CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    <<ดูแล้วมาคุยกัน ... Star trek (2009) , จากใจคนที่ไม่ใช่ Trekkie --> “สุดยอด - Excellent - #$$@% - สุโค่ย - il_lli” >>

      ชอบมาก ห้ามพลาด (92 คน)
      ชอบ (20 คน)
      เฉยๆ (2 คน)
      ไม่ชอบ (0 คน)
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

     80.70%
      ชอบมาก ห้ามพลาด (92 คน)
     17.54%
      ชอบ (20 คน)
     1.75%
      เฉยๆ (2 คน)
     0.00%
      ไม่ชอบ (0 คน)
     0.00%
      ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (0 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 114 คน


    เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป , อ่านความเห็นอื่นที่น่าสนใจ และ ชวนมาพูดคุยต่อที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=11-05-2009&group=14&gblog=157



            ผมดู Star trek ครั้งแรกในโรงใหญ่ตอนยังเด็ก นึกทบทวนโดยไม่ต้องค้นข้อมูล ก็ยังพอจำได้ว่าเป็นหนังอวกาศที่มีการย้อนเวลาและมีปลาวาฬร้องเสียงดังฮ่าฮ่าฮ่า ซึ่งนั่นคือ Star Trek IV: The Voyage Home จากนั้นมาก็เคยดูอีกภาคสองภาค แต่ก็นานมาแล้วจนจำไม่ได้ว่าภาคไหน (นั่นหมายถึง ภาคปลาวาฬ เป็น ภาคที่ติดตรึงในความทรงจำมากที่สุด)

    จากวันนั้นถึงวันนี้ความเหมือนของผมกับ J.J. Abrams ผู้กำกับ Star Trek (2009) คือ ไม่ได้เป็นสาวก Star trek หรือ Trekkie อีกทั้งเมื่อเทียบหนังไซไฟอวกาศชื่อดัง ก็ชอบสตาร์วอส์มากกว่า

    ครั้นเห็นว่า ภาคใหม่กำลังจะมาฉาย ก็คิดว่าอยากจะปูพื้นซักหน่อยเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม โดยเฉพาะในแง่ความต่อเนื่องของตัวละคร ด้วยการหยิบภาค 1 ถึง 3 กลับมาดู

            ผลปรากฎว่า

    ภาคแรก Star Trek: The Motion Picture ปรัชญาดีแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ , ภาคสอง Star Trek: The Wrath of Khan หลับน้อยลงเพราะมันส์มากขึ้น , ภาคสาม Star Trek III: The Search for Spock หลับตั้งแต่ครึ่งเรื่องแรก

    สามภาคที่ผมหลับแล้วหลับอีกผีผ้าห่ม ย้ำชัดว่า สตาร์เทร็ค ไม่ใช่ หนังในแนวทางตัวเองเป็นแน่แท้ เลยไม่คิดจะหาซีรี่ย์มาดูแล้วหลับต่อ

    ซึ่งก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน คือ ถึงจะชอบ Star Wars มากกว่า แต่ผมก็ไม่ได้ชอบหนังแอคชั่นตะลุยอวกาศอะไรมากมาย มิหนำซ้ำ กลับชอบไซไฟอวกาศที่เน้นปรัชญา การวางแผน อย่าง นิยายเรื่อง สถาบันสถาปนา (The Foundation) สามเล่มแรก เอามากๆขนาดเฝ้ารอคนทำเป็นหนังอย่างใจจดใจจ่อ

    แต่ไม่รู้เป็นยังไง พอดูหนังไซไฟอวกาศที่ตัวละครพูดมากทีไร กลับไม่อิน ขนาดซีรี่ย์ Battelstar Galactica ที่เคยมีคนเชียร์ ก็ดูแบบเพลินๆไม่ติด แล้วก็ค้างเติ่งอยู่กลางซีซั่น 1


            ถึงผมจะไม่ใช่แฟน สตาร์เทร็ค แต่ก็อยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะผม เป็นแฟนของ J.J. Abrams

    เริ่มต้นจากซีรี่ย์ระดับเทพอย่าง Lost ที่ผมยกให้เป็นซีรี่ย์อันดับหนึ่งในดวงใจแทน Friends เพราะความทึ่งแล้วทึ่งอีกในฝีมือการสร้างและเขียนบท จากนั้นก็ทดลองตามติดไปดูงานยุคก่อนของเขา ที่เป็นซีรี่ย์สายลับสองหน้าใน Alias แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยติด เพราะดูไปเรื่อยๆรู้สึกว่ามันซ้ำจับแนวง่ายไปหน่อย

    ต่อด้วย ติดตามไปดูฝีมือกำกับหนังใหญ่ Mission: Impossible III ที่ผมชอบฉากเปิดเรื่องมากๆ แต่ช่วงท้ายกลับรู้สึกว่ามันง่ายๆและ(น้ำ)เน่าๆพิกล ต่อมาก็ติดตามงานโปรดิวซ์ Cloverfield ที่ชอบมากๆ จนแทบจะลืมชื่อผู้กำกับแมตต์ รีฟ และนึกว่า JJ. กำกับเองเสียด้วยซ้ำ ล่าสุด ก็ทดลองหาซีรี่ย์เรื่องใหม่ของ JJ. ที่ผสมผสานความเป็น X-File กับ วิทยาศาสตร์ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่าง Fringe แต่ดูไปสองตอนผิดหวังนิดหน่อย


             ผมคิดว่า J.J. Abrams เป็น หนึ่งในอัจฉริยะในการทำหนังตลาดฟอร์มยักษ์โดยแท้ เพราะไม่ใช่แค่จะทำออกมาได้บันเทิงสุดขั้วแบบ ไมเคิล เบย์ แต่ เขายังทำให้ หนังตลาดๆแบบ สายลับ , สัตว์ประหลาด ให้ออกมาเหนือความคาดหมาย และ มักจะพกพาความแปลกใหม่มาด้วยเสมอ แถมยังเป็นคนไอเดียเก๋ไก๋ แอบสร้างจักรวาลของตัวเอง ด้วยการโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้มาหากันผ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนดูต้องสังเกตเอง

    เมื่อเขามาทำ Star trek สิ่งที่เขาพามาด้วย ก็ล้วนเด็ดๆ อาทิเช่น


    J.J. Abrams พา ไซล่าร์ วายร้ายโรคจิตที่ชอบคิดเปิดกะโหลกเพื่อนๆ มาจากซีรี่ย์ Heroes และนั่นทำให้ทุกครั้งที่ สป๊อคอารมณ์เสีย ทำหน้าแบบจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ มันทำให้ผมลุ้นว่า เมื่อไหร่เฮียจะเอานิ้วกรีดรอบกะโหลกแล้วสแกนสมองเหมือนที่เคยทำฮ่าฮ่าฮ่า


    J.J. Abrams พา Slushoน้ำส้ม มาด้วย เครื่องดื่มเจ้าปัญหาที่โผล่ไปซะทุกเรื่องตั้งแต่ Lost , Heroes , Cloverfield ขนาดหนังอวกาศอย่างเรื่องนี้ พี่แกยังหาทางโผล่มาได้อีก เอากะเค้าซิ


    J.J. Abrams พา บทหนังที่ฉลาดมาก ที่ใช้ การข้ามเวลา มาจัดการเรื่องราวใหม่ สร้างจักรวาลใหม่ Timeline ใหม่ (ลองนึกถึง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 6 ที่ตอนจบรื้อโลกใหม่ แล้วเหลือตัวละครจากโลกเก่าเพียงตัวเดียวที่มาดำเนินชีวิตต่อใน โลกใบใหม่ ไปพร้อมๆกับตัวละครเก่าที่ถูกเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตใหม่)

    ดังนั้นเมื่อ อดีตถูกเปลี่ยนแปลง นับแต่นี้ J.J. Abrams มีอิสระเต็มที่ ที่จะเล่นเรื่องราวได้ใหม่ โดยจะอิงกับโลกใบเดิม หรือ สร้างเรื่องราวใหม่โดยไม่ต้องเกรงการกระทบเส้นเรื่องที่แล้วๆมา

    ( เช่น การให้ อูฮูร่า รักกับ สป๊อค ก็น่าสนใจว่า อาจนำไปสู่ ความขัดแย้งในภาคต่อๆไปของสองตัวเอกแล้ว อูฮูร่า จะกลับไปรักกับ เคิร์ก ตามเส้นเรื่องเก่า หรือ จะนำไปสู่เส้นเรื่องใหม่ไปเลย)


             จุดเด่นของบทหนังสตาร์เทร็คชุดนี้ ที่เด่นกว่าเวอร์ชั่นเก่าๆ คือ อารมณ์ขันที่ถูกจัดสรรให้กับนักแสดงทุกคน ได้โปรยเสน่ห์จากเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น มุกตลกสัญชาติรัสเซียของเชคอฟ , มุกมือใหม่หัดขับของซูลู , ขนาดสป๊อกยังแอบมีมุกซุบซิบกับเคิร์กตอนท้ายเรื่องเจรจากับเนโร ฯลฯ

    รวมทั้ง การสร้างคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนและโดดเด่นของทุกคน ได้รับการเกลี่ยไปอย่างลงตัว เป็น ทีมที่เราอยากพบพวกเขาซ้ำอีกในภาคถัดๆไป


    ทีมแคสต์นักแสดงลูกเรือเอนเตอไพรซ์ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะแต่ละคนทำให้แฟนเก่าๆสามารถจูน หน้าเก่า กับ หน้าใหม่ ได้อย่างไม่ขัดเขิน (ยกเว้น เชคอฟ ที่รู้สึกว่า คาแรคเตอร์ เก่า-ใหม่ จะไม่ค่อยใกล้กันเหมือนตัวละครอื่นๆ) ซึ่งตัวนักแสดงแต่ละคนก็ทำการบ้านมาดีด้วย

    เพราะขนาด การแสดง ทั้งกวนโอ๊ยและเกรียนแตกของ Chris Pine ก็ทำให้คิดถึง เคิร์กรุ่นเดอะได้อยู่ดี , Zachary Quinto เด่นมากๆ แต่อย่างที่บอกข้างต้น ภาพไซลาร์ฝังหัวจนคิดถึงตลอด เหมือนกับ Simon Pegg ที่ผมสลัดภาพของเขาจากหนังตลกชั้นดี Shawn of the Dead กับ Hot fuzz ไม่ออกเลย

    และถ้าใครชอบ John Cho ชาวเอเชียคนเก่งบนยานต้องไม่พลาดหนังที่เขาเคยแสดงอย่าง Harold & Kumar Go to White Castle ที่ บ้ามากและฮามากเช่นกัน (ภาคสองออกแผ่นแล้วแต่ไม่รู้จะฮาหรือเปล่า Harold & Kumar Escape from Guantanamo Bay)

    ยังมีสองนักแสดง ที่คอหนังรุ่นคุณลุงคุณน้าต้องดีใจที่เห็นเขาและเธอกลับมา แถมยังมาเป็นแพ็กเก็จแม่ลูก หนึ่งคือ สป็อคต้นตำรับ - Leonard Nimoy กับ สาวสวยที่ดวงการแสดงเหมือนดาวตก - Winona Ryder



            อีกส่วนที่ไม่ปรบมือให้ไม่ได้ คือ งานด้านเทคนิก โดยเฉพาะ CG สมศักดิ์ศรีหนังอวกาศยุคใหม่ และ ที่ดีมากๆคือ ความไฮเทคล้ำสมัยมันไม่หลอกตาเป็นการ์ตูนเหมือนกับ Star wars ที่ดูเด่น แต่เหมือนหลุดออกจากโลกที่เราอาศัยจนไม่สมจริงเมื่อมีคนอยู่ในฉาก งานด้านเสียงก็เฟี้ยวฟ้าวอลังการชนิดที่ว่า ไม่ดูในโรงถือว่า น่าเสียดายเอามากๆ


    (มีต่อ)

    แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 52 15:23:14

    แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 52 10:23:47

    จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 12 พ.ค. 52 10:14:08 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com