ความคิดเห็นที่ 1 CERN เป็นชื่อย่อของ Conseil Europeen pour la Recherche Nucleaire หรือที่ในปัจจุบันใช้ชื่อว่า Organisation Europeenne pour la Recherche Nucleaire เพื่อความสะดวกขอเรียกสั้นๆไปเลยว่า เซิร์น เซิร์นเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1952 โดยรัฐบาลของประเทศในทวีปยุโรป 11 ประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัยทางฟิสิกส์อนุภาคและนิวเคลียร์ให้ได้ผลการทดลองที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์อนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสำนักงานใหญ่ที่อยู่ชานกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ มีอาณาบริเวณคร่อมพรมแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส จากในภาพข้างล่างนี้คือ อาณาบริเวณของเซิร์น มองจากฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ไปทางฝั่งฝรั่งเศส แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 52 23:42:35 จากคุณ : Bowling Bash - [ 12 พ.ค. 52 23:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 บทบาทหลักของเซิร์นก็คือ การศึกษา วิจัย และทดลองทางด้านฟิสิกส์อนุภาค อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่สร้างผลงานอันโด่งดังทางฟิสิกส์มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อศึกษาโครงสร้างภายในของอะตอม, การสังเคราะห์อะตอมแอนตีไฮโดรเจน รวมการค้นพบอนุภาค W/Z Bosons ที่ทำให้ Carlo Rubbia และ Simon van der Meer ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และการพัฒนาอุปกรณ์ Multi-wire Chamber สำหรับดักจับอนุภาค ที่ทำให้  Georges Charpak ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลงานที่เห็นจะโด่งดังที่สุดของเซิร์น คงจะหนีไม่พ้นการกำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ โดยถือกำเนิดขึ้นจากการพัฒนาเครือข่ายประมวลผลข้อมูลเพื่อให้นักวิจัยจากภายนอกสามารถนำข้อมูลที่เก็บภายในเซิร์นไปใช้งานได้ และต่อมาก็กลายเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่โยงใยถึงกันทั่วโลก จากคุณ : Bowling Bash - [ 12 พ.ค. 52 23:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เซิร์นมีประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งอยู่ทั้งหมด 12 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เดนมาร์ค เยอรมนี ฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี นอร์เวย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และยูโกสลาเวีย (ต่อมายูโกสลาเวียถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก) จนถึงปัจจุบัน เซิร์นมีสมาชิกทั้งสิ้น 21 ประเทศ โดยประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกหลังจากการก่อตั้ง ได้แก่ ออสเตรีย สเปน โปรตุเกส ฟินแลนด์ โปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชค สโลวาเกีย บัลแกเรีย และมาซิโดเนีย นอกจากนี้ยังมีประเทศผู้สังเกตการณ์จากนอกทวีปยุโรปอีก 6 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล ญี่ปุ่น รัสเซีย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา และมีองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์คือ คณะกรรมาธิการยุโรป และยูเนสโก นอกจากประเทศสมาชิกแล้ว ประเทศอื่นๆที่แม้ไม่ได้เป็นสมาชิก ก็สามารถทำข้อตกลงร่วมปฏิบัติการกับเซิร์นได้เช่นกัน จนถึงปัจจุบันมีแล้ว 35 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย อาร์เจนตินา อาร์เมเนีย ออสเตรเลีย อาร์เซอไบจาน เบลารุส บราซิล แคนาดา ชิลี จีน โคลอมเบีย โครเอเชีย คิวบา ไซปรัส เอสโทเนีย จอร์เจีย ไอซ์แลนด์ อิหร่าน ไอร์แลนด์ ลิธัวเนีย เม็กซิโก มอนเตเนโกร โมรอคโค นิวซีแลนด์ ปากีสถาน เปรู โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลวีเนีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ยูเครน และเวียดนาม (แผนที่แสดงประเทศสมาชิกปัจจุบันของเซิร์น) จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปัจจุบันพระเอกของเซิร์นคงจะหนีไม่พ้นเครื่อง Large Hadron Collider หรือเรียกย่อๆว่า LHC ซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคขนาดมหึมา ลักษณะเป็นอุโมงค์วนรอบเป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 กิโลเมตร ฝังอยู่ใต้พื้นโลก 100 เมตร กินพื้นที่พรมแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับฝรั่งเศส แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 12:04:07 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดค่ะ ได้ยินว่าหลายที่สถานที่จริงไม่อนุญาตให้ถ่าย เลยอยากรู้ว่าจะจำลองให้เหมือนสถานที่จริงได้แค่ไหนกัน ^^ จากคุณ : Bluedonut - [ 13 พ.ค. 52 00:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 6 LHC แบกรับความหวังของนักฟิสิกส์อนุภาคไว้มากมาย ด้วยประสิทธิภาพการเร่งความเร็วของอนุภาคในท่ออุโมงค์ให้มากพอที่กระแทกกันแล้วจะสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอนุภาคได้ จึงเป็นที่คาดหวังว่าจะสามารถไขปริศนาต่างๆเกี่ยวกับฟิสิกส์อนุภาคได้ ซึ่งอาจจะเป็นการค้นพบอนุภาคชนิดใหม่ที่จะอธิบายการกำเนิดจักรวาล หรืออาจนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างพลังงานที่สะอาดไร้มลพิษแต่มีประสิทธิภาพสูง จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 รอชมเช่นกันครับ จากคุณ : Chordate - [ 13 พ.ค. 52 00:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เผลอแผล็บเดียว ข้ามประเทศมาซะแล้ว ^ ^ ภาพนี้ก็คือ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์แห่งนครรัฐวาติกัน มองจากหลังคาโดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แลเห็นทิวทัศน์ของกรุงโรมไกลสุดลูกหูลูกตา จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:14:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Piazza San Pietro) ถือได้ว่าเป็นประตูหน้าบ้านของนครรัฐวาติกัน และยังเป็นห้องรับแขกสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ จัตุรัสออกแบบโดยจานลอเรนโซ เบร์นินี ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ ค.ศ.1656-1667 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กลางจัตุรัสคือ เสาโอเบลิสก์หินอ่อนสีแดง ที่จักรพรรดิคาลิกูลาแห่งโรมันนำมาจากอียิปต์ สูงจากฐานจนถึงกางเขนบนยอด 41 เมตร จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:24:41 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความฉลาดอย่างหนึ่งในการออกแบบจัตุรัสแห่งนี้ ที่ตำแหน่งนี้จะมองเห็นเสาระเบียงทั้ง 4 ชั้นซ้อนกันพอดิบพอดี http://frmarkdwhite.files.wordpress.com/2008/11/holy-office.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แผ่นหินนี้วางอยู่ด้านข้างของเสาโอเบลิสก์ หากใครอ่านหนังสือแล้ว จะรู้ว่าแผ่นหินนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเนื้อเรื่อง http://images.travelpod.com/users/uncle_davros/the_world.1160229960.rome_006_west_ponente.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ปาด+โหวต จากคุณ : [D]iffind[O] - [ 13 พ.ค. 52 00:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จากตรงนี้ข้อมูลส่วนตัวเริ่มจะเบาบางลง -*- แต่ยังไงขอใช้ภาพอธิบายให้ละเอียดที่สุดละกันนะครับ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) เป็นโบสถ์คริสต์ที่มีพื้นที่ภายในมากที่สุดในโลก โดยสามารถจุคนได้ถึง 60,000 คน ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์ และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักร ตามธรรมเนียมของนิกายโรมันคาทอลิกยังถือว่าเป็นสถานที่ฝังศพของนักบุญปีเตอร์ หนึ่งในอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ และถือว่าเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์แรกแห่งศาสนจักร นอกจากความสำคัญทางศาสนาแล้ว ยังมีความสำคัญทางศิลปะอย่างประเมินค่าไม่ได้ ด้วยเป็นสถานที่ที่ศิลปินเอกหลายท่านได้ฝากผลงานไว้ โดยเฉพาะอัครศิลปินอย่างไมเคิลแองเจโล และในด้านสถาปัตยกรรมก็ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ชมความอลังการภายในมหาวิหาร จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อีกซักรูป จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 00:57:01 ]

ความคิดเห็นที่ 17 บุษบกทองแดงที่เป็นแท่นบูชาหลักของมหาวิหาร หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเบร์นินี สร้างขึ้นใต้โดมใหญ่พอดี เพื่อแสดงตำแหน่งสถานที่ฝังศพของนักบุญปีเตอร์ จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 01:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณชาเขียวเคยตั้งกระทู้แบบนี้เหมือนกัน สมัยที่หนังสือออกมาใหม่ๆ ตอนนี้อยู่ในคลังกระทู้เก่ามั๊ง ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองเข้าไปหาดูครับ จากคุณ : ParisHolic - [ 13 พ.ค. 52 01:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สถานที่ฝังศพนักบุญปีเตอร์ ที่ใต้แท่นบูชา http://frmarkdwhite.files.wordpress.com/2008/11/st-peters-confessio.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 01:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อีกหนึ่งผลงานศิลปะชื่อก้องโลกในมหาวิหาร La pieta โดยไมเคิลแองเจโล แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 14:35:11 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 01:08:51 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอตัวไปนอนหลับพักผ่อนก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะมาต่อ หรือใครอยากโพสต์ไปก่อนก็ได้ครับ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนความรู้กับรูปสวยๆกัน ^^ จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 01:18:40 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จริงๆแล้ว เซนต์ปีเตอร์ ไม่ใช่วัดที่สำคัญที่สุดในพระศาสนาจักรคาทอลิก วัดที่สำคัญที่สุดคือ มหาวิหารนักบุญยวง ลาเตรัน ซึ่งเป็น วัดประจำตำแหน่ง บิชอปแห่งโรม (พระสันตะปาปา) หลังจากที่พระสันตะปาปาถูกเลือกตั้งขึ้นมา จำเป็นจะต้องมาทำพิธีรับเป็นเจ้าของมหาวิหารนี้ด้วยครับ เพราะสมัยก่อนพระสันตะปาปาทรงประทับอยู่ที่นี่ และก็เลือกพระสันตะปาปากันที่นี่ พอย้ายไปเซนต์ปีเตอร์ก็มีข้อถกเถียงกันว่าที่ไหนสำคัญกว่า จนกระทั่งพระสันตะปาปา เกรโกรี ที่ 11 ได้ออกกฤษฎีกา   และประกาศอย่างเป็นทางการว่า ลาเตรัน ยังคงเป็นสำนักเอก และเป็นที่หนึ่งเหนือวัดทุกแห่งของกรุงโรมและของโลก และเป็นที่หนึ่งเหนือมหาวิหารทั้งหลาย รวม ทั้งเหนือเซนต์ปีเตอร์ จากคุณ : AlleluiA - [ 13 พ.ค. 52 01:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มหาวิหารนักบุญยวง ลาเตรัน จากคุณ : AlleluiA - [ 13 พ.ค. 52 01:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาวอร์มอัพด้วยคนครับ อ่านครั้งล่าสุดประมาณเกือบปีที่แล้ว ชักลืมๆ ไปแล้ว -*- จากคุณ : DOGDAG_chy - [ 13 พ.ค. 52 02:03:46 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดูรอบสื่อมาแล้ว หนังสนุกกว่าภาคแรกเยอะเลยครับ และก็เปลี่ยนแปลงเนื้อหาจากหนังสือไปเยอะเช่นเดียวกัน จากคุณ : EVgreen - [ 13 พ.ค. 52 04:10:27 A:58.8.134.163 X: TicketID:074234 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อยากรู้ว่า รูปปั้นที่ชี้นิ้วไปทางโน้นทางนี้ มันมีจริงไหม แล้วมันตั้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จริงๆไหม จากคุณ : อืม นะ - [ 13 พ.ค. 52 06:40:53 A:125.25.39.87 X: TicketID:192536 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ่อ่านไปรอบเดีบว แต่ยังจำความสนุกได้อยู่ ขอมาเตรียมตัวด้วยคนค่ะ ^^ จากคุณ : สนามบอลสีน้ำตาล - [ 13 พ.ค. 52 07:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 รู้สึกว่าจะได้ถ่ายทำที่ CERN จิงๆ แล้วให้นักวิทยาศาสตร์ในนั้นเป็นตัวประกอบเดินไปเดินมาด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปถ่ายที่วาติกัน จากคุณ : berry shortcake - [ 13 พ.ค. 52 08:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณ จขกท มากๆครับ เพิ่งอ่านจบ แต่ซื้อเล่มละสามร้อยกว่า เลยไม่มีภาพประกอบเหมือนปกแข็ง แต่ก็กระจ่างก่อนดูหนังเพราะกระทู้นี้จริงๆ เพราะตอนอ่าน ยังเดาไม่ออกเลย ว่าจัตุรัสนี้ (ตามท้องเรื่อง) หน้าตาเป็นอย่างไร แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 08:41:37 จากคุณ : รักที่ต้องมนตรา - [ 13 พ.ค. 52 08:41:12 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เพิ่งอ่านจบเมื่อวาน ทีแรก กะอ่านจบ ให้พอดีกับหนังลงโรง แต่ห้ามใจไม่ไหวจริง จริง รอไปดูภาพ พรุ่งนี้ จากคุณ : vitay@ - [ 13 พ.ค. 52 09:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณจขกทมากๆ เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มา2-3รอบล่ะ มันส์มากกก แต่ก็ลืมๆเรื่องสถานที่ไปบ้างมาเจอกระทู้นี้ดีเลย^_^ จากคุณ : หนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ - [ 13 พ.ค. 52 11:22:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาต่อซักนิดก่อนจะออกไปทำงาน(อย่างหนักหน่วง T-T) วาติกันกรอตโต (Vatican Grotto) เป็นทางเดินเรียบๆใต้มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะสถานที่ฝังพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาเกือบทุกพระองค์ http://www.vaticanotours.com/g/vatican_grotto.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 12:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 หลุมฝังพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่  2 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 12:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 Vatican Necropolis อยู่ใต้นครรัฐวาติกัน เป็นพื้นผิวที่มีอายุย้อนไปถึงสมัยโรมันโบราณ http://www.smh.com.au/ffximage/2006/10/10/vatican_wideweb__470x329,0.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 12:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พระราชวังอะโพสโตลิก (Apostolic Palace) คือที่พำนักอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระสันตะปาปาในนครรัฐวาติกัน ตั้งอยู่ติดกับมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ประกอบด้วยอาคารต่างๆหลายหลัง ทั้งที่พำนักของสมเด็จพระสันตะปาปา สำนักงานนครรัฐวาติกัน พิพิธภัณฑ์แห่งวาติกัน หอสมุดวาติกัน รวมทั้งวัดน้อยซิสตีนซึ่งเป็นสถานที่จัดการเลือกตั้งสมเด็จพระสันตะปาปา จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ทางเข้าที่พำนักส่วนพระองค์ มีองครักษ์ทหารสวิสยืนคุมเข้ม http://www.danbrown.com/images/angels/gallery/swissguard2.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งวาติกัน จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อีกมุมหนึ่ง ^ ^ จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ลาน Cortile della Pigna หน้าพิพิธภัณฑ์ กับสัญลักษณ์ลูกสน จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:24:36 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หนึ่งในผลงานศิลปะที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Augustus of Prima Porta จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผลงานชื่อก้องโลก The School of Athens โดยราฟาเอล จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งวาติกัน ในห้องสำหรับแสดงผลงานของราฟาเอลโดยเฉพาะ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 14:32:45 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 14:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 พรุ่งนี้แล้วสินะครับ จากคุณ : DOGDAG_chy - [ 13 พ.ค. 52 15:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 43 วัดน้อยซิสตีน (Sistine Chapel) เป็นวัดน้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดในพระราชวังอะโพสโลติค มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่จินตนาการมาจากวิหารโซโลมอนในพระคัมภีร์เก่า และการตกแต่งด้วยภาพปูนเปียกฝีมือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา อย่างเช่นไมเคิลแองเจโล ราฟาเอล เบร์นินี และซานโดร บอตติเชลลี โดยเฉพาะภาพปูนเปียกบนเพดานที่เหล่าอัครศิลปินบรรจงวาดเรียงต่อกันเป็นซีรีส์อย่างงดงาม นอกจากนี้ วัดน้อยซิสตีนยังมีความสำคัญในฐานะที่เป็นสถานที่จัดการเลือกตั้งสมเด็จพระสันตะปาปาที่อาจถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ลึกลับที่สุดในโลก จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 16:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 44 The Last Judgement โดยไมเคิลแองเจโล บนผนังหลังแท่นบูชา เป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในวัดน้อยซิสตีน http://endtimesjournal.files.wordpress.com/2006/05/534px-Michelangelo_-_Fresco_of_the_Last_Judgement.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 17:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณจขกท.มากๆค่ะ *Fire* Ecstasy of St. Teresa ของ Bernini อิอิ จากคุณ : Lucy in the sky with diamonds - [ 13 พ.ค. 52 17:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มาโพสด้วย พอดีตอนอ่านจบเคยเซฟไว้ Habakkuk and the angel จากคุณ : rrltai^^ - [ 13 พ.ค. 52 18:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 47 กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ออกไปทัวร์กรุงโรมซะที ^ ^ จัตุรัสเดลลาโรทนดา (Piazza della Rotonda) เป็นจัตุรัสที่ชื่อจริงๆไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เพราะคนจำนวนมากเรียกว่า "จัตุรัสแพนธีออน" อันเนื่องจากแพนธีออนตั้งเด่นเป็นสง่าซะจนดึงดูดสายตาไปหมด กลางจัตุรัสมีน้ำพุเล็กๆที่มีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ http://www.tropicalisland.de/italy/rome/piazza_navona/images/FCO%20Rome%20-%20Piazza%20della%20Rotonda%20with%20fountain%20and%20Pantheon%2001%203008x2000.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แพนธีออน (Pantheon) เป็นอาคารโรมันโบราณที่ยังคงสภาพดีมากที่สุด แรกเริ่มสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานโดยมาร์คัส อะกริปปา โอรสบุญธรรมในจักรพรรดิออกัสตัสตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสตกาล แต่อาคารที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเฮเดรียนเมื่อ ค.ศ.125 เดิมทีแพนธีออนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบูชาเทพเพเกินตามความเชื่อของชาวโรมันโบราณ ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาโบนิฟาซที่ 4 ได้สถาปนาให้เป็นโบสถ์คาทอลิก จึงรอดพ้นจากการถูกทำลายเหมือนอนุสรณ์สถานเพเกินแห่งอื่นๆ ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์เบินที่ 8 ทรงมีโองการให้นำเอาแผ่นทองแดงจากหลังคาไปสร้างบุษบกเหนือหลุมศพนักบุญปีเตอร์ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:14:00 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาด ทำให้หลังคาโค้งของแพนธีออนยังมั่นคงแข็งแรงจนทุกวันนี้โดยไม่ต้องมีเสาค้ำยันเลยซักต้น เส้นผ่านศูนย์กลางของหลังคาเท่ากับความสูงของอาคารพอดี คือ 43.3 เมตร และมีฝ้าเพดานเป็นหลุมสี่เหลี่ยมช่วยลดน้ำหนักของหลังคา ตรงกลางหลังคาคือช่องเปิดรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เมตรที่เรียกว่า โอคูลัส (Oculus) จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เนื่องจากโอคูลัสเปิดอ้าซ่าให้ทั้งลม แดด และฝนเข้ามาในอาคารได้ บนพื้นหินอ่อนจึงต้องมีช่องระบายน้ำซึ่งมีทั้งหมด 22 ช่อง น้ำที่ไหลผ่านช่องนี้จะไหลไปยังถังเก็บน้ำใต้ดิน จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ที่ซุ้มหนึ่งของแพนธีออน มีรูปสลักของพระแม่มารี ใต้รูปสลักคือสถานที่ฝังศพของราฟาเอล อัครศิลปินชาวอีตาเลียน จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ข้างๆรูปสลักของพระแม่มารี คือรูปสลักของราฟาเอล ผู้ทอดกายอยู่เบื้องล่าง จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 53 โลงหินอ่อนที่บรรจุร่างของราฟาเอล สอดเข้าไปในช่องผนัง และปิดด้วยกระจกเพล็กซิกลาสอย่างแน่นหนา จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 54 จัตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) เป็นหนึ่งในจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของโรม ลักษณะเป็นรูปไข่ ออกแบบโดยจูเซปเป วาลาดิเย์ เมื่อต้นคริสตศตวรรษที่ 19 จากคุณ : Bowling Bash - [ 13 พ.ค. 52 23:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ฝั่งทิศเหนือของจัตุรัสเป็นที่ตั้งของปอร์ตาเดลโปโปโล (Porta del Popolo) สร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นประตูเมืองเข้าสู่กรุงโรม ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 7 ทรงมีโองการต่อเติมให้เป็นประตูเมืองที่โอ่อ่าสวยงามดังเช่นปัจจุบัน สัญลักษณ์ดาวเหนือกองหินรูปสามเหลี่ยมบนประตูเป็นตราประจำตัวของพระองค์เอง http://www.jedast.com/rome/A-porta-popolo.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ที่กลางจัตุรัสเดลโปโปโล เป็นที่ตั้งของเสาโอเบลิสก์หินแกรนิตสีแดงอายุ 3,000 ปี จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 57 รอติดตาม โหวดๆ จากคุณ : G.ShamanCrazy - [ 14 พ.ค. 52 00:14:12 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ด้านทิศใต้ของจัตุรัส คือโบสถ์แฝดที่มีถนนคั่นกลาง ทางซ้ายคือ ซานตามาเรียอินมอนเตซานโต (Santa Maria in Montesanto) และทางขวาคือ ซานตามาเรียเดมิราโกลี (Santa Maria dei Miracoli) จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:16:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ซานตามาเรียเดลโปโปโล (Santa Maria del Popolo) ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของจัตุรัสเดลโปโปโล ติดกับปอร์ตาเดลโปโปโล (สังเกตได้ว่าด้านซ้ายของโบสถ์ก็คือปอร์ตาเดลโปโปโลนั่นเอง) http://www.paradoxplace.com/Perspectives/Rome%20&%20Central%20Italy/Rome/Rome_Churches/Santa_Maria_del_Popolo/Images/800/SMdelPopolo-Oct06-D3334sAR800.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แรกเริ่มโบสถ์แห่งนี้เป็นวิหารที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2 เหนือหลุมศพของตระกูลโดมิเชีย เพื่อบูชาพระแม่มารี โดยมีตำนานว่าตำแหน่งนี้เป็นที่สิงสถิตของวิญญาณต้องคำสาปของจักรพรรดิเนโรที่แสดงตนในรูปของอีกา สมเด็จพระสันตะปาปาจึงทรงมีรับสั่งให้ตัดต้นวอลนัทที่เป็นที่อยู่ของอีกาแล้วสร้างวิหารขึ้น ต่อมาเมื่อคริสตศตวรรษที่ 13 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ทรงมีพระประสงค์ให้ต่อเติมวิหารจนเป็นโบสถ์ และประทานให้อยู่ความดูแลของกลุ่มออกัสติเนียน ซานตามาเรียเดลโปโปโลผ่านการเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อสร้างใหม่ใน ค.ศ.1472-1477 จนเป็นโบสถ์สถาปัตยกรรมแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาที่สมบูรณ์ที่สุดในอิตาลี และต่อมาจานลอเรนโซ เบร์นินีก็ได้ปรับปรุงส่วนด้านหน้าของโบสถ์ให้เป็นสไตล์บาโรกที่ทันสมัยมากขึ้น จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 วิหารเชราซี (Cerasi Chapel) เป็นวิหารหรือซุ้มหนึ่งในหลายๆซุ้มในซานตามาเรียเดลโปโปโล แม้จะเป็นเพียงซุ้มเล็กๆ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นสถานที่เก็บภาพวาด 3 ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในโบสถ์ http://lh6.ggpht.com/_-D1oMnx8jlc/R3FuysJibHI/AAAAAAAABP4/6yF-X6Pnu2k/20050826_047.JPG จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 62 Assumption of the Virgin Mary โดย Annibale Carracci จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 63 The Conversion on the Way to Damascus โดยคาราวัจโจ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 64 Crucifixion of Saint Peter โดยคาราวัจโจ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 65 วิหารชิจิ (Chigi Chapel) เป็นอีกวิหารหนึ่งในซานตามาเรียเดลโปโปโล ออกแบบโดยราฟาเอลด้วยการว่าจ้างของนายธนาคารชื่อว่า อะกอสติโน ชิจิ เพื่อให้เป็นสถานที่ฝังศพของตนเองกับน้องชาย ต่อมาหลังจากราฟาเอลเสียชีวิตไปแล้ว เบร์นินีได้ตกแต่งวิหารนี้จนเสร็จสมบูรณ์ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 66 บนเพดานโดมของวิหารชิจิ เป็นภาพโมเสกบรรยายถึงการสร้างโลก ออกแบบโดยราฟาเอล จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 00:54:53 ]

ความคิดเห็นที่ 67 พีระมิดสีแดงตั้งอยู่สองข้างของวิหาร เป็นศิลาเหนือหลุมศพของอะกอสติโน ชิจิ และซิกิสมอนโดน ผู้เป็นน้องชาย http://image38.webshots.com/38/4/95/73/304049573viosuB_fs.jpg แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 01:02:48 จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 68 โพสต์อีกที - -" จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 69 พื้นของวิหารเป็นภาพโมเสกรูปโครงกระดูก จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 70 หนึ่งในรูปสลักในวิหารชิจิ Habakkuk and the Angel โดยเบร์นินี ขอบคุณ คห.46 ที่ช่วยโพสต์รูปครับ ^ ^ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขออีกที ลืมอัพรูป - -" จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:11:00 ]

ความคิดเห็นที่ 72 Daniel and the Lion ในวิหารชิจิ http://www.bb-rome.com/Rome%20bed%20and%20breakfast%20rome%20%20B&B%20%20Rome%20Bed%20&%20Breakfast%20in%20Roma__file/daniel-and-lion-bernini.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 73 รูปสลักประกาศกโยนาห์ (Jonah) ในวิหารชิจิ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:21:07 ]

ความคิดเห็นที่ 74 กลับไปนอนอีกคืนล่ะครับ พรุ่งนี้มาต่อ ^ ^ จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 01:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 75 พรุ่งนี้จะไปดูสตาร์เทคแล้วต่อด้วยเทวากับซาตานครับ :p แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 02:13:16 จากคุณ : Chordate - [ 14 พ.ค. 52 02:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 76 จัตุรัสบาร์เบรินี (Piazza Barberini) เป็นจัตุรัสที่อยู่ท่ามกลางถนนที่มีการจราจรคับคั่ง กลางจัตุรัสคือที่ตั้งของน้ำพุไตรตัน http://image56.webshots.com/56/2/0/7/480820007QNMoRT_fs.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 13:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 77 น้ำพุไตรตัน (Fontana del Tritone) โดยจานลอเรนโซ เบร์นินี http://www.rionetrevi.it/RII/uploads/thumbs0/13.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 13:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 78 วันนี้จะไปดูแล้วจ้าาา จากคุณ : Arccyber2004 - [ 14 พ.ค. 52 13:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย (Santa Maria della Vittoria) เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1605 เพื่อบูชานักบุญปอล ต่อมาหลังจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกได้รับชัยชนะในศึก White Mountain เมื่อ ค.ศ.1620 โบสถ์นี้ได้ถวายบูชาแด่พระแม่มารี จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 13:29:46 ]

ความคิดเห็นที่ 80 โบสถ์แห่งนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ออกแบบและสร้างเสร็จสมบูรณ์โดยคาร์โล มาเดอร์โน สถาปนิกในสมัยบาโรกช่วงต้น โครงสร้างภายในเคยถูกไฟไหม้เมื่อ ค.ศ.1833 และได้รับการซ่อมแซมใหม่ http://k41.pbase.com/g3/21/622621/2/58182976.301SMariaVittoria.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 13:34:32 ]

ความคิดเห็นที่ 81 The Ecstasy of St.Teresa เป็นรูปสลักเทวทูตถือหอกแห่งเพลิง กับนักบุญเทเรซาในท่วงท่าที่ได้พบกับความสุขอันสุดยอด สร้างขึ้นโดยจานลอเรนโซ เบร์นินี ตั้งอยู่ที่ซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวประวัติของนักบุญเทเรซาชั่วขณะที่มีนิมิตพบกับเทวทูตแล้วบังเกิดความสุขสมอันประมาณมิได้ (ใครมีหนังสืออยู่ ลองอ่านชีวประวัติช่วงนี้ของนักบุญเทเรซา แล้วจะเห็นชัดๆว่า รูปสลักนี้ "ส่อไปในทางกามารมณ์ชัดเจน") ขอขอบคุณ คห.45 ที่ช่วยโพสต์รูปครับ ^ ^ http://blogs.ucls.uchicago.edu/apeh/files/2008/10/bernini-st-theresa.jpg แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 13:44:45 จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 13:43:01 ]

ความคิดเห็นที่ 82 อยากไปเที่ยวจัง จากคุณ : Motif - [ 14 พ.ค. 52 21:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 83 จัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona) เป็นจัตุรัสรูปรียาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามกีฬาของโรมันโบราณเมื่อคริสตศตวรรษที่ 1 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของผลงานศิลปะแบบบาโรกหลากหลายรูปแบบ http://www.carpeoccasio.com/italy/images/navona1.JPG จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ด้านซ้ายของจัตุรัสนาโวนา คือที่ตั้งของโบสถ์เซนต์แอกเนสอินอะโกนี (Sant'Agnese in Agone) จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ทางด้านเหนือของจัตุรัสคือ น้ำพุเนปจูน (Fontana del Neptuno) จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ทางด้านใต้ของจัตุรัสคือ น้ำพุโมโร (Fontana del Moro) http://image02.webshots.com/2/4/71/50/2679471500096561430hlnDLJ_fs.jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:38:09 ]

ความคิดเห็นที่ 87 น้ำพุจตุมหานที (Fontana dei Quattro Fiumi) ตั้งอยู่กลางจัตุรัสนาโวนา เป็นผลงานชิ้นเอกของจานลอเรนโซ เบร์นินี สื่อถึงแม่น้ำสายใหญ่ของโลก 4 สายจาก 4 ทวีป ตั้งอยู่ฐานของเสาโอเบลิสก์ http://image10.webshots.com/10/6/17/64/2185617640087620624rUpNIg_fs.jpg แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 23:50:38 จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:47:22 ]

ความคิดเห็นที่ 88 รายละเอียดของน้ำพุจตุมหานที จากคุณ : Bowling Bash - [ 14 พ.ค. 52 23:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ตัวแทนแม่น้ำดานูบ จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:00:46 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ตัวแทนแม่น้ำคงคา จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ตัวแทนแม่น้ำไนล์ จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ตัวแทนแม่น้ำริโอเดอพลาตา จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 93 บนยอดเสาโอเบลิสก์ คือ นกเขาคาบกิ่งมะกอก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลปามฟิลี (Pamphilj) ของสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 http://lh5.ggpht.com/_oX9r3KrcA9U/RzCltAyUZoI/AAAAAAAAJDU/tJrXcdKZKR4/P1000483.JPG จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 94 สะพานเทวทูต เป็นสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ มุ่งตรงสู่กัสเตลซานตานเจโล สองข้างทางประดับด้วยรูปสลักเทวทูตฝีมือเบร์นินี จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 95 กัสเตลซานตานเจโล (Castel Sant' Angelo) แรกเริ่มเป็นปราสาทที่จักรพรรดิเฮเดรียนแห่งโรมันสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระองค์เองและพระราชวงศ์ ทว่าสร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ.139 หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ต่อมาจักรพรรดิออเรเลียนผนวกปราสาทเข้ากับกำแพงเมือง และต่อเติมให้เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งโรม ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 10 ปราสาทแห่งนี้เป็นทั้งที่ประทับและที่หลบภัยของสมเด็จพระสันตะปาปา รวมทั้งเป็นคุกที่เคยใช้คุมขังกาลิเลโอ กาลิเลอี จนกระทั่ง ค.ศ.1870 รัฐบาลอิตาลีได้ใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นค่ายทหาร ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:32:09 ]

ความคิดเห็นที่ 96 บนยอดปราสาทเป็นที่ตั้งของเทวรูปสำริดรูปเทพมิคาเอล ซึ่งมีที่มาจากใน ค.ศ.590 เกิดโรคระบาดลุกลาม สมเด็จพระสันตะปาปาทรงนิมิตเห็นเทพมิคาเอลปรากฏเหนือปราสาทและประกาศการยุติของโรคระบาด จึงทรงรับสั่งให้สร้างเทวรูปเพื่อตั้งยอดปราสาท ซึ่งรูปสลักเดิมเป็นหินอ่อนที่สร้างโดยราฟฟาเอล ดามอนเตลูโป ต่อมาในคริสตศตวรรษที่ 18 ได้เปลี่ยนเป็นเทวรูปสำริดที่สร้างโดยปิเอเตอร์ ฟาน แวร์ชัฟเฟลท์ ดังที่เห็นในปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 00:40:41 จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เทวรูปหินอ่อนรูปเทพมิคาเอลที่เคยตั้งอยู่บนยอดปราสาท ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ลานปราสาท จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 98 บริเวณลานปราสาทที่ตั้งเทวรูปมิคาเอลองค์เดิม จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ลานปราสาทจัดแสดงอาวุธโบราณไว้มากมาย โดยเฉพาะเครื่องเหวี่ยงก้อนหิน จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ทางเดินภายในปราสาท จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ห้องเก็บสมบัติ จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ทางเดินที่ประดับด้วยภาพปูนเปียก จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ทิวทัศน์ของกรุงโรมมองจากยอดปราสาท โดมทางซ้ายคือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แนวกำแพงสีแดงตรงกลางมีทางลับที่ชื่อว่า Passet di Borgo หรืออิลพาสเซตโต (Il Passetto)  เชื่อมระหว่างปราสาทกับนครรัฐวาติกัน มีความยาว 800 เมตร แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 01:02:46 จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 00:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 104 แนวกำแพงที่มีอิลพาสเซตโตอยู่ข้างใน จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 01:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ประตูทางเข้าทางลับ แน่นอนว่าปิดไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 01:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ชอบรูปนี้ ^ ^ http://lnx.romedailyphoto.com/images/20090203231647_castelsantangelo-(1-of-1).jpg จากคุณ : Bowling Bash - [ 15 พ.ค. 52 01:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ยอดไปเลยคุณ Bowling Bash ทั้งภาพและข้อมูล ขอบคุณมากเลยค่ะ :) จากคุณ : .melonica. - [ 15 พ.ค. 52 03:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ ^___^ จากคุณ : Lovely Sweets - [ 15 พ.ค. 52 04:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขอบคุณมากๆ ครับ ภาพชัดเจนดีจริงๆ จากคุณ : boombasticguy - [ 15 พ.ค. 52 10:30:46 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เหมือนไปเที่ยวเลยแฮะ ชักอยากดูหนังเรื่องนี้แล้วสิ จากคุณ : Motif - [ 15 พ.ค. 52 15:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ขอบคุณที่เอาภาพสวยๆมาลงให้ดูค่ะ อ่านหนังสือจบไปหลายปีแล้วเกือบจะจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ไปดูหนังมาแล้วเมื่อวาน ภาคนี้ทำบทดีกว่าภาคที่แล้วนะ แต่ยังไงก็ยังว่าหนังสือสนุกกว่าอยู่ดีล่ะ ^^" จากคุณ : chibi-sheep - [ 16 พ.ค. 52 12:45:53 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ขอบคุณที่เอาภาพมาให้ดูครับ ชอบมาก จากคุณ : natthasak - [ 16 พ.ค. 52 18:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 113 คุ้มค่า การรอคอย.... (ขอบคุณที่หาภาพมาประกอบให้อ่านหนังสือง่ายขึ้นครับ) จากคุณ : mr.btk (mr.btk) - [ 21 พ.ค. 52 22:03:28 ]