CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; "Star Trek" … จักรวาลมิติใหม่ หัวใจดวงเดิม

      เกรด A (38 คน)
      เกรด B (2 คน)
      เกรด C (0 คน)
      เกรด D (1 คน)

     92.68%
      เกรด A (38 คน)
     4.88%
      เกรด B (2 คน)
     0.00%
      เกรด C (0 คน)
     2.44%
      เกรด D (1 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 41 คน


    แม้ว่าหมู่นี้ ฮอลลีวู้ดเริ่มจะพยายามสร้างสูตรสำเร็จใหม่ๆขึ้นมาเพิ่มอีกแขนงหนึ่งด้วยการ พยายามจะมีโครงการสานต่อหนังที่เคยได้รับการสร้างมาแล้ว หรือที่เราเรียกมันสั้นๆว่า “รีเมค” ..และก็เป็นแผนการที่หวังเป้าสำคัญไว้ก็คือ การทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด เพราะเข้าใจว่าของเก่าที่เคยว่าดี ว่ามีคลาส(สิค) ก็ต้องติดอยู่ในใจใครต่อใคร หรือจะสร้างแฟนกลุ่มใหม่ที่เคยได้ยินชื่อกันมา ก็ว่ากันไป

    แต่ในแนวทางหนึ่งที่มีกรอบคำว่า รีเมค กำหนดตั้งต้นเอาไว้ อย่างเช่น... โครงการนำหนังเก่า มาตีความเล่าใหม่ คือ หนึ่งในแนวทางที่กำลังมา และกำลังโดน ...เพราะไม่ใช่แค่จะเป็นการชุบชีวิตให้กับหนังที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความสำเร็จอย่างสูงสุด ก่อนจะร่วงลงมาด้วยเวลาที่ร่วงโรย หรือ(ส่วนมาก)จะเพราะความพยายามสานต่อเรื่องราวใหม่ๆลงไปเป็นภาคๆ จนหาทางจะไปต่อไม่ได้ (หรือหากบอกว่า ออกทะเล ทะลวงมหาสมุทร ก็คงจะถูก!) แต่มันยังเป็นวีธีการหาเงินอันชาญฉลาด ที่ถ้าทำได้ดีๆ ก็มีสิทธิ์ขายความสดใหม่ ได้อีกยาวนาน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในกรณีนี้ กับหนังชุดมนุษย์ค้างคาว ที่ยิ่งเข็นภาคใหม่ออกมาเมื่อไหร่ ก็ยิ่งจะมีแต่ถูกจับตามองในแง่ดีมากยิ่งขึ้น

    ฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องแปลกใจใดๆทั้งสิ้น ถ้าเวลาแถวๆนี้ เราจะเห็นหนังใหม่ ในหน้าตาเคยคุ้นคลอดตามออกมาเป็นกองทัพใหญ่ๆ (โดยที่นี้ ยังไม่รวมกับพวกหนังภาคต่ออีกบานตะไท) ...เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะคนสร้างเป็นประการแรกหรอก แต่เป็นคนดูเราๆนี่เอง ที่ตัดสินใจให้มันเป็นไปอย่างนั้นเอง เหอๆๆๆๆ

    และในกรณีเดียวกันนี้ ..มันก็กำลังจะก่อให้เกิด ตำนานบทใหม่ ในโลกภาพยนตร์ อีกแล้ว!!! ...ซึ่งคงเป็นตำนานที่หลายๆคนคงเคยคุ้น และอีกหลายๆคน ย่อมไม่เคยรู้จัก ...แต่จากนี้ต่อไป โลกทั้งใบ จะเกิดความใส่ใจต่อตำนานบทนี้ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

    ตำนานที่ว่านี้ มันมีการให้ชื่อไว้สั้นๆว่า “Star Trek” ...ตำนานแห่งพรมแดนด่านสุดท้าย ที่ไม่มีวันตาย ..และจะอยู่เป็นอมตะได้ ยืนยาวและรุ่งเรือง...

    หากเพียงตราบใด ความยืนยาวและรุ่งเรืองที่ว่า อยู่ในมือของคนที่สามารถทำได้มากกว่า แค่การแยกนิ้วชี้และกลาง ออกจาก นางและก้อย ..หรือจะให้อย่างน้อยๆก็รู้ดีว่า เสน่ห์ของ Star Trek มันมีมากกว่า แค่ให้เห็นสัญลักษณ์การทำมือที่แปลกประหลาดอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตำนานบทนี้เรื
    ่อยมาเพียงเท่านั้น



    การเลือก “เจ.เจ. อับรามส์” มารีบิวด์ (Rebuild) และทรีบิวต์ (Tribute) อย่างเสร็จสรรพ ให้กับตำนานหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่เหมือนว่า อนาคตแห่งการกลับมาจะได้ดับวูบเหลือเพียงแสงสลัวจางๆที่ปลายอุโมงค์มาก่อนแล้ว เช่นนี้ ...ต้องถือเป็นการเลือกที่ชาญฉลาดอย่างถึงแก่น เพราะในเวลานี้ ถ้าให้ถามถึงชื่อของนักสร้างหนังรุ่นใหม่ ที่ไฟแรงสูง และยังดูน่าไว้ใจได้ในการทำอะไรก็ตามที่เล็กหรือใหญ่ แต่ได้คุณภาพ ..ชื่อๆนั้น ก็ควรจะต้องมี อับรามส์ อยู่ในลิสต์ตัวแดงนั้นด้วยอย่างเบ็ดเสร็จ

    ยิ่งได้มากอปรกับการที่ เขายังคือ เพชรน้ำหนึ่ง คนหนึ่งแห่งวงการทีวีซี่รี่ส์ฮอลลีวู้ด ด้วยอีกประการในที่นี้ ...ก็ยิ่งฉายแววให้เราเห็นภาพของการสร้างตำนานชุดนี้ออกมาแบบซี่รี่ส์ ..ที่แม้จะมีเรื่องเกิดและจบในตอนแบบหนังโรงทั่วไป แต่เอาเข้าจริง มันก็คงต้องมีปลายเปิด เหลือเผื่อเอาไว้ให้กับ การกลับมาในครั้งต่อๆไป หากผลที่ภาคก่อนหน้าทำมา มันสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นที่ถูกใจของมหาชน

    และนั่นก็คือ เรื่องที่ต้องทำใจยอมรับให้ได้ สำหรับคนดูหนังอย่างเราๆด้วยกัน ..ที่จะต้องเตรียมเผื่อใจไว้พร้อมพบกับ ตำนานบทนี้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง ...หากที่ทุกครั้ง มันล้วนแต่สำเร็จอย่างงดงาม ไม่ว่าจะลดน้อย มากขึ้น หรือเทียบเท่ากันกับที่ “Star Trek” ฉบับ Begin เรื่องนี้กำลังเป็นอยู่



    “Star Trek” ณ Begin ..เริ่มต้นจากการฉายภาพเหตุการณ์เมื่ออดีต ของชายหนึ่งคนที่กล้าหาญ กล้าชน และกล้าแลก ..แม้ทว่าเขาจะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งในฐานะผู้นำ เพียงระยะเวลา 12 นาที ..แต่สิ่งที่เขาทำใน 12 นาทีนั้น ล้วนแต่ช่วยชีวิตคนได้นับพัน นับหมื่น และเป็นการช่วยที่ไม่หวังผลตอบแทน หากยอมแลกชีวิตตัวเอง เพียงเพื่อจะได้รู้แค่ว่า เขาคงจะต้องกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกชายที่เพิ่งจะแรกคลอด ได้รับรู้สิ่งที่เขาทำไว้ครั้งนี้ เท่านั้นเอง

    แล้วหนังก็ตัดฉับ...มาสู่การเล่าเรื่องราวชีวิตของสองตัวละครเอก แต่ครั้งเยาว์วัย จนไซร้เติบโตขึ้นมาเป็น หนึ่งหนุ่มเลือดร้อน และอีกหนึ่งหนุ่มเลือดเย็น ...และคนสองคนนี้ ในอีกไม่ถึง 2 ชั่วโมง(ของหนัง) เขาก็ต้องยอมจับมือมาเป็นมิตรกัน เพื่อจะช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต(ตั้งแต่เกิดมา)ของพวกเขาไปจนได้

    เขาสองคนนี้ มีนามว่า “เจมส์ ที เคิร์ก” และ “สป๊อค” ..อันเป็นตัวละครที่เคยเป็นที่จดจำที่สุดของสาวก Star Trek (ที่เรียกขานว่า Trekky) มาแต่เมื่อครั้งยังเป็นเพียงหนังชุดทางทีวี ...และครั้งนี้เขาก็กลับมาอย่างเป็นหนุ่มแน่นๆ และถูกขายในภาพลักษณ์ที่หล่อเหลาเอาสาวสลบไสลกันไปเลยทั้งบาง

    แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า หน้าตาของพระเอกคู่นี้ จะเป็นจุดขายสำคัญของหนัง ..เพราะเอาเข้าจริง ความหล่อก็กินกันแทบไม่ได้หรอก (โดยเฉพาะคนที่หน้าตาดีอยู่แล้วอย่างผม เห็นเป็นเฉยๆ ฮ่าฮ่าฮ่า) ...แต่ความสนุกของการพบกันแบบแรกเป็นคู่ปรับ ของพวกเขานี่สิ คือ สิ่งที่น่าสนใจ

    เพราะ จากแรกเริ่มเดิมทีเมื่อครั้งเป็นหนังชุดในทีวี ..ชาว Trekkie ย่อมรู้ดี ว่าสองคนนี้ เขาซี้ย่ำปึ้กกันขนาดไหน...เรียกว่ามองตาก็รู้ใจ มองตับไตก็เห็นรักแท้ (เย้ย! เพลงของน้ำชา มาเกี่ยวอะไรด้วย?? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า)

    แต่เมื่อหนังที่เป็นการรีบิวด์เช่นนี้ ..เลือกที่จะสร้างอุปสรรคความซี้ เอาแต่แรกเจอกันจั๋งซี้ คนดูอย่างเราๆจั๋งซี้มันก็เลยต้องถอน (เอาเข้าไป ปอยฝ้ายก็มากับเขาด้วย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า)

    แต่นั่นก็คงจะถือเป็นนิมิตรหมายอันดีอย่างหนึ่งของหนังตระกูลเทรคชุดนี้ ..ที่แต่แรก ก็เคยเป็นที่เข้าใจว่ามันคือหนังทริลเลอร์ ที่เน้นการพูดๆคุยๆ พร้อมกับขุดคุ้ยความจริงในเรื่องที่สั่นคลอนจักรวาล แต่เมื่อคุ้ยไปจนถึงต้นตอของมัน ก็แค่เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อย และใครตั้งต้นเป็นศัตรูเห็นต้องยับย่อย เสร็จแล้วก็ปิดจ๊อบลงไปทีละเรื่องๆ แบบหนังสือตอนเดียวจบอยู่ร่ำไป

    เพราะฉะนั้นแล้ว การกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอันน่ายกย่องของหนังภาคเริ่มต้นภาคนี้ ..ที่กล้าจะหักไม้แก่ อันแข็งโป๊ก และเป็นเสาหลักที่ยึดมั่นของบรรดาสาวก Trekkie เรื่อยมา ...เพราะในเมื่อมันดัดไม่ได้ แล้ว การใช้เลื่อยไฟฟ้าอันทันสมัยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ..หากคาดหวังว่าจะขายหนังเรื่องนี้ ในเวลาที่ผู้คนกำลังอึนๆ เอื่อยๆ กับหนังตะลุยจักรวาลเช่นนี้เป็นอย่างยิ่งๆ แล้วโดยเฉพาะกับความศรัทธาที่ต่ำเตี้ยของชาวเทรคกี้ ด้วยกันเองอีก (อันเคยหมดไปจากหนังภาคต่อที่ยิ่งทำ ..ก็ยิ่งถอย) ที่ต้องเรียกคืนมาให้ได้ ถ้าต้องการจะต่อลมหายใจให้กับตำนานบทนี้อย่างจริงจัง

    แน่นอนที่ใครบางคนที่เคยเป็นแฟน อาจจะรู้สึกมึนๆกันบ้าง ที่แรกเริ่มของตัวหนังภาคใหม่ มาแนวแบบว่าขัดๆในความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อ พระเอกทั้งสอง ..ประหนึ่งว่าพวกเขา แค่ยืมชื่อตัวละครที่เป็นที่จดจำเหล่านี้มา หากใส่คาแรกเตอร์ใหม่ลงไปให้เห็นเป็นเช่นวัยรุ่นยุคใหม่สมัยปัจจุบันก็เท่านั้น ...เพียงแต่เมื่อมันมาถึงจุดๆหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ดำเนินมาเข้าให้ ความรู้สึกเก่าๆที่ เทรคกี้ คงเคยคุ้น ก็ได้คืนกลับมาสนองตอบความพอใจของพวกเขาได้
    และมันก็กลายเป็นความลงตัวระหว่างปัจจุบัน(หนังโรง) กับอดีต(หนังชุดทีวี) ที่มารวมร่วมกันได้อย่างแนบเนียน

    ซึ่งไม่ว่าจะให้ถือว่านี่เป็น การทรีบิวต์ ให้ความเคารพต้นฉบับที่เคยเป็นมา หรือว่ากำลังเกิดความพยายามจะขยายฐานแฟนๆให้มีพื้นที่ใหญ่โตมากขึ้น ...ทั้งสองทาง ก็ล้วนแต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เพราะมันสามารถตอบสนองความต้องการ ของคนทั้งรุ่นเก่า และใหม่ ได้อย่างไม่ขัดขืน ..แถมยังจะจูนเอาคนทั้งสองรุ่น ให้เข้ามาสนุกกับหนังเรื่องเดียวกัน พร้อมๆกันได้ อันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆของการทำหนังอยู่แล้ว

    หากแต่สำหรับระดับ เจเจ ผู้เคยสร้างความตกตะลึงให้กับวงการทีวี ด้วยซีรี่ส์หนังชุดที่หักหาญทุกทฤษฎีการเล่าเรื่องของหนังบนโลก อย่าง “Lost” มาก่อน ..ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถือว่าเกินความสามารถของเขาเท่าไหร่ เพราะนอกเหนือจากการเก่งที่จะเล่าเรื่องอย่างชวนติดตามลามไปถึงติดใจได้สนุก กับสิ่งที่เป็นโคตรของการหักมุม มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในผลงานที่ผ่านๆมาของเขา

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดใน Star Trek จึงไม่ใช่ความแปลกใหม่อะไรสำหรับเขา ...หากกับคนดูที่ไม่เคยรู้จัก เจเจ มาก่อน ก็คงจะแอบอึ้งเข้าให้ไม่มากก็น้อย



    ------ อ่านต่อความเห็นถัดไปครับ ------

    จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN - [ 18 พ.ค. 52 18:28:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com