ความคิดเห็นที่ 1 ภาพยนตร์ระบบซีนีมาสโคปเริ่มเข้ามาในบ้านเราก่อนปี พ.ศ. 2500 ส่วนใหญ่เป็นหนังต่างประเทศ ตรงข้ามกับหนังไทยกลับไปใช้ฟิล์มขนาด 16 มม. พากย์สด ก่อนที่ผู้สร้างหนังไทยจะเปลี่ยนมาเป็นระบบ 35 มม. ภายหลัง ในช่วงทศวรรษของ พ.ศ. 2510 (บน ภาพฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่าง เรื่อง “ดับเครื่องชน” ปี พ.ศ. 2519 / กลาง ภาพฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่าง เรื่อง “จำเลยรัก” พ.ศ. 2521 / ล่าง ภาพฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง LAST ACTION HERO พ.ศ. 2536 ซึ่งเป็นระบบซีนีมาสโคป) จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อีกระบบหนึ่งที่เข้ามาในช่วงดังกล่าว ก็คือ ระบบ FLAT (ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีใครเรียกชื่อระบบนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็มีคนฉายรุ่นเก่า ๆ เรียกกันว่า ภาพจอแบน) ในอัตราส่วนภาพ 1.85 : 1 ด้วยวิธีการพิเศษ ตอนนั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ข่าว , ภาพยนตร์สารคดี หรือภาพยนตร์โฆษณา เนื่องจากในสมัยนั้นเวลานำภาพยนตร์ดังกล่าวไปฉายเพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ภาพที่ออกมาจะเต็มจอโทรทัศน์พอดี ต่อมาก็เริ่มมีหนังต่างประเทศบางเรื่องที่ถ่ายทำมาในระบบนี้ สร้างความลำบากให้กับคนฉายในบ้านเรายุคนั้นมากทีเดียว เพราะขณะฉายจะต้องเปลี่ยนประตูภาพที่แคบกว่าประตูภาพแบบธรรมดา และต้องเปลี่ยนไปใช้เลนส์ FLAT แทนเลนส์ธรรมดา และเลนส์อะนามอร์ฟิค ซึ่งต้องลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก อันนี้เฉพาะในโรงนะครับ แต่ก็ยังมีโรงภาพยนตร์บางแห่ง รวมไปถึงภาพยนตร์กลางแปลงที่เป็น “หนังขายยา” ก็มีวิธีแก้ปัญหาในการฉายภาพยนตร์ในระบบดังกล่าวแบบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ด้วยการถอดเลนส์สโคปออก เหลือแต่เลนส์ธรรมดา ภาพก็จะปรากฏเฉพาะช่วงกลางของจอ และสัดส่วนภาพจะไม่เพี้ยน เพราะถ้าสวมเลนส์สโคป ภาพที่ออกมาก็จะผิดเพี้ยนไป (ภาพฟิล์มที่เอามาให้ชมนี้ ด้านซ้ายมือทั้งบนและล่างเป็นภาพยนตร์ข่าว ซึ่ง จขกท. ถ่ายภาพเศษฟิล์มไว้เมื่อ พ.ศ. 2549 เนื่องจาก จขกท. ได้ไปพบภาพยนตร์ตัวอย่างหนังไทยเก่า และมีหนังข่าวติดมาด้วย 2 ข่าว ตอนนั้น จขกท. เป็นคนแนะนำให้คุณโต๊ะ ทีมพากย์พันธมิตร และคณะมาดูฟิล์มหนังไทยเก่าที่นครสวรรค์ เพื่อเอาไปทำเป็น VCD ในตอนนั้น ส่วนม้วนหนังตัวอย่างและหนังข่าวดังกล่าวถือเป็นส่วนเกิน เพราะกำลังสืบหาอยู่ว่ามีใครพอที่จะแปลงภาพจากฟิล์มเป็นวิดีโอได้ ในที่สุดม้วนหนังชุดดังกล่าวก็ไม่ได้ทำ เนื่องจากต้องนำไปคืน ก็เลยต้องถ่ายภาพเศษฟิล์มเหล่านี้ไว้ ซึ่งรอนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ ส่วนภาพกลางและภาพขวามือนั้น เป็นฟิล์มภาพยนตร์โฆษณากางเกงยีนส์ ฮาร่า มี 4 เวอร์ชั่น ที่สำคัญเป็นฉบับที่ฉายในบ้านเรา เนื่องจากมีตราประทับเซ็นเซอร์ด้วย ซึ่ง จขกท. ได้รับมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งต้องรอลุ้นต่อไปว่าจะสามารถใช้งานได้หรือไม่ เนื่องจากฟิล์มเก่ามาก จนสีเฟด แม้รูหนามเตยไม่แตกเป็นฟันเลื่อยก็ตาม) จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หลายปีผ่านไป ทั้ง 2 ระบบภาพ ต่างก็คู่ขนานกันไป พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่การถ่ายทำไปจนถึงกระบวนการในห้องแล็บ ซึ่งระบบภาพอัตราส่วน 1.85 : 1 ก็ยังมีอีกชื่อว่า WIDESCREEN ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้คำว่า FLAT จนทุกวันนี้ จากการที่ จขกท. ได้พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพยนตร์ก็ได้คำตอบว่า การถ่ายทำภาพยนตร์ในทุกวันนี้ จะใช้เลนส์ธรรมดา โดยไม่มีการบีบภาพในแนวนอน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ประตูฟิล์ม (Film Gate) และกราวน์กลาส (จอวิวไฟเดอร์ในกล้อง) ที่มีเส้นกรอบภาพ 4 : 3 หรือ 1.85 : 1 ประตูฟิล์มที่นิยมกันในหนังไทยจะเป็น 1.85 : 1 ส่วนหนังฝรั่ง ประตูฟิล์มจะเป็น 4 :3 เต็มเฟรม แล้วติดกราวน์กลาส 1.85:1 ซึ่งบางครั้งจะถ่ายติดไมค์บูมมาด้วยในส่วนบนเหนือหัวผู้แสดง หรือปรากฏรางดอลลี่ในด้านล่าง เมื่อเข้าสู่กระบวนการในห้องแล็บ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของหนังจะสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ พิมพ์เป็นแบบ HARD MATT ตอนพิมพ์ก็จะใช้ประตูฟิล์มบัง ทำให้ภาพออกมาเป็นเล็ตเตอร์บ็อกซ์ (Letter Box) (ดูได้จากฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง “สายลับจับบ้านเล็ก”) แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 22:18:54 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 22:17:47 จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลืมรูปครับ จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ตัวอย่างหลายเรื่องที่ฉายในบ้านเรา ซึ่งตัวภาพยนตร์เรื่องเป็นระบบสโคปนั้น เกิดขึ้นในขั้นตอนเทเลซีนออกมาเป็นวิดีโอระบบเบต้าแคม เพื่อนำไปตัดต่อ ผู้เทเลซีนก็จะปรับภาพวิดีโอเพื่อแสดงผลเป็นแบบ 2.35 : 1 เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ก็จะกลับไปยังกระบวนการพิมพ์แบบ HARD MATT อีกครั้ง ภาพออกมาจะแคบเล็กน้อย จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พิมพ์ในลักษณะ SOFT MATT ก็จะปรากฏไมค์บูม , รางดอลลี่ให้เห็น หรือไม่มีเลย  ทั้งนี้เส้นกั้นเฟรมอาจจะหนาหรือบาง หรือไม่เท่ากัน ตลอดช่วง ขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นมาจากกล้องตัวไหน (ดูได้จากฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง “เฉิ่ม” และ “เมล์นรกหมวยยกล้อ) จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เมล์นรก หมวยยกล้อ (สังเกตให้ดี มีไมค์บูมโผล่มาด้วย แต่เสียงผายลม คงไม่ได้บันทึกเสียงขณะนั้นจริง ๆ นะครับ เป็นเสียง FX ที่ทำในแล็บ) จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:34:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8 การฉายจะต้องเปลี่ยนประตูระบบภาพธรรมดามาเป็นประตูระบบภาพ FLAT ซึ่งจะบังภาพในส่วนบนและส่วนล่าง และใช้เลนส์ที่ความยาวโฟกัสสั้นลง เพื่อกรอบภาพบนฟิล์มจะได้ใหญ่ขึ้นโดยจะพอดีกับขนาดจอ ทำให้ภาพยังคมชัดอยู่ ซึ่งจอภาพยนตร์นั้นก็จะต้องเป็นแบบอัตราส่วน 1.85 ด้วยเช่นกัน ตามที่ จขกท. ทราบมา พบว่ามีการสั่งตัดจอภาพยนตร์ในขนาดอัตราส่วน 1.85 ด้วย แต่จะเป็นของบริการภาพยนตร์กลางแปลง เผื่อใช้งานในคราวที่จะต้องฉายภาพยนตร์ระบบ FLAT ตลอดคืน โดยไม่ต้องใช้เลนส์สโคปเลย เนื่องจากจอภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นแบบ 2.35 : 1 ดังนั้นเมื่อฉายภาพยนตร์ในระบบ 1.85 จะทำให้ภาพไม่เต็มจอ โดยเหลือบริเวณข้างจอที่เป็นผืนผ้าสีขาวครับ ถ้าเป็นในโรงก็สามารถเลื่อนม่านเข้ามาได้ แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์กลางแปลง ต้องปล่อยเลยตามเลย หรือไม่ก็ลงทุนสั่งทำประตูภาพ FLAT แบบพิเศษ เพื่อสามารถขยายภาพให้เต็มจอ แม้ว่าจอภาพยนตร์จะเป็นระบบสโคปก็ตาม แม้ฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. FLAT ที่เป็น HARD MATT อย่างเรื่อง “สายลับจับบ้านเล็ก” แม้เปลี่ยนประตูภาพและเปลี่ยนเลนส์แล้ว ก็ให้ผลไม่ต่างจากฟิล์มเดิมเท่าไหร่ ยกเว้นฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่าง ซึ่งตัวภาพยนตร์เรื่องเป็นระบบสโคป อย่าง “สะบายดี หลวงพะบาง” ซึ่งภาพบีบแคบลงมา เวลาฉายจริงก็จะติดขอบดำ ทั้งบนและล่างเพียงเล็กน้อยครับ ส่วนฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. FLAT ที่เป็น SOFT MATT เรื่อง “เฉิ่ม” และ “เมล์นรก หมวยยกล้อ” นั้น ประตูภาพ FLAT จะบังทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ไม่เห็นไมค์บูม หรือรางดอลลี่เลย ทำให้แสงผ่านกรอบภาพ และผ่านเลนส์ไปยังจอ (ดูภาพด้านขวาประกอบครับ) จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับระบบซีนีมาสโคปที่ใช้เมื่อก่อนนั้น เป็นการถ่ายทำโดยใช้เลนส์อะนามอร์ฟิค ซึ่งดูใหญ่เทอะทะ และราคาแพง แต่คุณภาพของภาพนั้นดีกว่า FLAT 1.85 อย่างมาก แต่เดี๋ยวนี้เค้าถ่ายกันในลักษณะต่อไปนี้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายครับ ตอนถ่ายทำนั้นได้ถ่ายทำแบบ 4 : 3 เต็มเฟรม พอเข้าสู่กระบวนการในห้องแล็บ ก็สั่งปรินต์ฟิล์มแบบ HARD MATT คือใช้ประตูบังด้านบนและด้านล่างภาพ จากนั้นก็ขยายภาพ (ส่วนที่ไม่ได้บัง) ให้เป็นระบบซีนีมาสโคป ซึ่งจะเต็มเฟรมเหมือนภาพใน คห. 1 และไม่เห็นไมค์บูม หรือรางดอลลี่เลย เวลาฉายก็ฉายผ่านเลนส์ธรรมดาและเลนส์สโคปเหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละครับ หนังไทยในช่วงที่ผ่าน ๆ มา อย่าง อีติ๋มตายแน่ , องค์บาก 2 , โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต , ก้านกล้วย 2 , ความจำสั้นแต่รักฉันยาว ก็เป็นระบบนี้ทั้งสิ้น ส่วนหนังต่างประเทศก็ใช้ระบบสโคปเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วถ้าถามว่า ถ้าจะเปลี่ยนระบบภาพบนฟิล์ม จาก FLAT 1.85 เป็นสโคปจะได้ไหม คำตอบก็คือ ทำได้ครับ จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 10 วิธีแรกก็คือ ขยายให้เต็มเฟรมทั้งหมด แต่จะเสียรายละเอียดภาพตามขอบเฟรมทั้ง 4 ด้านนะครับ เท่าที่เห็นจะเป็นหนังฮ่องกงที่เข้าฉายในบ้านเราในยุคของบริษัท นนทนันท์ หรือ สหมงคลฟิล์ม เพราะในฮ่องกงเค้าถ่ายเป็น FLAT 1.85 มาก่อน ทีนี้พอมาถึงบ้านเราก็ต้องสั่งให้แล็บขยายเป็นระบบสโคปเพื่อให้ฉายได้ทั่วประเทศ ตามโรงและหนังกลางแปลง สิ่งที่สังเกตได้ก็คือ ตัวหนังสือจีนจะแหว่งหายไป ส่วนหนังฝรั่งก็มีบ้างครับ (จขกท. เอาฟิล์มภาพยนตร์โฆษณา ทิฟฟี่ มาแทน สังเกตที่สัญลักษณ์ของบริษัท ตราครกบดยา จะขาดหายไป อยู่ที่แถบสีเหลืองของซองยา หากไม่ชัดเจนต้องขออภัยครับ เนื่องจากฟิล์มเดิมเป็น FLAT 1.85 แต่เอามาขยายเป็นสโคปครับ) แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 52 22:44:39 จากคุณ : หนามตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 วิธีที่สองก็คือ ขยายเฉพาะขอบบนและขอบล่างพอดีเฟรม แต่จะเหลือขอบดำด้านข้างซ้ายและขวา ซึ่งพบเห็นในหนังไทยที่เริ่มถ่ายเป็น FLAT ในช่วงปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องการเอาใจให้กับโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดและหนังกลางแปลง จึงได้สั่งพิมพ์ในลักษณะดังกล่าวออกมา เช่น ล่าระเบิดเมือง , 2499 อันธพาลครองเมือง , เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ , นางนาก ฯลฯ กระทั่งปี พ.ศ. 2544 แล้วก็ไม่พบการสั่งพิมพ์ฟิล์มแบบนี้อีกเลย ตอนฉายก็จะปรากฏขอบดำด้านซ้ายและขวาบนจอด้วยครับ ผมมีฟิล์มภาพยนตร์ตัวอย่างจำชื่อไม่ได้ ซึ่งอยู่ในกรณีดังกล่าว แต่ไม่ได้ถ่ายภาพฟิล์มไว้ครับ (หมายเหตุ ภาพฟิล์มทั้งหมดนี้เป็นของส่วนตัว ส่วนภาพจอภาพยนตร์นั้น จขกท. ใช้รูปแบบสโคปเป็นต้นแบบในการนำเสนอ ส่วนภาพจากภาพยนตร์นั้นเป็นภาพที่เอามาจากไฟล์วิดีโอ ซึ่งลักษณะภาพจะเป็นแบบเดียวกันกับที่ จขกท. ฉายจากฟิล์มภาพยนตร์ในภาพด้านซ้ายครับ) ต่อจากนี้ก็ขอเชิญคอมเม้นต์ครับ จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 9 เม.ย. 52 22:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมากค่ะ ขอถามนิดนึงค่ะ ทำไมบ้านเราไม่ใช้ระบบถ่ายทำแบบ panavision หล่ะคะ จากคุณ : ยำใหญ่ใส่แหลก - [ 10 เม.ย. 52 11:18:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บ้านเราเคยมีการถ่ายทำในระบบนี้ในเรื่อง สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นหนังร่วมทุนสร้างหลายประเทศ และออกฉายในเมืองนอกด้วย จึงได้ใช้ระบบ PANAVISION ดังกล่าว (พูดง่าย ๆ คือ อยากตามก้นฝาหรั่งครับ ทั้ง ๆ ที่ระบบสโคปเป็นระบบปกติที่ใช้กันเป็นมาตรฐาน ช่วงทศวรรษ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา) ผมถามช่างถ่ายภาพยนตร์ (เพราะเค้าจบมาด้านนี้โดยตรง ปัจจุบันทำ Organizer และ Presentation ครับ) เกี่ยวกับระบบนี้ ก็ให้คำตอบว่า ระบบ PANAVISION มีค่าใช้จ่ายแพงกว่าระบบสโคปอีกครับ (เอาราคาในสมัยนั้นเป็นหลัก) ดังนั้นระบบนี้จึงไม่เห็นในหนังไทยเรื่องอื่น ๆ อีกเลย จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 10 เม.ย. 52 12:10:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เอ...แล้วหนังที่ถ่่่่ายด้วย กล้องดิจิตอล อย่างโปรแกรมหน้าฯล่ะครับ ใช้วิธีไหนพิมพ์เป็นฟิล์มออกมาครับ จากคุณ : vespa744 - [ 10 เม.ย. 52 23:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ที่แล็บจะมีเครื่องทรานสเฟอร์จากไฟล์ดิจิตอล (อาจจะเป็นตัวหนังที่ตัดต่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว) เพื่อพิมพ์ลงบนฟิล์มเนกาตีฟครับ ความละเอียดระดับ 2K จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการล้างเพื่อให้ปรากฏภาพขึ้นมา ตรงนี้คือ เนกาตีฟภาพ ส่วนเสียงต้องไปมิกซ์ต่างหาก เสร็จแล้วก็พิมพ์ลงบนฟิล์มเนกาตีฟ ตรงนี้คือ เนกาตีฟเสียง เมื่อเนกาตีฟภาพและเสียงมาพิมพ์รวมกัน ผ่านการการล้างฟิล์มอีกครั้ง ก็เป็นฟิล์มฉบับฉายแล้วครับ จากคุณ : หนามเตยแมน (หนามเตยแมน) - [ 11 เม.ย. 52 13:37:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถึงว่า เขาถึงได้เรียกว่า ผีตุ้มแช่... เพราะมีการมิกเสียงนี่เอง อิอิอิ จากคุณ : ยำใหญ่ใส่แหลก - [ 11 เม.ย. 52 14:38:25 ]