งต้องตามเก็บให้ครบ   ช่วงนี้เรตติ้ง LOST ในใจผมขึ้นอันดับ1ไปเลยครับ  ชอบมากๆ เจ๋งดี จากคุณ : Kho-D - [ วันจักรี 12:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 honeybe_cool -  ช่วงที่เจ๊จูอยู่กับกลุ่ม The Others นั้น ริชาร์ดก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน และเชื่อว่าหลายๆ คนในกลุ่มนั้นก็คงรู้จักริชาร์ดเป็นอย่างดี และคงรู้ด้วยว่าริชาร์ดไม่เหมือนคนปกติทั่วไป แต่จะรู้มากหรือรู้น้อยแค่ไหนนั้นอันนี้ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน อย่างตอนที่ล็อคย้อนอดีตไปเจอวิดมอร์สมัยวัยสะรุ่น ล็อคถามเจ๊จูว่าทำไมถึงได้แน่ใจว่าริชาร์ดอยู่ที่นั่น เจ๊จูก็ตอบกลับไปว่า ... ริชาร์ดก็อยู่ที่เกาะนี่มาตลอดนะแหละ ... ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงรู้ว่าริชาร์ตสามารถช่วยเบนได้นั้น อันนี้เดาว่าน่าจะเป็นเพราะเคยมีเหตุการณ์แนวนี้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วริชาร์ดก็คงทำแนวๆ นี้เพื่อช่วยชีวิตคนในกลุ่มก็เป็นไปได้ครับ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเจ๊จูคงกำความลับเกี่ยวกับริชาร์ดเอาไว้มากพอสมควร เพียงแต่ยังไม่ได้เล่าออกมาให้ใครฟังเท่านั้นเอง คำถามที่ว่าช่วงเวลานั้นมีคนรู้จัก Jacob หรือยัง เดาว่าช่วงเวลานั้นคงหมายถึงช่วงปี 1977 ที่กลุ่มแจ๊คย้อนเวลามาติดเกาะอีกครั้งใช่ไหมครับ ถ้าเป็นช่วงนั้นเชื่อว่าในกลุ่ม DI อาจจะไม่รู้จัก Jacob มากนัก แต่สำหรับกลุ่ม The Others นั้นน่าจะรู้จักกันดีแล้ว เพราะหากยังจำได้ตอนที่ล็อคย้อนกลับมาเจอริชาร์ดนั้น เขาบอกกับริชาร์ดว่า Jacob ส่งเขามา และนั่นเลยทำให้ท่าทีของริชาร์ดเปลี่ยนไป ดังนั้นกระทั่งในปี 1954 ที่ล็อคย้อนกลับไป ริชาร์ดก็รู้จัก Jacob แล้ว และคิดว่า Jacob น่าจะมีตัวตนอยู่นานกว่านั้นมากพอสมควร ส่วนที่ว่าทำไมริชาร์ดถึงไม่ขึ้นเป็นหัวหน้าเองนั้น ผมเชื่อว่าบทบาทของริชาร์ดที่ Jacob กำหนดมาให้นั้น น่าจะให้เป็นเสนาธิการ เพื่อให้คำปรึกษากับคนที่จะถูกเลือกให้มาเป็นผู้นำของกลุ่มมากกว่าครับ เพราะอย่างที่ริชาร์ดบอกกับล็อค ว่ากลุ่มของเขา มีวิธีคัดเลือกหัวหน้ากลุ่มมาตั้งแต่คนๆ นั้นยังเป็นเด็ก และคนที่ทำหน้าที่คัดเลือกก็คือริชาร์ดนั่นเอง สรุปได้ว่า Jacob คงกำหนดหน้าที่ไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสำหรับริชาร์ดที่ไม่มีวันแก่นั้น ให้เป็นเสนาธิการ ให้คำปรึกษากับหัวหน้าที่ Jacob จะเป็นคนกำหนดคุณสมบัติไว้ และเลือกไว้ให้แล้วก่อนหน้านั้น จากนั้นก็ทำหน้าที่เสนาธิการไป พอคนเก่าเริ่มแก่ หรือเริ่มไม่ทำตาม ที่ Jacob สั่ง  ก็มีการมองหาผู้นำคนใหม่ เหมือนอย่างที่ริชาร์ดทำตอนที่รู้สึกว่าเบนไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง Kho-D -  ขอบคุณมากครับ จะพยายามเขียนให้อ่านเรื่อยๆ นะครับ  เดี๋ยวจะรีบปั่นตอนเก่าๆ ให้มาทันตอนนี้ให้ไวที่สุด อย่าลืมตามอ่านกันต่อนะครับ กว่าจะเสร็จแต่ละตอนใช้เวลาเยอะมากๆ ครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ วันจักรี 13:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สปอยล์ Lost ตอนที่ 512 - Dead Is Dead - เบนพยายามจะชดเชยความผิดที่เขาได้ก่อขึ้นด้วยการเรียกสัตว์ประหลาดควันดำออกมาพิพากษาความผิดของตัวเขา เราจะได้ทราบความเลวร้ายที่เบนได้ก่อขึ้นในอดีต ความสัมพันธ์ของเบน กับลูกสาว อเล็กซ์ ทำไมเบนถึงต้องขโมยอเล็กซ์มาจากแดเนียล และความเป็นจริงเบื้องหลังความแค้นระหว่างเบน กับชาร์ล วิทมอร์ รวมถึงคำสาบานที่เขาจะแก้แค้นให้กับการตายของอล็กซ์ ในตอนนี้เราจะได้พบกับตัวละครเก่าหลายตัวที่จะกลับมาแสดงรับเชิญ ได้แก่ อเล็กซ์, เพนนี, ชาร์ล วิทมอร์ และแดเนียล ตอนที่ 516-517 - The Incident (season finale) เพิ่งมีการถ่ายทำฉากสำคัญ 2 ฉาก สำหรับออกอากาศในตอนนี้ ฉากแรกเป็นฉากที่ล๊อคโดนพ่อของตัวเองผลักทะลุกระจกตกลงมาจากตึกชั้น 8 คราวนี้จะเป็นภาพจากมุมมองด้านล่าง มีนักแสดงรับเชิญ Mark Pellegrino นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งหน้าตึก จากนั้นล๊อคก็ตกลงมากระแทกพื้นด้านหลังเขา ท่ามกลางความตกใจและความโกลาหนของคนที่เห็นเหตุการณ์ Mark Pellegrino ดูสงบนิ่งมาก เขาค่อยๆปิดหนังสือและลุกขึ้นเดินช้าๆไปหาล๊อคที่นอนจมกองเลือดกับเศษกระจกแตกอยู่ จากนั้นจึงคุกเข่าลงที่ข้างตัวล๊อค ยังไม่มีข่าวยืนยันว่า Mark Pellegrino แสดงเป็นใคร แต่มีข่าวลือบอกว่าเขาจะแสดงเป็น Jacob ตอนที่อยู่นอกเกาะ อีกฉากหนึ่งเป็นฉากงานแต่งงาน ยังไม่ทราบว่าเป็นการแต่งงานของใคร แต่ข่าวบอกว่างานแต่งงานดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นนอกเกาะ และเท่าที่ทราบคือมีนักแสดงสายเลือดเอเชียหลายคนเข้าฉากด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นฉากงานแต่งงานของซันกับจิน แต่ก็มีข่าวลือ(ซึ่งความน่าเชื่อถือยังค่อนข้างต่ำ)บอกว่า อาจจะเป็นงานแต่งงานที่เกิดขึ้นในอนาคตระหว่างแอรอน ลูกชายของแคลร์ กับจิยอน ลูกสาวของซัน ก็เป็นได้ แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 52 17:15:21 จากคุณ : Domingo - [ วันจักรี 16:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ^ ^ ^ อ่านสปอยล์  แล้วอยากดูมากๆ จากคุณ : Kho-D - [ วันจักรี 16:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนนี้ ฉากที่ จูเลียตไปพบแจ็คที่กำลังอาบน้ำอยู่ คิดว่า จะมีฉาก XXX ซะอีก 555 จากที่ดู อดีตของแต่ละคน แจ็คเป็นหมอคนดี เคทฆ่าพ่อ ซอเยอร์ หลอกแดก ถึงจะมีเหตุผลให้ทำอย่างงั้น แต่ตอนนี้มันจะเปลี่ยนทุกอย่างไปแล้วเหรอ เศร้าอยากได้แจ็ค คนเก่า เป็นพ่อพระของทุกคน จากคุณ : Final-13 - [ วันจักรี 18:35:24 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตามอ่านทุกตอนเลยครับ ทำให้ดูเรื่องนี้จากสนุกอยู่แล้วยิ่งสนุกยิ่งขึ้นครับ จากคุณ : christ church - [ 7 เม.ย. 52 00:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : PGT - [ 7 เม.ย. 52 02:54:52 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามอ่านอยู่เหมือนเดิมค่า เหมือนได้บริหารสมองจริงๆ ด้วย ยิ่งเจอบทวิเคราะห์ กับไอ้ chart timeloop ยิ่งได้บริหารกันจนปวดหัวเลยทีเดียว จากคุณ : spoilt bytch - [ 7 เม.ย. 52 03:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตามอ่านคะทุกอาทิตย์เลย ชอบๆ ดูแล้วมาอ่าน ทำให้เข้าใจได้เยอะ นี่เราดูเพื่อความบันเทิง หรือเพิ่อการศึกษาเนี่ย .... ฮ่าๆ จากคุณ : คุณนายปลาดิบ - [ 7 เม.ย. 52 12:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมดูตอนนี้แล้วสงสัย... ทำไมแจ็คไม่เช็ดตัวหลังอาบน้ำ จากคุณ : GaMBiT - [ 7 เม.ย. 52 13:04:09 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมดูเรื่องนี้ แรกๆ ยังไม่รู้ว่า มันเป้นแนวไหนนะคับ แต่ว่า เพิ่งจะรู้ว่า drama มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทุกอย่าง มันผลิกแพลงไปได้หมดจิงๆ ตอนหน้า ซันคงได้กลับมานะ จากคุณ : M_Nobita - [ 7 เม.ย. 52 13:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สนุกดีครับ ยิ่งอ่านยิ่งอยากดูใหญ่ ผมดูแล้วคิดว่า Sawyer+เจ๊จู น่าจะผูกพันกับกลุ่มDI มากกว่ากลุ่มโอเชียนิคจนเด๋วน่าจะมีเรื่องกับแจ๊ค   แจ๊คก็น่าจะมีตอนไหนที่บอกว่าเค้ากลับมาบนเกาะเพื่ออะไร ( อยากรู้ๆ) รอเดสมอน อีกคนว่ากลับไปได้ไง ฯลฯ สรุป ขอบคุณ Mr. Forever มากๆครับ จากคุณ : เป๋งคุง - [ 7 เม.ย. 52 15:11:34 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ตอนไหนหรอครับ ที่บอกว่า เอลลี่คือแม่ฟาราเดย์ นึกไม่ออก ต้องย้อนไปดูอีกทีกับตา >< จากคุณ : MoogiN - [ 7 เม.ย. 52 15:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 555+ มีคำถามครับ 1.พ่อของล็อค มาโผล่ที่เกาะได้ไง 2.เมียของซอว์เยอร์ ถูกมิคาอิลยิงตายไปในตอนจบซีซั่น3? จากคุณ : ดร.สุริยะ - [ 7 เม.ย. 52 16:42:23 A:118.173.163.142 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่เอานะคุณ Domingo ทำแบบนี้ ผมอยากดูแทบแย่เลย  555+ ปล. เพิ่งทราบว่าคุณ Domingo เป็นคนดังในห้องนี้นะเนี่ยะ  เห็นคุยกันในกระทู้การ์ฟิลทุกวันไม่นึกว่า จะชอบซีรี่เหมือนกัน  อิอิ จากคุณ : กระบี่อยู่ที่ใจ (ใช้เพียงกิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน) - [ 7 เม.ย. 52 18:29:47 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แจค เคส ซอเยอร์ เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ โดยเฉพาะแจค ในตอนปลายๆ ซีซั่น4(หรือ3นะลืม) จะเห็นแจคในอนาคตหนวดเฟิ้ม คุยกับเคสบอกว่าเราต้องกลับไปนะ แจคดูท่าทางเหมือนคนมืดมนหมดหนทาง สิ้นหวัง และความหวังสุดท้ายของแจคคือกลับไปที่เกาะ ก็เหมือนอย่างที่ท่านMr. Foreverได้วิเคราะห์ไว้จริงๆ แจคเหมือนจะได้แต่รอคอยโชคชะตา จากแต่ก่อนแจคจะเป็นคนมีจุดมุ่งหมายแล้วก็ลงมือทำอย่างที่คิดไว้เสมอ -ผมเชียร์ จูเลียตกับแจคนะ ถึงแม้ว่า แจคจะไม่เคยชอบจูเลียตเลย และจูเลียตก็เคยแอบชอบแจคข้างเดียว เมื่อตอนใกล้จะออกจากเกาะ แต่ตอนนี้จูเลียตก็คงตัดใจไปนานแล้วหลังจากอยู่กับซอเยอร์ไปตั้ง3ปี แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป้นไปไม่ได้เลย ถ่านไฟเก่าของซอเยอร์กับเคสมันอาจจะครุกรุ่นขึ้นมาก็ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้จูเลียตกับแจคได้ลงเอยกันเป็นคู่ใหม่ในเรื่องบ้าง (เชียร์ออกนอกหน้าเลยนะเนี่ยฮ่าๆ) จากคุณ : attribute - [ 7 เม.ย. 52 19:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 40 Domingo - ตอนหน้านี่น่าดูมากๆ เลยเนอะ  น่าจะเป็นตอนที่ได้อารมณ์ประมาณอินเดียน่าโจนส์แน่ๆ  ฮ่าๆๆ Kho-D  -  นั่นสิ อยากให้ถึงวันพฤหัสไวๆ ชะมัด Final-13 -  แจ๊คตอนนี้อยู่ในสภาวะจิตตกขั้นรุนแรงครับ คงต้องอีกสักพักให้เปลี่ยนความเชื่อได้เหมือนที่ล็อคเป็นก่อน เราคงได้เห็นแจ๊คที่น่าจะกลับมามุ่งมั่น และพร้อมจะเป็นผู้นำอีกสักครั้ง  ตอนนี้คงต้องยกตำแหน่งหัวหน้าและพระเอก ให้กับขวัญใจแม่ยกอย่าง Sawyer ไปก่อน  ช่วงนี้โกยคะแนนนำแจ๊คไปลิบลับแล้ว  ฮ่าๆๆๆ (โดยเฉพาะฉากที่พวกแจ๊คกลับมาแล้ว Sawyer ยืนผมปลิวหน้าหล่ออยู่ห่างๆ  ได้ยินเสียงแม่ยกกรี๊ดกร๊าดกันน่าดู หุๆๆ) christ church -  ขอบคุณมากครับ จะพยายามเขียนให้อ่านกันต่อเรื่อยๆ นะครับ เพราะซีซั่นนี้มันสุดยอดจริงๆ เริ่มเฉลยอะไรมากมายแล้ว PGT - ขอบคุณที่แวะมาอ่านด้วยเช่นกันครับ spoilt bytch - ตั้งแต่มาเขียนนี่ผมต้องดูแต่ละตอนหลายรอบมากๆ เพราะต้องขุดประเด็นเอามาต่อยอด แต่ก็ทำให้เรื่องนี้สนุกขึ้นมามากเลย แต่ทฤษฎี Timeloop นั่นก็คว่ำไปแล้วนะครับ เพราะสรุปแล้วมันมี Timeline แค่เส้นเดียว คนตั้งทฤษฎีนี้ก็เสีย Self ไปไม่ได้น้อยเลย อิอิ คุณนายปลาดิบ - นั่นสิเนอะ ยังกะดูหนังเอาไปสอบเลยอ่ะ  ฮ่าๆๆๆ  แต่เรื่องนี้ยิ่งคุ้ย ยิ่งขุด มันก็ยิ่งสนุกเนอะ ผมเองก็ชอบดูหนัง ดูละครอะไรแนวนี้อยู่ด้วย เพราะเป็นพวกจินตนากว้าง ชอบคิดต่อยอด มาเจอเรื่องนี้เลยสนุกใหญ่เลย จากคุณ : Mr. Forever - [ 7 เม.ย. 52 20:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 41 GaMBiT - สงสัยอากาศจะร้อนมั่งครับ  ฮ่าๆๆ หรือไม่ก็ไม่มั่นใจในสภาพร่างกายท่อนบนของตัวเอง เลยรีบใส่เสื้อก่อน  หุๆๆ M_Nobita -  เป็นซีรีย์ที่ครบรสชาติจริงๆ ครับ  แต่ซีนดราม่าในใจผมก็ยังคงเป็นซีนที่ฮิวโก้พูดตอนที่แจ๊คกับจอห์นบอกให้คนที่เหลือเลือก ว่าจะอยู่กับใคร และจะให้ใครเป็นผู้นำ สุดท้ายฮิวโก้ก็บอกว่าเขาเลือกที่จะเชื่อชาร์ลี เพื่อนของเขา ซีนนั้นน้ำตานองเลย อินมาก  T___T แต่ตอนหน้านี่น่าจะพลิกอารมณ์ออกแนวๆ อินเดียน่าโจนส์อะไรทำนองนี้แน่ๆ อยากดูไวๆ ชะมัด เป๋งคุง -  นั่นสิเนอะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันอยู่กับกลุ่มแจ๊คแค่ร้อยกว่าวันก็จริง แต่ก็ร่วมเป็นร่วมตายกันมาเยอะ ส่วนกลุ่ม DI อยู่ด้วยกันมาสามปี เราก็ยังไม่รู้ว่าผูกพันกันมากน้อยแค่ไหน ยังไงก็ต้องดูกันต่อไปเนอะ MoogiN -  ยังไม่มีตอนไหนยืนยันแน่นอนว่าเอลลี่คือคนเดียวกันกับคุณนายฮ็อคกิ้นแม่ของฟาราเดย์ครับ เพียงแต่คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งผมก็เดาว่าไม่น่าจะผิดไปจากนี้แหละ แต่เพื่อความแน่นอน ก็ต้องรอให้ตัวหนังยืนยันอีกทีครับ ดร.สุริยะ  - หัวเราะอะไรอะครับ งง  หรือว่าหัวเราะแก้เก้อที่ทฤษฎีเวลาในเรื่องนี้ไม่ได้มีหลายเส้นอย่างที่ปักใจเชื่อไว้ ว่าแต่ย้อนไปถามซะไกลเลยนะ  ซีซั่น 5 ละนะ ยังสงสัยซีซั่นสามอีกเหรอ ฮ่าๆๆๆ 1. จับมายังไง อันนี้ก็คงเป็นหน้าที่ของริชาร์ดไปจับมาแหละครับ เพราะพี่ท่านเข้าออกเกาะมาเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว และก็อย่าลืมว่าเบนมีทีมงานที่ทำงานให้กับเขาอยู่ภายนอกเกาะด้วย ดังนั้นคงสั่งให้หาข้อมูลเกี่ยวกับพ่อของ Sawyer ได้ไม่ยาก จับก็คงไม่ยากอะไร ระดับนี้แล้วหมูๆ ครับ  แต่ที่น่าสงสัยก็คงเป็นประเด็นว่าแล้วส่งมาที่เกาะได้อย่างไร  อันนี้ตอบไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอะไร แต่คิดว่าคงส่งมาผ่านริชาร์ดครับ คงมีวิธีเข้าออกเกาะที่นอกจากเรือดำน้ำอีกแน่นอน 2. เอ่อ  คำถามนี้ทำเอางง จนต้องย้อนกลับไปดูซีซั่นสามตอนจบใหม่อีกรอบ  ก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนที่คุณหัวเราะเลย ถ้าคุณคิดว่าเมียของ Sawyer คือคนเดียวกันกับที่ทำงานอยู่ในสถานีใต้น้ำ ที่โดนมิคาอิลยิงเกือบตาย แต่ก็ยังบอกรหัสให้ชาลีย์ฟังได้นั้น อันนั้นบอกได้อย่างชัดเจนและเต็มปากเต็มคำครับ ... จำผิดคนแล้ว ... ชื่อตัวละครก็คนละชื่อ  แถมชื่อคนแสดงก็คนละคนอะครับ อาจจะดูคล้ายๆ แต่คนละคนแน่นอน แต่ถ้าคิดสักนิดก็ไม่น่าจะมีอะไรให้สงสัยนะครับ ในเมื่อเคธออกไปจากเกาะ แล้วถึงไปเจอแฟนเก่า Sawyer   แล้วถ้างั้นแฟนเก่า Sawyer จะตายก่อน Kate ออกมาจากเกาะได้ยังไงอะครับ เพราะงั้นย้ำอีกที และตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า.... ... จำผิดคนแล้ว ...       กระบี่อยู่ที่ใจ (ใช้เพียงกิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน) - ขอบคุณที่แวะมาครับ ^^ attribute - แจ๊คที่อยู่นอกเกาะจะค่อยๆ เจอปัญหาเรื่อยๆ จนเริ่มบั่นทอนความมั่นใจของเขาไปเรื่อยๆ ครับ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลจากเกาะบ้างพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เห็นภาพหลอนของพ่อของแจ๊ค หรือเรื่องของ Kate และต่างๆ นานา  จนสุดท้ายความมั่นใจในตัวเองก็สูญหายไป ครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ที่เกาะ เขาเคยเป็นผู้นำ พูดอะไรใครก็ฟังและให้ความนับถือ แต่พอออกนอกเกาะ ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ใครๆ ก็มองอย่างสมเพช ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เขาเคยเจอ ยิ่งมารู้ว่าล็อคที่เป็นเหมือนเหรียญอีกด้านของเขา ตายไปแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกขาดไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ก็เลยจะฆ่าตัวตาย แต่เกาะก็ไม่ยอมให้เขาฆ่าตัวตายอย่างที่รู้กัน สุดท้ายเขาเลยโหยหามาก ที่จะกลับไปที่เกาะ เพราะที่นั่นยังมีคนที่ยอมรับนับถือเขา ที่นั่นเป็นที่ๆ เขารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ประกอบกับคำพูดของล็อคที่บอกว่าเขาไม่ควรจะออกจากเกาะ เขาต้องกลับไป ยังคงฟังอยู่ในใจ จนสุดท้ายคนที่ขาดไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ก็จำเป็นต้องกลับมาหาสิ่งเหนี่ยวยึดอย่างอื่นแทน นั่นก็คือความเชื่อในอะไรสักอย่าง และตอนนี้ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของแจ๊คในตอนนี้ชัดเจนมากขึ้น ว่าเขากำลังจะเชื่อเรื่อง Fate อย่างเต็มตัวแล้วในไม่ช้า ส่วนจูเลียตนั้น ผมว่าคงไม่มีหวังที่กลับไปคืนดีกันแล้วมั้งครับ เว้นแต่ว่าคุณหมอของเราจะกลับมาสวมวิญญาณฮีโร่อีกครั้ง แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 52 21:13:26 จากคุณ : Mr. Forever - [ 7 เม.ย. 52 21:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณมากครับ หายสงสัยได้เยอะเลยทีเดียว เห็นด้วยกับคุณHexagon อดีตหัววุ้นครับว่า คอนเซปท์นี้มาเหนือชั้นมากๆ ให้คนดูรู้สึกว่าTimeloopไม่ได้เดินเส้นตรงเหมือนกับตัวละคร โดยมีFlashbackมาเรื่อยๆ แล้วก็ฮิวโก้นี่ตัวรีแลกซ์สุดๆ จับคู่กับใครก็พาฮาได้หมดชอบจริงๆ ขนาดจับคู่กับซอเยอร์ตอนเป็นแบดบอยยังฮาได้ ปล.Hugo Rules !! จากคุณ : โพสไปงั้นแหล่ะ - [ 7 เม.ย. 52 21:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โพสไปงั้นแหล่ะ - ใช่เลยมาคอนเซ็ปเล่าเรื่องแนวนี้ ตอนแรกเราก็คิดว่าเขาจะยืดเรื่อง  ฮ่าๆๆ ที่ไหนได้มาเหนือเมฆของจริง แต่คาแร็คเตอร์ฮิวโก้นี่เขาเรียกว่าเป็นแนวพิมพ์นิยมเลยเนอะ ตัวอ้วนๆ คุยเก่งๆ ตอนเรียนตรีที่ Melbourne ผมก็มีเพื่อนสไตล์นี้เหมือนกัน คุยเก่ง แล้วก็นิสัยดีแนวๆ นี้เลย คบแล้วเฮฮาสนุกสนานดี ปล. โพสแล้วถึงพึ่งเห็น คห. 43 หายไปไหนหว่า สงสัยโดนลบออโต้เพราะโพส link หรือเปล่านิ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 52 00:45:59 จากคุณ : Mr. Forever - [ 8 เม.ย. 52 00:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณสำหรับ whatever happened , happened ครับ ไม่ได้ติดตามหลายวัน วันนี้นั่งอ่านซะปวดหลังเลย 555 จากคุณ : natsueme - [ 8 เม.ย. 52 02:26:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตามติดอ่านทุกกระทู้ที่สรุปประเด็นครับ กระจ่างหลายปมเลย เจ้าของกระทู้เก่งจริง ๆ ครับ ตอนนี้ยังงงๆ รบกวนสอบถามดังนี้ครับ - ถ้าไมล์ยิงขาตัวเอง จะเป็นอย่างไรครับ - Whatever Happened, Happened แปลว่าเป็นไทยว่าอย่างไรดีครับ ถ้าแปลว่า อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเกิดไปแล้ว ได้หรือเปล่าครับ - ถ้าจะผ่านเขตแดน ต้องมากดรหัสที่เสา อยากทราบว่าเสาพวกนี้ตั้งไว้เยอะแค่ไหน คือ ถ้าไม่ผ่านตรงจุดเสานี้ สามารถผ่านตรงอื่นได้ไหม หมายถึงเดินเข้าไปนะครับ - พ่อของเบน ดูท่าทางจะชอบ Kate นะครับ สายตาเจ้าชู้เว้าวอนมากมาย ขอขอบคุณมาก ๆ ครับ จากคุณ : rachai.com - [ 8 เม.ย. 52 02:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ลุ้นแมนยูอยู่ครับ  ลุ้นซะเหนื่อยเลย สงสัยพักกันไม่พอ วิ่งสู้ปอร์โต้ไม่ได้เลย  เครียด ^^' natsueme -  รอลุ้นตอนหน้ากันดีกว่าเนอะ  ท่าทางจะมันส์ ระทึกสุดๆ rachai.com -  ขอบคุณมากครับ มาตอบคำถามนะครับ - ถ้าไมล์ยิงขาตัวเอง จะเป็นอย่างไรครับ @ ก็ขาเป็นรูครับ  เจ็บแน่นอน เพราะเวลา ณ ขณะนั้นคือเวลาปัจจุบันของเขาครับ - Whatever Happened, Happened แปลว่าเป็นไทยว่าอย่างไรดีครับ ถ้าแปลว่า อะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเกิดไปแล้ว ได้หรือเปล่าครับ @ก็แปลง่ายๆ ว่าอะไรจะเกิดหรือควรจะต้องเกิด มันก็ต้องเกิดนะแหละครับ - ถ้าจะผ่านเขตแดน ต้องมากดรหัสที่เสา อยากทราบว่าเสาพวกนี้ตั้งไว้เยอะแค่ไหน คือ ถ้าไม่ผ่านตรงจุดเสานี้ สามารถผ่านตรงอื่นได้ไหม หมายถึงเดินเข้าไปนะครับ @น่าจะวางไว้รอบแนวครับ เดาว่าคงล้อมทุกจุดไม่มีช่องว่างให้เข้าหมู่บ้านได้แบบไม่ผ่านรั้วนี้อะครับ เพราะไม่่งั้นคงรักษาความปลอดภัยไม่ได้อย่างที่ต้องการครับ - พ่อของเบน ดูท่าทางจะชอบ Kate นะครับ สายตาเจ้าชู้เว้าวอนมากมาย @ ฮ่าๆๆ  นั่นดิ จากคุณ : Mr. Forever - [ 8 เม.ย. 52 02:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 48 หาหลักฐานมายืนยันได้แล้วครับ ว่ารั้วโซนิคล้อมรอบหมู่บ้านเป็นวงกลมล้อมรอบหมู่บ้านอย่างชัดเจนครับ จากคุณ : Mr. Forever - [ 8 เม.ย. 52 04:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เป็นตอนที่ดีอีกตอนนึงเลย ทำให้รู้ที่มาที่ไปว่าทำไม Ben ในวัยเด็กถึงได้กลายเป็น Ben ที่เราๆได้เห็นกัน จะว่าไปพวก Oceanic 6 ต่างก็มีผลกับการเปลี่ยนไปของเบนทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมนะ Sayid ยิงเบน, Jack เลือกที่จะไม่ช่วยเบน, Kate เป็นผู้ร่วมพาเบนไปหา Richard เพื่อรักษา เหลือก็ Sun นี่แหละที่ยังไม่รู้ว่าจะส่งผลอะไรกับบทของเบนด้วยรึป่าว พูดถึง Sun ผมก็ยังคงสงสัยว่าทำไมเธอถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ย้อนเวลากลับไป 1977 เหมือนพวก Oceanic 6 คนอื่นๆ คุณ Mr. Forever มีความเห็นว่าไงบ้างครับ (ถือโอกาสถามไปด้วยเลย ฮ่า) อีก 1 ความสัมพันธ์ที่ผมเฝ้ารอหนังคลี่คลายปมอยู่มากๆ ก็ความสัมพันธ์ของ Charles – Eloise – Faraday – Penny ส่วนตัวคิดว่า 4 คนนี้น่าจะครอบครัวเดียวกัน จากที่เห็นว่า Charles กับ Ellie เป็นแฟนกันตอนอยู่บนเกาะ Faraday นี่ใครๆก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่าลูกชาย Eloise แน่ๆ (Faraday น่าจะเป็นลูกของทั้งสองคน) ส่วน Penny ก็ลูกสาว Charles โยงกันไปโยงกันมา อยากรู้ปูมหลังของ Charles & Eloise มากกว่านี้จัง แต่สงสัยกว่าจะได้เห็นคงต้องรอถึงซีซั่น 6 ละมั้ง ส่วนเรื่องคู่พระนาง 4 เส้า ยังไงก็ยังคงยืนหยัดเชียร์คู่ Kate & Sawyer ต่อไปครับ ชอบมาตั้งแต่ซีซั่นแรก ส่วน Juliet ผมเฉยๆกับเธอแฮะ หุหุ  (ความงาม Kate ของผมกินขาดดดด ฮิฮิ) ปล. ผมก้อชอบคู่หูคู่ฮา Miles & Hurley เหมือนกันครับ บทสนทนาเรื่อง time travel นี่มันเหมือนถ่ายทอดความรู้สึกจากคนดูถึงคนเขียนบทเลยนะ  55 เอาฉากคู่นี้อีก ชอบๆๆ จากคุณ : มือกระบี่วายุ - [ 8 เม.ย. 52 13:54:33 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมสงสัยอย่างนึงครับ เพราะเท่าที่ทราบว่าละครโทรทัศน์ไม่ว่าประเทศใหน ถ้าเรตติ้งไม่ดี มีสิทธิ์โดนตัดจบแน่ๆ เข้าใจว่าบทและเนื้อเรื่องต้องเขียนไปพร้อมๆกับการถ่ายทำ (แต่โครงเรื่องหลักทั้งหมดคงจะร่างไว้คร่าวๆแล้ว) เรื่อง Lost นี่เป็นแบบว่าน้อนไปย้อนมา ฉากเดียวกันอาจจะโผล๋ในหลายๆซีซั่น ผมสงสัยว่าเค้าใช้วิธีถ่ายฉากนั้นครั้งเดียว ในหลายๆมุมมองหรือว่าถ่ายอีกครั้งน่ะครับ ตัวอย่างซีซั่น 1 ฉากแรกที่เครื่องตกเลย พวกแจ๊คกำลังจะช่วยคนแล้วให้บูนวิ่งหาปากกามาเจาะคอคนเจ็บ แต่ฉากนี้ไปโผล่อีกทีในซีซัน 3 ตอนในตอนของนิคกี้และเปาโล (ที่โดนแมงมุมต่อยแล้วตายทั้งเป็นน่ะครับ) จากคุณ : ichioini - [ 8 เม.ย. 52 15:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มือกระบี่วายุ - งี้ต้องลุ้นกันต่อไปเนอะ ว่าสรุปแล้วคู่ไหนจะมาวิน ปล. แสดงว่าเราสองคนไปเที่ยวด้วยกันได้ เพราะสเป็คหญิงไม่ตรงกัน  ฮ่าๆๆ ichioini - สำหรับฉากเครื่องบินตกของนิคกี้และเปาโลนั้น จากเบื้องหลังในดีวีดี เขาไม่ได้ถ่ายเผื่อไว้ครับ เพราะพึ่งตัดสินใจเพิ่มบทให้สองตัวละครนี้เป็นพิเศษ เพราะคาดหวังว่าจะได้กระแสจากคนดู ที่อยากเห็นตัวละครหน้าตาดีบ้าง เผื่อจะฉุดเรตติ้งให้สูงขึ้น ดังนั้นฉากเครื่องบินตกในซีซั่นแรก ก็ต้องยกมาถ่ายใหม่ ใครเคยเข้าฉากอะไรยังไง ก็ต้องมาเล่นซ้ำอีกรอบหลังจากผ่านไปสองปีครับ แต่สุดท้ายก็ไม่คุ้ม เพราะสองตัวละครนี้ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ก็เลยถูกฆ่าทิ้งไปซะอย่างนั้น  เหอๆๆ จากคุณ : Mr. Forever - [ 8 เม.ย. 52 16:38:29 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอขอบคุณ คุณ Mr. Forever มาครับ ทั้งคำตอบ ทั้งภาพ เยี่ยมยอดไปเลย วันพรุ่งนี้ตอนใหม่ก็จะมาแล้ว จากคุณ : rachai.com - [ 8 เม.ย. 52 23:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เข้ามาอ่านค่ะ แต่อ่านยังไม่หมด เยอะเกิน ขยันจริงๆยกนิ้วให้เลย จากคุณ : ที (jeepang) - [ 9 เม.ย. 52 16:20:07 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ของอาทิตย์นี้ละคะ เข้ามาหาแต่ไม่เจอ มาเร็วๆนะคะ มิสเตอร์ฟอเรเวอร์ๆๆๆ (กรุณาใส่เสียงเอคโค่) จากคุณ : คุณนายปลาดิบ - [ 10 เม.ย. 52 10:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แวะเข้ามาอ่านครับ จากคุณ : บูมกุ้ง - [ 10 เม.ย. 52 11:17:07 ]