ความคิดเห็นที่ 1 กลุ่มเป้าหมาย - Target กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ชมที่คุณต้องการให้เข้ามาดูรายการของคุณ ต้องระบุได้อย่างชัดเจนว่า เป็นรายการเพื่อใคร เช่น รายการเด็ก ซึ่งระบุได้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึง รายการข่าว ถ้าจะให้เพิ่มเรตติ้ง คุณก็ต้องเข้าใจก่อนว่า รูปแบบของรายการจริงๆ เป็นคนกลุ่มใดเข้ามาดู เช่น ข่าวเช้า ก็เพื่อให้คนที่ตื่นไปทำงานได้ดูข่าวสารต่างๆความเป็นไปอย่างรีบเร่ง แต่พิธีกรกลับอ่านข่าวไปคุยกันไป หรือ สรุปข่าวก็เพื่อให้คนที่ไม่มีเวลาได้ติดตามข่าวทั้งวัน หรือ ทั้งสัปดาห์ ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญๆ ในเรื่องที่สนใจ เช่น สรุปข่าวเศรษฐกิจฯ สรุปข่าวการเมือง หรือ เหตุบ้านการเมือง ต่างก็เป็นโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในกลุ่มที่ไม่มีเวลาติดตามข่าว มากนัก เป็นต้น การกำหนดเป้าหมายของโปรแกรมได้อย่างชัดเจน จะทำให้สามารถระบุ เรตของรายการได้ชัดตามไปด้วยว่า ต้องการจัดหมวดหมู่ไว้ในกลุ่มใด ทั้งนี้บางรายการที่เอาเรื่องต่างๆมาผสมเข้ามาในรายการ ส่วนมาก มีปัญหาทางด้านการจัดเรตรายการ ต้องเปลี่ยน หรือ พิจารณากันบ่อยครั้งถึงเนื้อหาในการออกอากาศ และ เปลี่ยนแปลงบ่อย จนผู้ชมไม่สามารถให้คำแนะนำได้จริงๆว่า เหมาะหรือไม่เหมาะกับกลุ่มวัยใด จะให้เด็กดูก็ไม่กล้า เป็นต้น การที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้การวางแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือ การวางแผนกลยุทธ์ ในการดึงคนเข้ามาดูสามารถทำได้ง่าย และ หาทางทำให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย แต่บางโปรแกรมที่ไม่ชัดเจน ก็จะต้องเสียเงิน เสียเวลาในการทุ่มเท ทรัพยากรที่มีอยู่ กระจายให้เข้าถึงกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม ซึ่งทำให้เสียเงินมากกว่าความจำเป็นไป เช่น ถ้าพูดถึงละครตอนกลางคืนของทุกวัน มีการแข่งขันกันมาก เนื่องจาก เป็นช่วงเวลาที่มีคนดูโทรทัศน์มาก (Prime Time) ทั้งนี้ การที่จะได้เรตติ้งมากที่สุด ย่อมมีโอกาสมากที่สุด แต่ถ้านักวางแผนกลยุทธ์ให้กับรายการแล้ว จะมีคำถามมากมายที่ต้องตอบ จากช่วงเวลาของรายการที่ได้กำหนดลงไป ไม่่ในช่วงเวลานั้นจะมีคนดูมากหรือน้อยก็ตาม ก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้คือ จากคุณ : wbj - [ 25 พ.ค. 52 22:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1. ในช่วงเวลาดังกล่าวมีคนประเภทใดบ้างที่ดูโทรทัศน์ ? --- ถ้าตอบได้ว่ามีคนประเภทใดบ้างที่ดู ก็จะสามารถวางแผนได้ว่าจะผลิตรายการประเภทใดให้เหมาะกับกลุ่มคน ทั้งนี้ ในโปรแกรมวิเคราะห์ จะมีลักษณะเฉพาะของบุคคลให้วิเคราะห์ เช่น เพศ ช่วงอายุ การศึกษา รายได้ต่อเดือนของทางบ้าน สภาพสมรส เป็นต้น การวิเคราะห์จากโปรแกรม จึงได้ตามลักษณะเฉพาะของบุคคลเท่านั้น และ ต้องทำการวิเคราะห์ในช่วงเวลาของทุกสถานี เพื่อให้เห็นภาพรวมจริงๆ 2. คนแต่ละประเภท ทำไมถึงมาดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานี้ ? --- ถ้าสามารถแยกกลุ่มของคนแต่ละประเภท ออกมาได้ จะพบว่า มีคนที่ดูมากน้อยเพียงใดในแต่ละกลุ่ม ทำให้สามารถกำหนดลักษณะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็น คนอายุ 15 ปีขึ้นไป คุณ อาจจะแยกวิเคราะห์ให้เห็นว่าถึง เพศชายและหญิง ที่มีแต่ละช่วงอายุ แตกต่างกันเป็นขั้นๆ เช่น 15-19 ปี, 20-24 ปี, 25-29 ปี, 30-34 ปี, 35-39 ปี, 40 ปีขึ้นไป โดยมีคนดูมากน้อยในแต่ละกลุ่มอย่างไร ทั้งนี้ ผลรวมของจำนวนคนในแต่ละกลุ่ม ย่อมต้องเท่ากับ คนอายุ 15 ปีทั้งหมด แต่คุณจะเห็นถึงภาพที่ละเอียดมากขึ้น ทั้งช่วงอายุ และ เพศ เป็นต้น 3. อะไรเป็นสาเหตุ ที่ให้คนแต่ละประเภทดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานี้ ? --- ซึ่งถ้าแยกกลุ่มของคนแต่ละประเภทที่ดูโทรทัศน์ได้แล้ว คุณย่อมมีคำถามเพิ่มมากขึ้นว่า อะไรเป็นสาเหตุ ทั้งนี้ ก็ต้องต่อยอดวิเคราะห์ให้เห็นถึงสาเหตุของจำนวนคนในแต่ละกลุ่มในแต่ละสถานี ทั้งนี้ อาจจะต้องเพิ่มแบบสอบถามให้กับคนในกลุ่มเป้าหมายในสิ่งที่คุณต้องการเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะสามารถอธิบายถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ ไม่ว่า ลักษณะหรือพฤติกรรมต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีผลพฤติกรรมการดูโทรทัศน์ ทั้งสิ้น จากคุณ : wbj - [ 25 พ.ค. 52 22:30:22 ]

ความคิดเห็นที่ 3 4. นิสัยส่วนตัวโดยรวมของคนแต่ละประเภทเป็นอย่างไร ?  พฤติกรรมโดยปกติของคนแต่ละประเภทเป็นเช่นใด ? --- ผมเกริ่นไว้แล้วว่า การสอบถามเพิ่มเติมมาขึ้น คุณย่อมต้องสอบถามให้ลึกถึง นิสัยส่วนตัวโดยรวมของกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงพฤติกรรม โดยรวมทั้งนี้ การทำแบบสอบถามเพิ่มเติม ถึงคุณลักษณะเหล่านี้ จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมทั้งหมด ไม่ว่าการโฆษณา หรือ การวางแผนของโปรแกรม คุณลักษณะที่มีความเชื่อมโยงกับการวิเคราะห์ก็เช่น นิสัยที่ชอบออกไปสังสรรว่ามีความถี่มากน้อยเพียงใด ในช่วงเวลาปกติ หรือ ในช่วงเวลาเทศกาล เช่น ช่วงเดือนธันวาคม ถึง มกราคม เป็นต้น เพราะ การออกไปสังสรร ก็เท่ากับว่าเขาจะหายไปจากการดูโทรทัศน์, หรือแม้นแต่ พฤติกรรม การชมโทรทัศน์ ที่ชอบเปลี่ยนช่องในขณะชมรายการ ต้องเจาะให้ถึงในเรื่องของ ถ้ารายการอยู่ในช่วงเรียบง่าย คุณจะเปลี่ยนไปดูช่องอื่นหรือไม่ หรือ หากโทรทัศน์สามารถมีช่องเล็กที่ดูได้ว่าช่องอื่นๆกำลังมีเรื่องใด คุณจะเปิดช่องเล็กๆไว้เพื่อดูช่องอื่นๆหรือไม่ หรือ เขาชอบดูหลายๆช่องในเวลาเดียวกันหรือไม่ หรือ บางคนก็มีพฤติกรรมนั่งแช่ โดยไม่เปลี่ยนแปลงช่องใดๆเลยก็มี ทั้งนี้ยังมีพฤติกรรมอีกหลายอย่างที่มีผลต่อการชมโทรทัศน์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งต่างส่งผลให้เรตติ้งมีการแกว่งหรือคงที่ 5. ถ้าเขาไม่ดูโทรทัศน์ในช่วงนี้ เขาจะดูโทรทัศน์ในช่วงเวลาใดบ้าง ? --- นอกจากจะดูลักษณะของกลุ่มตัวอย่างแล้ว พฤติกรรมการดูโทรทัศน์ ของแต่ละกลุ่มก็มีผลต่อการวางแผนกลยุทธ์ ด้วย หากเราพบว่า รายการนั้น มีกลุ่มเป้าหมายดูก็จริง แต่กลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้ดูโทรทัศน์ แล้วเขาไปดูในช่วงใดบ้าง ในการวิเคราะห์ ต้องวิเคราะห์โดยหาการดูจากกลุ่มเป้าหมายของรายการเรา ให้ไดเสียก่อน จากนั้น ก็เอากลุ่มเป้าหมายที่เราได้นั้น ไปหักออกจาก การหาผลครั้งต่อไปว่า กลุ่มเป้าหมายของเราที่ไม่ดูรายการเรานั้นอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งในโปรแกรมวิเคราะห์จะสามารถทำเช่นนี้ได้อยู่แล้ว แต่น้อยคนนักที่จะทำ เมื่อ ทั้งนี้ความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ เป็นสิ่งที่จะนำเอามาประยุกต์ใช้กับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รายการ ทั้งนี้ ก็เพื่อเอาโฆษราของรายการ ไปวางในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายดูโทรทัศน์ ณ เวลานั้นๆนั่นเอง จากคุณ : wbj - [ 25 พ.ค. 52 22:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 6. ทำอย่างไรเพื่อให้คนประเภทเดียวกันนี้ เข้ามาดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานี้ ? --- เป็นคำถามที่ถามเพื่อชี้ให้เห็นแนวความคิดว่า ถ้าเรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราไม่ดูรายการของเรา เราจะทำอย่างไรให้เขามีความสนใจที่จะดู บางที เขาอาจจะยังไม่เคยดูรายการของเราเลยก็ได้ หรือ บางที เขาอาจจะไม่รู้ว่ารายการของเรามีอยู่ ซึ่งเป็นรายการที่เขาน่าจะพึงพอใจก็ได้ ดังนั้น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดขึ้นและ ต้องทำให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของรายการด้วย 7. ทำไมคนบางคนถึงไม่ดูรายการของเรา ? ทำไมคนบางคนถึงชอบรายการคู่แข่ง ณ เวลาเดียวกัน ? --- การที่คนดูไม่ดูรายการของเรา หรือ กลับไปดูรายการของคู่แข่งนั้น ต้องนำข้อมูลต่างๆ เข้ามาวิเคราะห์ให้เห็นว่า รายการของเรานั้นมีจุดแข็ง หรือ จุดอ่อนเพียงใด อาจจะใช้การสอบถามเพื่อหาสาเหตุ และ นำไปปรับปรุง หรือ สร้างกระแสของรายการได้ เช่น ไม่ชอบ ดารานำฝ่ายหญิง ก็มักจะทำเหตุให้มีข่าวซุบซิบเพื่อดึงคนให้เข้ามาสนใจ การใช้ประเด็นย่อยๆ หรือ ประเด็นกำกวม ก็เป็นกลยุทธ์ส่วนหนึ่งในการดึงให้คนเข้ามาสนใจนักแสดง และ ทำให้จำนวนคนเข้าดูรายการมากขึ้นตามลำดับด้วย เป็นต้น จากคุณ : wbj - [ 25 พ.ค. 52 22:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดหรือป่าวค่ะ หายไปนานเลย ขอบคุณมากๆๆ ค่ะ ดีใจจังมีถังความรุ้มาให้กันอีกแล้ววว จากคุณ : phokar - [ 25 พ.ค. 52 22:47:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ ได้ความรู้อีกแล้ว จากคุณ : SkyWalkers - [ 25 พ.ค. 52 23:00:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ได้ปาดครับ ผมง่วงมากก็เลยไม่ได้เขียนต่อนะครับ... ------------------------------------------------------------ วันออกอากาศ - On-Air Date วันที่ีออกอากาศ มีผลต่อเนื้อหาสาระของโปรแกรม เนื่องจาก บางวันจะเป็นวันที่น่าเบื่อสำหรับคนทำงาน เช่น วันพุธ หรือ พฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันกึ่งกลางของสัปดาห์ คนทำงานกันมาเครียด ก็อยากได้หนังหรือรายการที่คลาดเครียดได้บ้าง ถ้าเป็นวันศุกร์ คนดูก็จะหายไปบางส่วนเนื่องจากมีการออกไปสังสรรค์โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงาน 25-39 ทั้งนี้ ก็มีคนบางส่วนกลับบ้านต่างจังหวัดไม่ได้ดูรายการบ้างเป็นต้น แต่ถ้าดึกๆ วันศุกร์ กลับมีคนเข้ามาดูโทรทัศน์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากบางคนไม่ต้องทำงานในวันเสาร์ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนก็อาจจะนอนดึกกว่าปกติด้วยก็มี วันธรรมดาถ้าช่วงเวลากลางวันก็จะมีแต่แม่บ้านดูโทรทัศน์ แต่ในช่วงของปิดเทอม ก็จะมีคนดูในช่วงนักเรียน นิสิต นักศึกษาเพิ่มเข้ามาบ้าง ถ้าเสาร์และอาทิตย์ คนดูก็เพิ่มมากขึ้นโดยเฉลี่ย แต่ถ้าดึกๆ ในช่วงวันอาทิตย์ กลับมีจำนวนคนลดลง ซึ่งอาจจะเกิดจากการกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ หรือ ต้องเข้านอนแต่เช้าเพื่อต้องการตื่นให้เช้ากว่าปกติ ไปผจญรถติดยามเช้าวันจันทร์ ทั้งนี้ จะบอกว่า วันอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ จึงต้องมาดูเรื่องเวลาของการลงรายการอีกด้วยมาประกอบซึ่งจะอธิบายในส่วนต่อไป จากคุณ : wbj - [ 26 พ.ค. 52 23:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เวลาที่ออกอากาศ - Prime Time? เวลาที่ออกอากาศในแต่ละรายการ มีผลต่อกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ช่วงเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น ของวันธรรมดา ก็จะแตกต่างไปกับ ของวันเสาร์อาทิตย์ พฤติกรรมการดูของแต่ละช่วงก็แตกต่างกัน ทั้งนี้ การใช้โปรแกรมเข้ามาวิเคราะห์หาพฤติกรรมการดูโทรทัศน์ของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลาจึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติในประชากรทั้งหมด จะพบว่า ช่วงเช้าจะมีคนเข้ามาดูโทรทัศน์ และจะหายไปในช่วงบ่ายเพื่อออกไปทำงาน ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาของแม่บ้านและคนที่อยู่บ้านกลางวัน ไปจนถึงเที่ยงก็อาจจะมีคนเริ่มเข้ามาบ้างเล็กน้อย ผมเดาว่าคนอาจจะกลับมาบ้านทานข้าวบางบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มคนในต่างจังหวัดนอกเขตเทศบาล และ ก็จะหายไปกว่าจะกลับมาอีกทีก็เย็นเลย เด็กนักเรียนกลับมาบ้าน พ่อบ้านกลับจากที่ทำงาน ก็จะมีคนเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลา Prime Time หรือ เวลาที่มีคนเข้ามาดูโทรทัศน์ มากที่สุดในช่วงของวันนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่วง 6 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม และ หลังจากนั้นคนดูโทรทัศน์ ก็จะเริ่มลดน้อยลงไป หลังตี 1 ก็แทบจะไม่มีคนดูเลยทีเดียว ลักษณะเช่นนี้ เป็นมานานมาก ยกเว้นมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลหลังเที่ยงคืนในคู่ที่น่าดูจำนวนคนดูโทรทัศน์ และ เรตติ้งก็จะเริ่มพุ่งขึ้นมาอย่างมีนัยยะเลยทีเดียว ดังนั้น การหาเวลาให้เหมาะกับโปรแกรมที่ออกอากาศ หรือ หารายการที่เหมาะกับเวลาที่มีนั้น จึงต้องวิเคราะห์จำนวนคนในช่วงเวลานั้นๆให้ดีว่า กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ในช่วงของคนดูโทรทัศน์เวลาเช่นนั้นเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร จะได้เข้าใจ และ หารายการ หรือ จัดรายการให้เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ รายการก่อนหน้า และ รายการที่ต่อจากรายการเรานั้น ก็มีผล ทั้งนี้ หากรายการก่อนหน้าเรามีกลุ่มเป้าหมายที่ไม่แตกต่างกันมากนัก อานิสงฆ์ของโปรแกรมก่อนหน้าจะทำให้เกิดมีการ Flow In ของคนจากรายการก่อนหน้าดูรายการเราอย่างต่อเนื่องทำให้เรตติ้งเราดีตามไปด้วยในช่วงต้นรายการ หรือ หากรายการต่อจากเรามีคนชื่นชอบมากๆ ก็จะทำให้มีการ Flow Out เพิ่มขึ้น ในช่วงท้ายรายการก็อาจจะมีคนเข้ามาดูเพิ่มมากขึ้น จากการที่เขาต้องการเฝ้าดูรายการถัดจากเราไป หากมีสภาวะการ Flow In/Out อย่างมีนัยยะ ก็าต้องทำรายการให้น่าติดตามในช่วงแรก และ ช่วงท้ายให้มีความตื่นเต้นมากกว่า ช่วงกลาง แต่ช่วงกลางก็ต้องทำรายการในเชิงติดตามอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้รักษาจำนวนคนดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ทั้งนี้ บางรายการก็ใช้วิธีการใช้เวลาน้อยๆ อยู่ระหว่าง โปรแกรม 2 โปรแกรมที่มีเรตติ้งโดยปกติมาก และ สร้างเรื่อง เอาโฆษณาที่น่าติดตาม มาเป็นตัวดึงให้คนดูโทรทัศน์ ไม่เปลี่ยนช่องก็ทำให้รายการสั้นๆเหล่านั้น มีเรตติ้งสูงขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนมากนัก ก็มี จากคุณ : wbj - [ 26 พ.ค. 52 23:16:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ง่วงมากแล้วขอตัวนอนก่อนพรุ่งนี้ จะพยายามเข้ามาต่อ... จากคุณ : wbj - [ 26 พ.ค. 52 23:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาอ่านต่อ พร้อมกับบอกว่า ขอบคุณมากๆๆ นะค่ะ... จากคุณ : phokar - [ 27 พ.ค. 52 19:11:51 ]