ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วย ถ้ายังทำกันได้ชุ่ยๆ แบบนี้ ต่อไปสุจริตชนที่โดนขโมยสำเนาบัตรประชาชนไป ก็แย่สิ จากคุณ : s (scriptwriter) - [ 24 มิ.ย. 52 20:58:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอมา ก็จัดให้ จากคุณ : ในบัดดล - [ 24 มิ.ย. 52 21:10:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 โหวตคะ เห็นด้วยกะเจ้าของกระทุ้ จากคุณ : oofly - [ 24 มิ.ย. 52 21:16:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โหวตให้ครับ ให้กิ๊ฟตรง "วันหลัง  ว่าจะเอาสำเนาบัตร  ใส่หน้า โดราเอมอน  ไปซื้อของ  ดูซิ  จะผ่านมั๊ย.." 55555555+ จากคุณ : ปีหนึ่ง...เพื่อนกัน - [ 24 มิ.ย. 52 21:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ทำไม จำเลยไม่ฟ้องกลับบ้างว่า ร้านค้าสมคมคิดกับค้นร้ายในการรู้เห็นนทำธุรกรรมปลอม จากคุณ : grinny2545 - [ 24 มิ.ย. 52 21:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สงสัยแบบเดียวกับจขกท.เลยค่ะ คิดมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินข่าวนี้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเวลาต้องใช้สำเนาบัตรทำธุรกรรมอะไร เราจะขีดคร่อมแล้วเขียนกำกับไว้เลยว่าใช้เพื่ออะไร จากคุณ : ทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่านซิเรียส - [ 24 มิ.ย. 52 21:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แต่โดเรมอนทำธุรกรรมที่ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือไม่ได้ง่ะ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย??) จากคุณ : สะใภ้แห่งอาราธอร์น - [ 24 มิ.ย. 52 21:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แม่ของคุณเรย์เคยโดนตามทวงหนี้บัตรเครดิต พยายามยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าไม่เคยมีบัตร ธนาคารก็ไม่เชื่อ เจ้าหน้าที่แบงค์โทรจิก ด่า หยาบคายใส่ เช้า สาย บ่าย เย็น นานหลายเดือน.. บทเรื่องจะจบก็จบง่ายๆ ว่าระบบข้อมูลของทางแบงค์ทำงานผิดพลาด จากฐานข้อมูลลูกค้าเงินฝากประจำ ไปโผล่เป็นลูกหนี้บัตรเครดิตค้างชำระมหาศาล แบงค์ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอะไร นอกจากเลิกทวงแล้วก็บอกว่า เป็นปัญหาระบบ ไม่มีคำขอโทษซักคำ ไม่มีอะไรเลย แจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าเค้าก็เลิกทวงแล้ว ก็ให้มันจบๆ ไปเถอะ เป็นซะอย่างนั้น บ้านนี้เมืองนี้ เป็นผู้บริโภค ก็ต้องทำใจล่ะค่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าคุณเป็นคนผิด ก็โดนเละ แต่ถ้าคุณไม่ผิด ก็พยายามต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดให้ได้ ไม่งั้นคุณก็ต้องเป็นแพะ เพราะนายทุนไม่มีวันผิด ถึงผิดก็ไม่มีใครทำอะไร จากคุณ : คุณเรย์ - [ 24 มิ.ย. 52 21:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วเอกสารพอหลุดจากมือเราไปแล้ว   เราจะไปตรัสรู้ได้ไง   ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหนต่อ   เราจะไปปกป้องเอกสารเหล่านั้น  ต่อไป  อย่างไร นั่นนะสิ จากคุณ : ทอดน่อง - [ 24 มิ.ย. 52 21:46:31 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ฟ้องศาลร้านค้าผิด ไม่ใช่เราผิด เพราะคนขโมยเขาหลอกร้านค้า ไม่ใช่เราไปหลอก ไปเอามาจากไหนว่าเราจะผิด จากคุณ : blueboyhub - [ 24 มิ.ย. 52 22:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มันน่าจะใช้คู่กับบัตรประชาชน เลยด้วยซ้ำ  จะได้ไม่ต้องมาแอบอ้าง ถ้าร้านไหนละเลย ร้านนั้นก็ต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่จะมาขายของอย่างเดียว ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับที่จุดประเด็นนี้ขึ้นมา  นี่ยังไม่รวมธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ทอีกนะ ที่โดนโกงก็เยอะเหมือนกัน จากคุณ : kti - [ 24 มิ.ย. 52 22:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สงสัยมานานเหมือนกันค่ะ ยังงี้มันต้องโหวต จากคุณ : จอมโจร1412 - [ 24 มิ.ย. 52 22:18:38 ]

ความคิดเห็นที่ 13 12 คห. ขึ้นแนะนำ !! O_O ข้องใจกับประเด็นนี้เหมือนกันครับ - -" จากคุณ : เจ้าชายแห่งทะเล - [ 24 มิ.ย. 52 22:23:10 A:115.87.80.160 X: TicketID:151264 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รอดูข้อมูลทั้งสองด้านไปก่อนครับ อย่าเพิ่งด่วนสรุป เอาสำเนาบัตรที่เซนต์ชื่อไป ใช้แล้วเวลาลงชื่อในสัญญากับธนาคารทำยังไง เวลาใช้บัตรลงชื่อยังไง ถ้าปลอมลายเซนต์ แล้วเหมือนในสำเนาบัตรหรือเปล่า ถ้าปลอมลายเซนต์เราก็ไม่น่าจะต้องรับผิดชอบ ธนาคารก็เอาผิดเราไม่ได้ แต่ดูแล้วกรณีนี้แปลกๆ ทั้งใช้จ่าย และตอนใช้ซื้อรถผ่านไฟแนนซ์ได้ยังไงน่าสงสัย จากคุณ : BadmintonMan - [ 24 มิ.ย. 52 22:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เข้ามาโหวต จะรอดูผล แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 52 22:29:27 จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน - [ 24 มิ.ย. 52 22:28:26 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นั่นซิ ทำอะไรสมัยนี้ต้องรัดกุม และรอบคอบ จากคุณ : clubspanky - [ 24 มิ.ย. 52 22:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 การที่เค้าทำบัตรเครดิตปลอม แสดงว่าโจรมันก็ต้องปลอมลายเซ็นหลังบัตรด้วย! ร้านค้ามีหน้าที่เพียงดูลายเซ็นหลังบัตรให้ตรงเท่านั้น ยกเว้นในกรณีที่ซื้อสินค้ามีมูลค่าสูงมากๆ จึงจะมีการขอดูบัตรประชาชนด้วยว่าชื่อตรงกันหรือเปล่า ...ผมว่าธนาคารที่อนุมัติบัตรมากกว่าที่หละหลวม จากคุณ : Pain in the neck - [ 24 มิ.ย. 52 22:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าไม่ใช่เราไปทำ ยังไงก็ชนะคดีครับ ไม่ใช่ลายเซ็นเราอยู่แล้ว คดีอย่างนี้ร้านค้าแพ้ตลอดแหละครับ ดันโ่ง่เองจะมาโทษลูกค้า ไม่ต้องกลัวครับ ทวงมากๆก็บอกให้ไปฟ้องศาลเอาเอง ยืนกระต่ายขาเดียวไปเลย จากคุณ : เกิดในที่สว่าง - [ 24 มิ.ย. 52 22:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แนะนำนิดนึงครับ...เวลาขีดคร่อมสำเนาบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้าน... ให้ขีดคร่อมทับชื่อ ทับหน้าเราครับ...แล้วค่อยเซ็นต์กำกับ.... เขียนให้ชัด ๆ ว่า "ใช้เป็นหลักฐานสำหรับ...เพื่อ..." ประมาณนี้ครับ... อย่างน้อยช่วยได้ในระดับนึง... อยากจะปลอมแปลง ก็ปลอมยากครับ...เพราะเราขี่ดคร่อมหน้าเรากับชื่อเรา ไปแล้ว...เวลาลบ ยังไงก็มีตำหนิครับ...ลอง ๆ ฝึกดูนะครับ... ทำบ่อย ๆ จะชำนาญในในการป้องกันตัว(ไว้ก่อน)ครับ... หลาย ๆ สถานการณ์ผมฟังเจ้าตัวเค้าออกมาให้ข่าวแล้ว ก็พบว่า... ส่วนใหญ่ ไม่ถ่ายเอกสารให้เป็นปึก ๆ ก็เซ็นต์พร้อมไว้เลย...เป็นความหละ หลวมของเจ้าตัวมาก ๆ และเพราะความไว้วางใจกันมากไป... ประเภทอยู่กันมานาน...หรือสงสารให้งานแบบนี้ล่ะครับ... คุณหมึก...ก็เจอมาแล้ว 50 ล้านได้...ทุกท่านคงจำได้ใช่ไหมครับ เมื่อหลายปีก่อน ปล. ส่วนเคสออกบัตรเครดิตมูลค่ามาก ๆ เจ้าตัวไม่มาทำเรื่องเองเนี่ย...หรือ เช่าซื้อรถเบ๊นซ์ราคาแพง ๆ ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูนะครับ... ผมว่ากลิ่นมันทะ:-) ๆ อยู่ จากคุณ : aaa_a...ครับผม - [ 24 มิ.ย. 52 22:53:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ธุรกรรมสับซ้อนซ่อนเงื่อน จากคุณ : pop_mmt - [ 24 มิ.ย. 52 23:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบ #13 ก่อนดีกว่า หลายๆ กระทู้ เราอ่านแล้วเห็นด้วย เราก็โหวตโดยที่ไม่ได้โพสต์ อย่างกระทู้นี้ ตอนแรกก็ว่าจะยังไม่โพสต์  แต่เห็นแปลกใจ ก็เลยตอบดีกว่า เผื่อจะมีคนอื่นๆ เป็นแบบเรา คือ อ่านแล้วเห็นด้วย แล้วโหวตเลยน่ะค่ะ  :  ) จากคุณ : Hermy - [ 24 มิ.ย. 52 23:20:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยกะจขกท. ค่ะ มีคนเคยเอาบัตรปชช.เราไปเปิดบริการกับเครือข่ายหนึ่ง ค่าโทร2รอบบิล(มันค้างได้เเค่1รอบบิลเลยรวมเป็น2 โทรศัพท์เลยตัด) รวมเเล้วหมื่นกว่าบาท อารมณ์ตอนนั้นเงินที่หาได้เองก็ไม่มีซักกะบาท มีหนังสือจากทางเครือข่ายที่ว่าสั่งฟ้องด้วยนะ ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย ตอนนั้นยังใช้แบบเติมเงินด้วยซ้ำ รู้สึกตกใจมาก เเต่พอเวลาผ่านไป เราอยากจะเปิดเบอร์กับเครือข่ายที่ว่า กลายเป็นเราติดเเบล็คลิสท์ซะงั้น ต้องไปทำเรื่องเเจ้งความ เเล้วจะเเจ้งความได้ก็ต้องมีเอกสารที่เค้าส่งมาฟ้อง เเล้วตอนนั้นเราไม่ได้อยู่บ้าน ไม่เห็นหน้าตาเอกสารด้วยซ้ำ เเต่พ่อโทรมาเล่า มาถึงตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบ8-9ปีเเล้ว เราจะเปิดหมายเลขใหม่แบบรายเดือนกับที่นั่นก็ไม่ได้ เพราะต้องทำการชำระยอดนั้นก่อน รู้สึกแย่มากที่ทาง เครือข่ายโทรศัพท์ยอมให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัตรเปิดบริการเลขหมายใหม่ ทุเรศเกินคำบรรยายจริงๆ จากคุณ : มิคกี้ยูชอน (MickyYoochun) - [ 24 มิ.ย. 52 23:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาอ่าน จากคุณ : PICCANINNY'S DAD - [ 24 มิ.ย. 52 23:24:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แอบเห็นด้วยแหะ จากคุณ : มะนาวต่างดุ๊ดvPT - [ 24 มิ.ย. 52 23:29:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตอบคุณ คห.17 นะครับ เรื่องที่ทางคนร้ายเอาเอกสารของผู้เสียหายไปทำบัตรเครดิต ทาง จนท. ธ.เค้าไม่รู้หรอกครับ ว่าลายเซ็นที่เซ็นรับรองสำเนามาน่ะ จะใช่ของผู้เสียหายตัวจริงหรือไม่ จนท. ธ. เห็นเอกสารครบถ้วน แล้วผ่านการพิจารณาได้ เค้าก็ออกบัตรให้แหละครับ สมมติว่าผมเป็น จนท.อนุมัติออกบัตรเครดิตของ ธ. แล้ว คุณ คห.17 ก็ส่งเอกสารเข้ามา ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าลายเซ็นของ คุณ คห.17 น่ะเป็นของจริงหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่เคยเห็นลายเซ็นของจริงของ คุณ คห.17 มาก่อน แล้ว คุณ คห.17 ก็ไม่ได้มาเซ็นลายเซ็นต่อหน้าผม ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบว่าลายเซ็นที่ คุณ คห.17 เซ็นมาในเอกสารน่ะเป็นของจริงหรือของเก๊ ถ้าตรวจสอบข้อมูลถูกต้อง เอกสารถูกต้องผมก็ต้องอนุมัติบัตรไปตามกระบวนการล่ะครับ ต่อให้มีการโทร verify ก็ตาม เบอร์ที่เจ้าหน้าที่ ธ.โทรไปนั้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ผู้เสียหายจริงหรือเปล่า ถ้าโทรไปแล้วคนร้ายรับแล้วสามารถตอบคำถามได้ตรงทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นลูกค้าจริงๆแล้วล่ะครับ (เจ้าหน้าที่ ธ.ไม่ได้เห็นหน้าผู้เสียหายนะครับ เลยเอามาเทียบกับรูปบนสำเนาบัตรไม่ได้ว่าเป็นคนละคนกัน แล้วผู้ร้ายกับผู้เสียหายก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ถ้าตอน verify จนท.ได้ยินเสียงเป็นคนละเสียงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเนี่ย จับได้แน่ๆครับ) ส่วนการตรวจสอบเบอร์โทรที่บ้าน ที่ทำงาน อาจจะตรวจสอบได้จริง แต่ถ้าคนที่รับไม่ใช้ผู้เสียหายล่ะ (เพราะคนร้ายสามารถเข้าออกบ้านผู้เสียหายได้ตามใจชอบ และก็เป็นเหมือนผู้จัดการส่วนตัวของผู้เสียหายด้วย เรื่องจะรับโทรศัพท์แทนผู้เสียหายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก) ส่วนการตรวจสอบเบอร์มือถือนี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลยครับ ไม่มีทางค่ายไหนเค้าให้ตรวจสอบเบอร์มือถือของลูกค้าหรอกครับ ถ้าไม่มีเอกสารที่เป็นทางการไปให้ตรวจสอบ แถมยังต้องใช้เวลานานอีกด้วย ยิ่งเป็นเบอร์เติมเงินยิ่งแล้วใหญ่ ซื้อมาปุ๊ปใช้ได้ปั๊ป ไม่ต้องลงทะเบียนด้วยซ้ำ แล้วตอนที่บัตรถูกส่งไปคนร้ายก็อาจจะรอรับบัตรแทนผู้เสียหายอยู่แล้วก็ได้ ฉะนั้นลายเซ็นที่อยู่หลังบัตรก็ต้องเป็นของคนร้ายแน่ๆ แต่ทางร้านค้าก็ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นลายเซ็นของคนร้ายหรือเจ้าของบัตรตัวจริง เค้าเห็นลายเซ็นตรงกลับ Slip เค้าก็ขายให้แล้วครับ (ยกเว้นแต่จะซื้อของยอดสูงๆ แล้วเค้าจะตรวจสอบบัตรประชาชน แต่ผมว่าคนร้ายเค้าวางแผนได้ถึงขนาดนี้ เค้าคงไม่พลาดเรื่องที่ทางร้านค้าจะตรวจสอบบัตรประชาชนหรอกครับ เค้าคงหาทางเลี่ยงไว้แล้ว เวลาที่จะใช้บัตรซื้อของน่ะ) ส่วนการที่ใช้สำเนาบัตรประชาชนผู้เสียหายไปซื้อของ (รถเบนซ์) แล้วทางร้านปล่อยอาจจะเป็นไปได้ว่าคนร้ายเค้ามีใบมอบอำนาจหรือมอบฉันทะที่มีลายเซ็นของผู้เสียหายไปด้วยหรือเปล่า เพราะน่าจะเป็นไปได้ว่า การที่คนๆใดคนหนึ่งสามารถจัดการเรื่องของอีกคนหนึ่งได้ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ มันน่าจะมีใบมอบอำนาจที่มีลายเซ็นของเจ้าของเงินอยู่ด้วยแล้ว ให้บุคคลอื่นสามารถไปดำเนินการแทนได้ แล้วทางคนร้ายก็มาแก้ไขข้อความบนใบมอบอำนาจนั้น แล้วเอาไปใช้ทำธุรกรรมแทน (แต่จริงๆผมก็ว่าทาง Finance กับทางโชว์รูมก็น่าจะมีการตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้เหมือนกัน ของราคาเป็นล้านไม่น่าจะปล่อยให้ง่ายๆ) จากคุณ : goldlank - [ 24 มิ.ย. 52 23:46:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับ จขกท. ครับ แต่ก็แอบคิดขึ้นมาเล็กน้อยว่าข่าวนี้มีความจริงมากน้อยแค่ไหน ??? ก็ไม่ได้คิดว่าคุณตุ๊กตาจะโกหกนะครับ แต่คิดว่าอาจจะมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นก็ได้ (เผื่อใจไว้นิดนึงก่อน กลัวเชื่อแล้วมาโดนหลอกทีหลัง = =") เพราะคิดว่า อย่างน้อยถ้าจะทำการซื้อรถ ยังไงก็ต้องมีการเรียกดูบัตรประชาชนตัวจริงอยู่แล้ว เพราะว่าร้านค้าก็คงต้องเซฟตัวเองเหมือนกันแหละครับ ผมว่าคงไม่มีร้านไหนหละหลวมถึงขนาดปล่อยรถราคาเป็นล้านๆ ออกมาโดยไม่ชัวร์ว่าลูกค้าเป็นใครหรอกมั้งครับ ยังไงก็ขอดูข่าวต่อไปก่อนนะครับ ถ้าหากเป็นเรื่องจริงก็เอาใจช่วยคุณตุ๊กตาให้เอาเรื่องถึงที่สุดเลยครับ จะได้เป็นกรณีตัวอย่างให้พวกมิจฉาชีพได้หนาวๆ ตามๆ กันไปด้วย ปล. ยังไงก็สนับสนุนในสิ่งที่ จขกท. พูดนะครับ เพียงแต่ขอดูข่าวต่ออีกซักหน่อยเท่านั้นเอง เพิ่มเติม ::: อ่าน #25 แล้วเห็นด้วยมากเลยครับ เนื่องจากตอนนี้ผมก็ทำงานอยู่ที่ธนาคาร แล้วก็เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตด้วยเหมือนกัน จึงรู้ว่าถึงจะรัดกุมยังไง มันก็ยังมีช่องโหว่อยู่ดีแหละครับ แต่ช่องโหว่ที่ว่านี่ ถ้าเราไม่ไว้ใจคนผิด ก็อาจจะไม่เกิดเรื่องก็ได้นะครับ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 00:08:13 จากคุณ : ฟีโลอาทรอส (philoatros) - [ 24 มิ.ย. 52 23:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ้อ ... แล้วอีกอย่างนะครับ เรื่องลายเซ็นที่ไม่ตรงเนี่ย เคยเห็นมั๊ยครับ คนๆนึงมีหลายลายเซ็นเนี่ย มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ แบบบรรจง แบบหวัดๆ หรือบางคนเปลี่ยนลายเซ็นตัวเอง เนื่องจากเปลี่ยนชื่อ-สกุล แล้วก็ไม่แจ้ง ธ. เพราะฉะนั้น เรื่องลายเซ็นอย่างเดียวเอามาเป็นหลักฐานเอาผิดร้านค้าว่าไม่ตรวจสอบไม่ได้นะครับ (แต่ก็เยอะจริงๆที่ทางร้านไม่ตรวจสอบให้ดีน่ะ) แล้วคนส่วนใหญ่ชอบคิดอย่างนี้ ว่าแค่ถ้าไม่ใช่ลายเซ็นตัวเองก็ไม่ต้องรับผิด คนร้ายที่เชี่ยวชาญที่ปลอมลายเซ็นได้เนียนๆนี่ มีเยอะนะครับ ทางร้านดูไม่ออกหรอกว่าของจริงหรือไม่ แค่ดูคล้ายๆเค้าก็คิดว่าใช่แล้วครับ เรื่องลายเซ็นมันเป็นแค่หลักฐานเบื้องต้นเท่านั้นเองครับ ซึ่งต้องดูหลักฐานอย่างอื่นประกอบด้วย ถ้าน้ำหนักเทไปทางไหน ก็ต้องเอาทางนั้นล่ะครับ สมมติเรื่องตรวจสอบลายเซ็นแล้วกัน ถ้าลูกค้าคนนึงไปซื้อสินค้าแพงๆแล้วคิดจะเบี้ยวไม่จ่าย แล้วแกล้งเซ็นให้คล้ายๆไม่เหมือนของตัวเอง แต่ทางร้านดูไม่ออก แล้วมาปฏิเสธทีหลังว่าไม่ใช่ลายเซ็นตัวเองจะไม่ยอมชดใช้ แต่บังเอิญว่าทางร้านมีกล้องวงจรปิดแล้วจับได้ชัดเจนว่าคนมารูดเป็นลูกค้าเอง อันนี้ก็ต้องใช้หลักฐานทางกล้องวงจรปิดแทนนะครับ เพราะมันเชื่อถือได้มากกว่า ประมาณนี้ล่ะครับ *** แก้ไขข้อความพิมพ์ผิดครับ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 00:00:45 จากคุณ : goldlank - [ 24 มิ.ย. 52 23:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 22 โดนเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นอยู่มหาลัย อยู่หอ จดหมายก็ส่งไปที่บ้าน จะฟ้องร้อง เกือบทะเลาะกับที่บ้าน พ่อก็นึกว่าเราไปเปิดใช้โทรศัพท์ไรมากมาย แล้วไม่กล้ารับรึเปล่า โดนคาดคั้น เราโดนสามค่ายเลยค่ะ เป็นปัญหาถึงปัจจุบันนี้ จากคุณ : อุ่นเรือน - [ 25 มิ.ย. 52 00:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ...ไม่ได้ติดตามข่าว แต่ด้วยความเคารพอยากจะแสดงความคิดเห็นว่า... - มีคนเอาสำเนาบัตรเราไปใช้ในการทำธุรกรรม แล้วทำไมเราต้องรับผิดชอบด้วย << ร้านจะรู้ไหมครับว่าเราไม่ได้ตั้งตัวแทนไปทำธุรกรรมต่างๆ ในเมื่อมีทั้งลงลายมือชื่อแสดงว่าสำเนาถูกต้องของเราอยู่ ถือได้ว่าร้านกระทำการไปโดยสุจริต ดังนั้นกฎหมายย่อมคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตอยู่แล้วตามหลัก - ซึ่งต้องเป็นการเซ็นสดๆ   ที่ร้าน ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่ตัวจริง ก็ต้องมีรายเซ็นปลอม  ในแบบฟอร์มนั้น ชัดๆ << ก็อย่างที่บอกว่าร้านไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ในเมื่อมีคนมาซื้อของคุณเป็นร้านค้าจะไม่ขายของอย่างนั้นรึ หลักฐานนั้นสามารถไปยืนยันกันในชั้นศาลต่างหากว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ - ไอ้ที่บอกว่า  ให้ขีดคร่อมสำเนาบัตรทุกครั้งที่ใช้ ป้องกันเรื่องแบบนี้ได้ผมว่า  คนคิดอย่างงั้นอ่อนหัดมาก สำเนาขีดคร่อมลงยันต์อย่างที่ว่า แค่เอาน้ำยาลบคำผิด  ค่อยๆลบ  แล้วถ่ายเอกสารใหม่   ขี้คร้านจะเนียน << ก็อยู่ที่คนลงชื่อจะลงเป็นรึเปล่า ตามหลักแล้วจะเขียนทับตรงกลางบัตรประชาชนให้ทับชื่อและที่อยู่ ไม่ใช่ไปเขียนบนหัวตรงกระดาษเปล่า ถ้าทำตามแล้วจะพยายามลบอย่างไรก็ไม่เนียน - ไม่มีทางครับ!!! แล้วเอกสารพอหลุดจากมือเราไปแล้ว เราจะไปตรัสรู้ได้ไงว่ามันจะไปอยู่ที่ไหนต่อ เราจะไปปกป้องเอกสารเหล่านั้น  ต่อไป  อย่างไร << ถ้าพูดตามที่อ้างมานี้ เขาถือว่าคุณประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอง ดังนั้นตัวเจ้าของเอกสารจะต้องป้องกันอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อหากเกิดปัญหาสามารถยันได้ว่าเราไม่ผิดตามที่กล่าวอ้าง เช่น ไม่ใช่การลงลายมือชื่อของเรา (ตามความคิดเห็นที่ 19) ลายเซ็นต์ปลอมง่าย ลายมือชื่อปลอมยาก แต่คนมักจะลงลายเซนต์เพราะ เท่ และดูดีกว่า - ช่วยออกมาแก้กฏหมาย  ระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย เลิกซะที   หลักฐานมั่วๆ   แล้วโยนความผิดให้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ << ถ้าหากจะคิดตำหนิถึงกฎหมายกรุณาศึกษามาก่อนเถอะครับ เพราะกฏหมายนะรัดกุมที่สุดแล้ว การอุดช่องวางของกฎหมายก็มีตั้ง 3 ชั้น ผู้มีอำนาจบัญญัติเขาไม่ออกมาง่ายๆ หรอกนะครับ จะต้องผ่านการกลั่นกรองกี่ขั้นตอน คนมีอำนาจใช้กฎหมายต่างหากที่ไม่ยอมใช้กฎหมายไปในทางที่ถูก ...ส่วนใหญ่มักเป็นการประมาทเลินเล่อโดยตรงของเราๆ ท่านๆ โดยเฉพาะการให้ความไว้วางใจบุคคล เมื่อเกิดปัญาก็ไปโทษผู้อื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาบัตรของเรา สำเนาของเราไปทำความผิดได้อย่างไรกัน ดังนั้นก่อนที่จะโทษผู้อื่นกรุณาสังเกตตัวเองด้วยว่าได้กระทำการต่างๆ ด้วยความรัดกุมแล้วรึยัง หลังจากนั้นจะไปโทษคนอื่นก็คงจะไม่มีข้อครหาเลยทีเดียว และความรัดกุมของเราก็จะสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเราได้ จากคุณ : Monkey {D} Gap - [ 25 มิ.ย. 52 00:16:07 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอเสริมอีกนิดนึงนะครับ ผมว่าวิธีการป้องกันการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ผ่านบัตรเครดิต คงจะมีแต่การขอดูบัตรประชนตัวจริงเท่านั้นแหละครับ สรุปแล้ว ผมว่าเรื่องนี้ถ้าร้านค้าไม่ได้หละหลวมและทำตามขั้นตอนแล้วทุกอย่าง แต่มิจฉาชีพดันเนียนมากจนจับไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดร้านค้าแล้วอ่ะครับ แต่ก็นั่นแหละครับ แล้วจะไปเอาความผิดใครล่ะ ??? 1. ธนาคาร - เอาความผิดไม่ได้อยู่แล้วครับ เพราะธนาคารก็ทำตามขบวนการของธนาคารซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็นหลักสากล และมีความปลอดภัยอยู่แล้ว จะว่าธนาคารหละหลวมก็คงไม่ได้ (หรืออาจจะมีบางเคสที่ จนท. ไม่ตรวจตราให้ดี ก็ว่ากันไปเป็นเคสๆ) 2. ร้านค้า - ผมมองว่า "ถ้าร้านค้าทำตามขั้นตอนแล้ว และมีหลักฐานมายืนยัน"  ก็แสดงว่าเขาก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกันอ่ะครับ ก็เอาผิดไม่ไ้ด้อยู่ดี 3. มิจฉาชีพ - นี่แหละคนที่สามารถเอาผิดได้ แต่ก็อยู่ที่ว่าจะมีหลักฐานมากขนาดไหน จะฟ้องร้องกันได้ถึงขนาดไหนอ่ะครับ สรุปแล้ว... รอดูต่อไป เหมือนเดิม = =" จากคุณ : ฟีโลอาทรอส (philoatros) - [ 25 มิ.ย. 52 00:18:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เคลียร์กับคุณคห.ที่29เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ ------------------- เพิ่มเติม ถึงคุณฟีโลอาทรอส (philoatros) เราชี้ไปที่คห.29ค่ะ พอดีมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เนทอยู่ เลยไม่สามารถเห็นความเห็นของคุณฟีโลอาทรอสค่ะ(ไปตั้งถามในห้องหว้ากอตะกี้ แต่โดนลบเพราะผิดหมวดTT__TTช่วงเวลานั้นจนถึงตี1-2เราเห็นความเห็นถึง29เองง่ะ) ขออภัยที่ทำให้เข้าใจผิด ปล. เราเห็นด้วยกับคุณ ฟีโลอาทรอส (philoatros)ค่ะ --------------------------อ๊ากกกเนทwi-fiมีปัญหาอ่า กดเม้นหรือพิพ์อะไรแล้วข้อความอะไรต้องรอเกือบ2ชั่วโมงงงกว่าจะขึ้นข้อความ แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 52 00:08:37 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 12:01:20 จากคุณ : Pon Pon Pata Pon! - [ 25 มิ.ย. 52 00:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 วันหลังไปทำธุรกรรมจะเอานี่ไปยื่นเป็นสำเนาบัตรประชาชนเผื่อจะผ่าน จากคุณ : ทุ่งแสงตะวัน - [ 25 มิ.ย. 52 00:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมก็เป็นหนี้โทรศัพท์ Dtac กะ Ais 2อันนี้รวมกันหมื่นกว่าบาท แต่ผมไม่เคยเปิดเบอร์มันเลย แถมตอนนั้นตังค์จะซื้อมือถือยังไม่มีเลย แม้แต่เพจเจอร์ยังไม่ได้พกกะเค้าเลย เซ็งเป็ด จากคุณ : positivex - [ 25 มิ.ย. 52 00:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นพูดถือการโดนทวงค่าโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดใช้ ที่ห้องมาบุญครองก็เจอค่ะ เป็นกระทู้แนะนำอยู่ในเวลานี้ http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T7995113/T7995113.html จากคุณ : Hermy - [ 25 มิ.ย. 52 00:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เข้ามาโหวตค่ะ จากคุณ : FaLiOnA - [ 25 มิ.ย. 52 00:54:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ถึงคุณ Pon Pon Pata Pon! #31 ครับ อันนี้เป็นตามความคิดเห็นของผม + ที่พอจะรู้มาจากการทำงานนะครับ (อายุงานนิดเดียวครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ค่อยทราบเหมือนกัน) ********************************************* ปกติแล้วร้านค้าต้องทำการตรวจเช็คตามที่สามารถจะทำได้ครับ อย่างเช่น 1. ลงลายเซ็นให้เหมือนกับหลังบัตร ไม่อย่างนั้นถือว่ารูดไม่ผ่าน (ขั้นต้น - ปกติก็ใช้กับเงินจำนวนไม่มาก) 2. เซ็นสัญญานั่น นี่ โน่น + ขอดูบัตรประชาชน (หรือบางร้านอาจจะขอดูสำเนาบัตรอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับว่าความเสี่ยงและมูลค่าสินค้ามากน้อยขนาดไหน) 3. ขอดูเอกสารมอบอำนาจในกรณีที่ทำธุรกรรมแทน + สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของบัตรเครดิต + บัตรประชาชนผู้ทำธุรกรรม (ใช้ในกรณีที่เจ้าของบัตรไม่สามารถทำรายการซื้อสินค้าเองได้ จึงมอบหมายผู้อื่นมา - เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากเรื่องนี้ก็ได้นะครับ) ซึ่งที่กล่าวมาก็เป็นวิธีการตรวจสอบของร้านค้าเท่าที่จะเคยเห็นมานะครับ ถ้าจะถามว่ามันปลอดภัยมั้ย แน่นอนว่ามันไม่ 100% แต่มันก็ปลอดภัยในระดับหนึ่งล่ะ ซึ่งถ้าจะถามว่า "แล้วถ้ามันเกิดเรื่องแล้วจะทำยังไงล่ะ ???" วิธีแรกก็คงต้องแจ้งทักท้วงไปยังธนาคารเจ้าของบัตรให้ตรวจสอบรายการก่อน ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ปรับปรุงเงินคืนไม่ได้ (ร้านค้าปฏิเสธและไม่ยอมคืนเงิน) ก็คงต้องมาถึงกระบวนการต่อไป ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นการฟ้องร้อง แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานที่ร้านค้ามีว่า เห็นได้ชัดเจนแค่ไหนว่าเป็นการปลอมแปลง ***ถ้ามันชัดเจนมาก แต่ร้านค้าประมาทเอง หรือ ร้านค้าชะล่าใจและไม่ทำการตรวจสอบให้ดี ::: ยังไงลูกค้าก็ชนะคดีครับ *** แต่ถ้า "ร้านค้าทำตามกระบวนการที่ถูกต้องแล้ว และไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าเป็นการทุจริต" ร้านค้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น (ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับศาลพิจารณาหลักฐานแหละครับ) *** แต่ในกรณีนี้ ในเมื่อทราบว่าใครเป็นคนนำบัตรไปทุจริต ก็ต้องรวบรวมหลักฐานมาฟ้องร้องเท่านั้นครับ เพราะอย่างที่บอกว่า ร้านค้าก็ถือเป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ********************************* ส่วนเคสที่ว่ามีการนำบัตรเครดิตไปใช้โดยที่เราไม่รู้ ไม่ทราบว่าเกิดจากการที่บัตรหายแล้วไม่ได้อายัดหรืออายัดไม่ทันหรือเปล่าครับ ถ้าหากว่าใช่ ก็ไม่ถือเป็นความผิดของทางธนาคารและร้านค้าครับ เพราะถือว่าเป็นส่วนที่ลูกค้าต้องรับผิดชอบดูแลบัตรไว้กับตนเอง แต่ถ้าบัตรก็ไม่ได้หาย แต่มีรายการเรียกเก็บเข้ามา หรือบัตรหายแต่โทรมาอายัดแล้ว แต่ก็มีการทำรายการหลังการอายัด (อาจเกิดจากปัญหาระบบของธนาคาร) ส่วนมากแล้ว หลังจากการตรวจสอบ ถ้าหากเป็นจริงตามนั้น ธนาคารก็จะปรับคืนเงินให้ลูกค้านะครับ ไม่ทราบว่าปัญหาที่คุณ Pon Pon Pata Pon! พบนั้น ได้ทำการติดต่อไปที่ธนาคารเจ้าของบัตรหรือยังครับ ??? รีบทักท้วงนะครับ ก่อนที่มันจะบานปลาย... ด้วยความเป็นห่วงนะครับ... *********************************************** เพิ่มเติมเคสที่ว่า มีคนเอาบัตรประชาชนไปสมัครใช้เปิดเบอร์โทรศัพท์ อันนี้เราไม่ต้องรับผิดครับ เพราะเกิดจากความหละหลวมของบริษัทผู้ให้บริการ (อย่างกรณีกระทู้แนะนำ mbk น่ะครับ) ถ้าร้านค้าออกมายอมรับว่าไม่ได้ดูบัตรประชาชนตัวจริง แล้วปล่อยให้มิจฉาชีพสมัครใช้บริการได้ง่ายๆ... ถึงจะบอกว่า "เพื่อความสะดวกสบาย" หรือ "เป็นนโยบายของร้าน" เราก็ไม่ต้องรับผิดครับ เพราะร้านค้าไม่ระมัดระวังเอง *********************************************** ตอบเท่าที่พอจะตอบได้นะครับ ถ้าหากว่ามีการผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย และขอให้กูรูท่านอื่นแก้ไขให้ด้วยนะครับ ^^" edit ::: แก้คำผิดเล็กน้อยครับ ^^" แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 18:48:10 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 01:24:16 จากคุณ : ฟีโลอาทรอส (philoatros) - [ 25 มิ.ย. 52 01:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อืม กระทู้แนะนำมีความรู้ด้วย ดีจัง เฉลิมไทยก็วิชาการได้นะเนี่ย หุหุ จากคุณ : มาม่าไข่มะตูม - [ 25 มิ.ย. 52 07:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เข้ามาอ่านด้วยคน  ถ้าใครมีความรู้ทางด้านนี้เพิ่มเติมช่วยบอกด้วยนะคะ จากคุณ : petsoon - [ 25 มิ.ย. 52 07:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เราว่าถ้าเป็นกรณีเปิดบัตรเครดิตใบใหม่ไปใช้ ไม่ใช่การก้อปปี้ข้อมูลลงบัตรปลอม ธนาคารจะมาเบี่ยงความรับผิดชอบคงไม่ได้นะคะ จะมาอ้างไม่ได้ว่าเอกสารมาเป็นปึกเยอะ เพราะที่เค้าให้ส่งเอกสารเยอะก็เพื่อเป็นการตรวจสอบ ถ้ามันมีความผิดปกติ รูปไม่ตรงกับหน้าก็ไม่หน้าก็ไม่น่าจะอนุมัตินะคะ แต่ในกรณีซื้อของแพงที่ต้องทำสัญญาซื้อขายนี่ใช้แค่เสาเนาบัตร กับหนังสือมอบอำนาจได้รึเปล่าอันนี้ไม่ทราบ เพราะปกติก็เห็นเค้าเรียกตัวเป็นๆไปเซ็นต์กันนี่คะ จากคุณ : ฮารุโนะฮานะ - [ 25 มิ.ย. 52 07:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยครับแต่เรื่อง ขีดคร่อมเนี่ยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ ถึงจะป้องกันไม่ได้ 100% แต่มันก็ทำให้ยากต่อการนำไปใช้ต่อ จากคุณ : Desolation Angel - [ 25 มิ.ย. 52 08:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เห็นด้วยค่ะ เรื่องการขีดคร่อม อย่างเราจะเซ็นเอาสารในบัตรประชาชนก็ขีดคร่อมทุกครั้ง แล้วจะเขียนกำกับเลยว่าใช้เผื่อในการทำอะไร ถึงจะป้องกันไม่ได้ 100% แต่มันก็ยังดีกว่าที่ไม่เขียนอะไรเลย จากคุณ : ย้ำคิดย้ำฝัน - [ 25 มิ.ย. 52 08:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ได้ใช้ก็ไม่จ่าย ขึ้นศาลก็แถลงตามข้อเท็จจริง ศาลตัดสินอย่างไรก็ตามนั้น ตัวแทนแบงค์โทรมาจิกก็.....กลับไปเลย สงสัยอย่างเดียวทำใมไปรับสภาพหนี้ ที่ไม่ได้ก่อ      ผมเองทำอย่างนี้อยู่แล้ว จากคุณ : saisanan - [ 25 มิ.ย. 52 08:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขำตรงบัตรประชาชนหน้าโดเรม่อนนี้แหละ 555+ อะ จัดไป 1 โหวต จากคุณ : ดื้อจัง - [ 25 มิ.ย. 52 08:19:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 >> "วันหลัง  ว่าจะเอาสำเนาบัตร  ใส่หน้า โดราเอมอน  ไปซื้อของ  ดูซิ  จะผ่านมั๊ย.." หุหุๆๆ จากคุณ : Jerry Woody - [ 25 มิ.ย. 52 08:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านหลายๆความคิดเห็นแล้วรู้สึกเหมือนว่า ยังไงซะต่อให้ผู้บริโภคไม่ได้ทำอะไรผิด ยังไงซะก็ต้องรับๆไปอยู่ดี ถึงแม้จะต่อสู้ ฟ้องร้อง แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขได้ (ยังไงก็ขาดทุนอยู่ดี) ร้านค้าเราว่าต้องตรวจสอบแหละ ไม่งั้นก็ไม่ต่างจากดีแทคกระทู้โน้นอ่ะ เอาความสะดวกเข้าว่า เกิดปัญหาค่อยว่ากัน เพราะพนักงานปล่อยผ่าน ไม่ได้เดือดร้อนอยู่แล้ว เราใช้บัตรเครดิต หลังบัตรไม่ได้เป็นลายเซ็น ใช้เป็นลายมือปกติ และเวลาใช้ปากกาคนละด้าม หรือ มุมวางสลิปไม่ดีลายมือก็จะเปลี่ยน -*- เลยไม่ได้ใช้เป็นลายเซ็น ทุกครั้งที่ใช้บัตรจะลุ้นเสมอว่าจะได้ป่าว พนักงานจะให้ป่าวเพราะเซ็นไม่เหมือนเลย ตอนใช้บัตรใหม่ ๆ กะไว้ว่า ถ้าไม่ผ่านจะเอาบัตร ปปชให้ดูเพราะชื่อภาษาอังกฤษกับบัตรปชชตรงกัน หรือไม่ได้จริงๆก็เงินสด กลับกลายเป็นว่าไม่เคยแลหลังบัตรเลยเซ็นเสร็จก็จบ ใช้มาหลายปี เคยเจอพนักงานเช็คอยู่ครั้งเดียวว่าเซ็นไม่เหมือน กรำ แต่สำหรับบางที่ บัตรสมาชิกทานอาหารตาม รร กลับดันตรวจสอบอย่างดี ว่าใช่เจ้าของบัตรมาใช้บริการหรือคนอื่นสวมรอยมาขอใช้ลดค่าอาหารไหม แต่ตอนจ่ายตังไม่มีใครสนว่าบัตรผู้ใด ให้มันได้งี้สิ จากคุณ : bOrEd - [ 25 มิ.ย. 52 08:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เคยมีประสบการณ์จากการโดนเพื่อนสนิทขโมยบัตรเครดิตไปรูดซื้อสินค้าในห้างฯ ลายเซ็นไม่เหมือนสักนิดเดียว พนง ห้างไม่สนใจตรวจดู ปล่อยให้รูดจนหมดวงเงินบัตรฯ พอเราขอความช่วยเหลือจากแบงค์เจ้าของบัตรฯ ให้ช่วยแฟกซ์รายการที่โดนใช้ไป เพื่อเราจะได้ไปหาเบาะแสว่าใครเอาบัตรฯ เราไปใช้ ที่ไหน ยังไงบ้าง (ตอนนั้นยังจับไม่ได้ว่าที่แท้เพื่อนเราเอง) แบงค์ฯ ก็ไม่ค่อยสนใจ กว่าจะแฟกซ์ให้ก็นานเอาการ แถมบอกว่าแบงค์ไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ในเคสนี้ ยังไงเราก็ต้องจ่ายเงินทั้งหมดที่โดนใช้ไปตามกำหนดวันชำระ แล้วก็ต้องไปติดตามเอาเองว่าใครเอาบัตรฯ เราไปใช้ เขาไม่ช่วย โอเค อันนี้ก็ต้องยอมรับ เพียงแต่เวลาขอความช่วยเหลือ เขาดูไม่ค่อยสนใจไง อันนี้เลยทำให้เรายกเลิกบัตรฯ ไปเลย จนท แบงค์บอกจะออกบัตรฯ ให้ใหม่ เราปฏิเสธไป จนถึงทุกวันนี้ไม่คิดอยากกลับไปใช้บริการอีกเลย อันนี้คงโทษใครไม่ได้ ถือว่าเป็นความผิดของเราเองที่ประมาทไม่ระวังเพื่อน (เคยสนิท) ตอนนี้จำไว้เป็นบทเรียนของตัวเอง เพื่อน (เลวๆ) นี่แหละ บางทีทำเอาเพื่อนหมดตัว จากคุณ : วันนี้วันพฤหัส - [ 25 มิ.ย. 52 08:39:03 A:202.129.41.250 X: TicketID:207707 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เข้ามาบอกว่า ใช้น้ำยาลบคำผิดลบแล้วเอาไปถ่ายเอกสารใหม่ มันไม่เนียนนะ เคยลองมาแล้ว ตอนที่สำเนาไม่พอ แล้วดันเซ็นต์ไปหมดแล้ว ตอนนั้นยังเด็กเซ็นต์ตรงที่ว่างด้วยซ้ำ ไม่ได้ขีดคร่อมด้วย ลบแล้วไปถ่ายใหม่ ไม่เนียนอย่างแรง มันจะเห็นเป็นสีเทาบางๆตรงลอยลบ ส่วนตัวคิดว่าขีดคร่อม และเขียนว่าสำเนานั้นๆเอาไปใช้ทำอะไร ช่วยเซฟได้ระดับนึงเลยนะ สมมตินะ มีคนมาทำธุรกรรม 10 คน แต่ละคนต้องเอาสำเนาบัตรมาให้เรา 7 คนไม่ได้ขีดคร่อม ไม่ได้เขียนกำกับว่าเอาไปใช้ทำอะไร อีก 3 คน ขีดคร่อมและเขียนกำกับไว้ ถ้าเราเป็นมิจฉาชีพ เราจะเลือกของคนไหนไปใช้ก่อน ก็ต้องเลือกอันที่ใช้ง่ายๆไปก่อนใช่ไหมล่ะ ยิ่งถ้าเป็นคนที่สามารถหาสำเนาใหม่ๆได้ทุกวัน(ทำงานที่ต้องขอสำเนาลูกค้า) คงไม่สนใจสำเนาที่ขีดคร่อมไว้แล้วให้เสียเวลา ปล.เรื่องเอาลายเซ็นต์ออก มีวิธีที่ทำได้เนียนกว่าเอาน้ำยาลบคำผิดลบนะ จากคุณ : เมดคาเฟ่ - [ 25 มิ.ย. 52 08:40:48 A:124.121.190.234 X: TicketID:219835 ]

ความคิดเห็นที่ 48 Scan Photoshop and print out จากคุณ : ขี่ม้าจับตั๊กแตน - [ 25 มิ.ย. 52 08:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ที่เราคิดนะคะ หลังจากดูข่าวเสร็จ คุณเจมส์ อะไรเนี้ยรู้จักคนในบริษัทบัตรเครดิต และบริษัทขายรถแน่นอน เพราะไม่งั้นบริษัทจะไว้ใจออกบัตร+ขายรถให้ ทั้งๆ ที่เจ้าของบัตรและคนซื้อรถไม่มาได้ไง ซึ่งต้องไปสืบมาว่าคนในคนนี้เป็นใคร แล้วแจ้งข้อหาไปเลย คุณทำงานเกี่ยวกับเงินทอง แต่หละหลวมขนาดนี้ควรดำเนินคดีค่ะ อีกอย่างคุณเจมส์ก็ดูเป็นคน profile ดีมาก ก็ไม่แปลกที่จะรู้จักคนระดับ head ขึ้นไป ปล อยากให้กิ๊ฟ จขกท กับ คห 44 แต่เป็นมือถือ อิอิ จากคุณ : noo&deer (noo&deer) - [ 25 มิ.ย. 52 08:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อเช้าดูข่าวเหมือนกัน และยังสงสัยเหมือน จขกท. ว่า มีการปลอมแปลงลายเซ็น แล้วสำเนาเจ้าของบัตรหละ ไม่มีการขอดูบัตรประชาชนตัวจริงเหรอ เอกสารซื้อขายกันมูลค่าก็ไม่ใช่น้อยๆ ทางไฟแนนซ์ ปล่อยผ่านไปได้อย่างไร ปกติเราจะไปซื้อรถ ทางไฟแนนซ์ ขอหลักฐานมากมาย สเตทเม้นท์ ก็ยังขอ ถ้าจะให้คนอื่นไปก็ต้องมีการมอบอำนาจ แต่ไม่เข้าใจกรณี ดาราทั้งสองท่านนี้ ว่า ทำไมไฟแนนซ์ อนุมัติได้ง่ายดาย *********** แต่เรื่องขีดคร่อม สำเนาบัตรประชาชน เราไปใช้เครดิต เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เราขีดคร่อม แต่เค้าดูบัตรเครดิต กับบัตรประชาชนตัวจริงเรา แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 09:07:23 จากคุณ : iamnid - [ 25 มิ.ย. 52 09:06:03 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เยี่ยมยอดโหวตให้อย่างแรง จากคุณ : tappapa - [ 25 มิ.ย. 52 09:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เราแสกนแล้วใช้โฟโต้ชอปลบรอยลายเซ็น แล้วค่อยปรินท์ออกมาอีกที เนียนกิ๊กกว่าลิควิดเป็นไหนค่ะๆ ป.ล.ใช้กับเอกสารตัวเองตอนขี้เกียจเอาตัวจริงไปถ่ายเอกสารนะคะ จากคุณ : Auguri - [ 25 มิ.ย. 52 09:16:08 ]

ความคิดเห็นที่ 53 #48 , #52 กำ อุตส่าไม่บอกว่าวิธีที่ทำเนียนๆน่ะ ทำยังไง กลัวชี้โพรง จากคุณ : เมดคาเฟ่ - [ 25 มิ.ย. 52 09:19:52 A:124.121.190.234 X: TicketID:219835 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ทั้งของคุณตุ๊กตากับคุณดา ธนาคารบางแห่งก็ยอมคืนเงินที่จ่ายไปเหมือนกันนี่ครับ แต่ ไอ้พวกบัตรนี่แหล่ะตัวดี ที่เศรษฐกิจล่มอยู่นี่ก็เพราะสถาบันการเงินของอเมริกานั่น ตะบี้จะบันปล่อยกู้จนนหี้เน่ากู่ไม่กลับ ล่มเป็นโดมิโน่ตามๆ กันไปทั้งโลก จากคุณ : อมยิ้มอันใหม่ - [ 25 มิ.ย. 52 09:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โหวตให้เลยค่ะ มาแชร์ประสบการณ์ละกันนะคะ เราเคยเจอแบบว่า มียอดแจ้งหนี้บัตรเครดิตเข้ามา เป็นรายการซื้อของที่บิ๊กซี จ.นครปฐม แต่เรากับบัตรเราอยู่ที่จ.สุราษฏร์ธานี (เราไม่ได้ไปที่นครปฐมแต่อย่างใด) เราปฏิเสธที่จะจ่ายยอดนั้นเพราะมันไม่ใช่ของเรา ได้รับแฟกซ์จาก ธนาคาร พบว่า มันเป็นหมายเลขเบอร์บัตรเครดิตเรา แต่ลายเซ็นชื่อใครไม่รู้ เลยต้องทำการแฟกซ์บัตรเรากะลายเซ็นต์ยืนยันไปให้ดู เกือบ 2 เดือน รายการนี้ก็โดนลบไปจากยอด... เราว่าการปลอมแปลงบัตรเครดิตน่าจะมีไม่น้อย แล้วก็ยากในการตรวจสอบ โดยเฉพาะหน้าร้าน ได้บัตรปลอมมา ตรวจดูลายเซ็นด้านหลัง อาจจะตรงกันก็จริง แต่....หมายเลขบัตรใบนี้ไม่ใช่ของเค้า เจ้าของบัตรตัวจริงเลย...ซวยค่ะ ยังไงก็อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยกันดูแลเรื่องการใช้บัตรพวกนี้ซื้อสินค้า...อย่าให้คนต้องมีหนี้ที่ไม่ได้ก่อขี้นเอง ต้องแบกรับภาระหนี้ เดือดร้อนแบบนี้ จากคุณ : uhoo_dolphin - [ 25 มิ.ย. 52 09:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เคยเจอกับตัวเองแล้วครับ เซ็งเป็ดมาก ๆ โหวตครับผม................... จากคุณ : ไอ้หนูจำมัย (Anarchy_Boy) - [ 25 มิ.ย. 52 09:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ดูข่าวเหมือนกัน ผมก็สงสัยเหมือนกันมานานแล้วว่า กรณีนี้ต้องมีแน่ๆ ผมเคยไปทำธุระกรรมต่างๆมา ก็สงสัยเหมือนกันว่า ไม่มีมาตรฐานอะไรเลยที่จะป้องกันเรื่องพวกนี้ได้  ( ยกเว้นธนาคาร ซึ่งยอมรับว่าค่อนข้างดีกว่า ธุรกรรมอื่น ) เรื่องที่ผมสงสัย - เรื่องขีดคร่อม นี่ผมก็ว่า มันช่วยได้ระดับหนึ่งถ้ามีคนเช็คจริงๆ แต่ถ้าคนไม่เช็คหลักฐานพวกนี้เลยหละ  บางทีพวก sale หรือ พนักงานขาย ก็เน้นจะขายของ ไม่เห็นจะสนใจเลย ขอให้มีไว้ประกอบให้ขายของได้ก็พอ -สมมุติทำบัตร ปชช หายนี่ ต้องรีบเลยนะครับ รีบไปแจ้งความทันที อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน << ตรงนี้ผมก็ยังสงสัยตามมาว่า ถ้าเค้าเอาบัตรเก่าเราไปใช้ทำธุรกรรมนี่ ผมรับรองว่าใช้ได้แน่นอน เพียงแต่เราก็มีหลักฐานยืนยันว่าไม่ใช่ตัวเรา ใช่ไหมครับ? จากคุณ : Story of Winter - [ 25 มิ.ย. 52 09:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เอาง่ายๆ ไม่ต้องใช้หลักอะไร คือ  ไม่ว่าไงก็ต้องเอาเงินจากลูกค้าก่อน ถึงจะบอกว่าไม่ได้ใช้ หรือ ไม่เคยทำบัตร  ในเมื่อแบ้งค์เกิดค่าใช้จ่ายแล้ว  ทวงไปก่อนได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที จากคุณ : kookkookke (kookkookke) - [ 25 มิ.ย. 52 10:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 59 คิดเหมือนกันว่า การซ์อขายไม่ควรใช้แค่สำเนาก็ได้ ควรจะต้องยื่นตัวจริงในขั้นตอนการซื้อขาย แล้วจึงเก็บ หลักฐานเป็นสำเนา อยากให้ร้านค้าคิดแบบนี้ครับ ว่า เสียเวลาขอดูบัตรตัวจริงนิดหน่อย ไม่ได้ลำบากเลย ผู้ซื้อก็ให้ความร่วมมือนิดหน่อย อย่าไปอคิติหาว่าเค้าไม่ไว้ใจ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของราคาไหน บางทีคนร้ายมันก็ไปรูดอย่างละนิดละหน่อย รวมๆกันก็เป็นแสนได้ จริงๆ อยากเสนอให้ การรูดต้องมีการกดรหัสยืนยันเพิ่มเติมอีกทีด้วยซ้ำ ทำไมไม่คิดทำกัน ไม่คิดว่ามันจะยากเลย จากคุณ : RichThoFeN - [ 25 มิ.ย. 52 10:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เพื่อนเราเคยโดนเหมือนกันค่ะ เขาเอาไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ มารู้ตัวก็ตอนที่โดนจดหมายทวงหนี้ จำนวนเงิน หมื่นกว่าบาท ส่งไปที่บ้าน แม่เพื่อนเป็นคนรับเอกสาร พอเปิดดูแม่เป็นลมไปเลยอ่ะ ตกใจว่าลูกใช้อะไรมากมายขนาดนั้น เพราะเงินหมื่นกว่าบาท สำหรับนักศึกษาต่างจังหวัดเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว มันเยอะมาก ๆ ค่ะ แล้วก็มาคิดกันว่า เอกสารมันไปได้ไง มานึกขึ้นได้ว่าช่วงปิดเทอม เคยไปสมัครทำงาน Part Time ซึ่งก็น่าจะเป็นช่องทางเดียวที่เอกสารของเราจะหลุดไป พอรู้งี้ ยิ่งทำให้เซ็งไปกันใหญ่.... และที่สำคัญ แม่เพื่อนไม่อยากให้เพื่อนมีประวัติไม่ดี ก็เลยจำเป็นต้องเอาเงินไปจ่าย ค่าโทรศัพท์ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนใช้........ มันน่าจะมีวิธีการใดซักอย่างที่ ป้องกันตัวเราจากคนประเภทที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น บ้างนะ???? จากคุณ : [ I'm Nutthida240 ] - [ 25 มิ.ย. 52 10:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นด้วยที่สุดครับ หน้าที่ตรวจสอบ ต้องเป็นของผู้ขายของหรือให้บริการ ไม่ใช่เกิดเรื่องเสียหายแล้วมาโยนให้ "เหยื่อ" รับผิดชอบ จากคุณ : ทิฐิเป็นพิษร้ายต่อความรัก - [ 25 มิ.ย. 52 10:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 62 การบังคับให้มี "ภาพเจ้าของบัตร" บนบัตรเครดิต เหมือนบัตรประชาชน น่าจะ ช่วยป้องกัน "ในระดับหนึ่ง" ได้นะครับ แต่เท่าที่พบมาทางธนาคารเข้าของบัตรต่างๆมีการดูแลค่อนข้างดีนะครับ ktc เคยจะกดเงินสดออกมา แต่กดรหัสผิด   เจ้าหน้าที่โทรมาทันทีมีการกดเงินหรือไม่ กับของ citi bank รู็ดเกินหมื่นทีไร ไม่ทันออกร้าน เจ้าหน้าที่ก็โทรมาถามยอด แต่ยังไง ถ้าพลาดมา ธนาคารเขาก็ให้เรารับผิดชอบไปก่อนอยู่ดีฮะ จากคุณ : kengkang - [ 25 มิ.ย. 52 10:14:06 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ต้องให้ร้านค้า หรือธนาคารดูบัตรประชาชนตัวจริงประกอบครับ พวกทะเบียนบ้าน สมุดบัญชี ฯลฯ ก็ด้วย เพราะว่าสำเนาเอกสารเนี่ยต่อให้ขีดคร่อม เขียนอะไรยังไง แสกนแล้วเข้า photoshop ก็จบเห่ครับ จากคุณ : billion_mls - [ 25 มิ.ย. 52 10:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อย่างงนี้ไปเอาบัตรของเพื่อนสัก 10 คนไปรูดแล้วหนีไปนอกได้ไหม 5555 ปล.ทำไมเดี๋ยวนี้เลวมันง่ายจัง จากคุณ : moshita - [ 25 มิ.ย. 52 10:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 65 นั่นสิ ผมก็ข้องใจเหมือนกัน ทำไม เซ็งครับ จากคุณ : Firepocket - [ 25 มิ.ย. 52 11:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สำหรับข่าวนี้ รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ฟังดูแล้วทะแมงๆ (ดูจากที่คุณสรยุทธ์ สัมภาษณ์ตอนเย็น) เหมือนผู้เสียหายทั้ง 2 ยังมีอะไรปิดบังอยู่บางส่วน ขอยังไม่ออกความเห็นจนกว่าจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ (อันนี้ความรู้สึกส่วนตัว ล้วนๆ) ส่วนเรื่องสำเนาบัตร วิธีป้องกันของเราคือแสกนบัตรเข้าคอมแล้วปริ๊นท์เลเซอร์ ให้เข้มๆ หน่อยจนเห็นลายบัตรประชาชนที่เป็น pattern ตรงพื้น บัตรด้วย พอจะใช้อะไรก็ขีดคร่อมตรงภาพและชื่อที่อยู่แล้วเซ็นกำกับ ทับบนบัตรเลยส่วนหนึงว่า "ใช้สำหรับ xxx วันที่ xxx ที่บริษัท xxx" แล้วค่อยเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง วิธีนี้ถ้าจะลบก็คงด่างมันทั้งบัตรล่ะ ถ้าโจรมันจะเซียนโฟโตช็อปไปรีทัช ได้เนียนกิ๊กอีกก็คงต้องต้องไปมันไปละ - - จากคุณ : Nov. - [ 25 มิ.ย. 52 11:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 67 จัดไปครับ เอ้า โหวต... สำหรับเรื่องนี้ โดยปรกติเขาจะเอาหลักฐานตามเอกสารครับ ฉะนั้นหากมีคนปลอมแล้วตอนแรกเขาไม่รู้ เขาก็ต้องร้องเอากับคนที่มีชื่อปรากฏบนเอกสาร ส่วนเรื่องทำไมง่ายจัง ผมคิด(เอง)ว่า เป็นเพราะคนที่เคยผ่อนซื้ออะไรๆมาก่อนจะมีชื่อในลิสต์ของบริษัทเครดิตบูโร ฉะนั้นหากผ่อนซื้ออะไรซ้ำอีก บริษัทนั้นๆก็ไปเช็คในฐานข้อมูลแล้วให้เครดิตครับ หากไม่มีแบล็กลิสต์ก็ปล่อยวงเงินได้ แต่การที่จะผ่อนซื้อหรือทำบัตรเครดิตครั้งแรก จำได้ไหมครับว่าเอกสารเยอะแยะมาก แต่พอครั้งหลังๆจะง่ายขึ้น ปล. ญาติผมเคยเจอตอนไปเมกาแล้วบริษัทถาม "Do you have credits?" ตอนจะซื้อรถ แปลว่าคุณมีหนี้หรือเคยผ่อนซื้อแล้วมีชื่อในลิสต์หรือเปล่านะครับ ญาติผมไม่รู้ เข้าใจผิดไปกันใหญ่ 555 จากคุณ : buddhi - [ 25 มิ.ย. 52 11:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เห็นด้วยคะ อะไร ๆ ๆ ก็ง่ายไปซะหมด!! -*- จากคุณ : djangel - [ 25 มิ.ย. 52 11:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 69 บัตรประชาชนนั้นมีความสำคัญมาก ดังนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของควรจะมีความระมัดระวังมากๆ ร้านค้าเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต ไม่อาจรู้ได้ค่ะ ผู้เป็นเจ้าของต้องไปเรียกเอากับผู้ปลอมเอง ... แอบเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 29 จากคุณ : bping - [ 25 มิ.ย. 52 11:48:19 A:203.131.210.3 X:203.131.212.16 TicketID:221606 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ฟังแล้วกังวลเลย มีเพื่อนสนิทมาขอเอกสารสำเนาบัตรประชาชน/ทะเบียนบ้าน/วุฒิการศึกษา/หน้าบัญชีธนาคารกรุงไทยไปบอกว่าขอเอาไปให้ที่ทำงาน(งานราชการ)ส่วนตัวเพื่อนเป็นพนักงานจ้างยังไม่บรรจุ โอนเงินเดือนเข้า เค้าถามเราว่ามีบัญชีกรุงไทยมั้ยเราบอกว่ามี เขาบอกว่าจะให้ที่ทำงานโอนเข้าบัญชีเราแล้วกดมาให้เค้า เค้าทำงานมาเกือบสามปีแล้วแต่บอกว่าที่ทำงานต้องการจ้างพนักงานเพิ่มสัญญาจ้าง 4เดือน เราก็งงๆนะแต่ไม่รุ้ทำไมไม่กล้าถามกลัวเพื่อนว่าด้วยมั้งว่าไม่ไว้ใจเพราะเป็นเพื่อนสนิทของเราไม่กี่คนและเค้าก็เคยดีกะเราด้วย และเราก็เซ็นคร่อมไปนะว่าใช้สำหรับสมัครงานเท่านั้น เฮ้อ..มันจะมีปัญหาอะไรมั้ยคะนี่ จากคุณ : พลอยแหวน - [ 25 มิ.ย. 52 11:49:58 A:118.172.75.123 X: TicketID:221610 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เอ้า ประเทศไทยจงเจริญ !!! จากคุณ : ตัวตลกจมูกแดง - [ 25 มิ.ย. 52 11:51:04 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ปกติ ถ้าเราเซ็นต์สำเนาถูกต้องในบัตรประชาชน เราจะขีดคร่อม พร้อเขียนรายละเอียด และเซ็นต์ชื่อให้ตรงกับ ชื่อ ที่อยู่ หรือไม่ก็ ตรง หน้าเรา เพื่อป้องกันค่ะอ่านลำบาก ก็ช่างมันเถอะ ป้องกันไว้ก่อน จากคุณ : mom-mint (kaunyarat_narak) - [ 25 มิ.ย. 52 11:53:10 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ต่อไปก็ยกเลิกการใช้สำเนาไปเลย ตัวจริงหมด จบ จากคุณ : ... (4eva-galz) - [ 25 มิ.ย. 52 12:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ใช้วิธี เอาตรายางคำว่า "สำเนาถูกต้อง" ปั๊มตรายางไว้ตรงรูปเราเลย หรือไม่ก็ปั๊มตรงส่วนที่มีข้อความอื่น ๆ บนบัตรประชาชน (ไม่ใช่ปั๊มตรงพื้นที่ว่าง) รวมทั้งระบุรายละเอียดว่าใช้ทำอะไร อย่างนี้พอจะป้องกันมิจฉาชีพ และรอดพ้นจากโฟโต้เฉาะได้หรือเปล่าคะ . . . จากคุณ : สรณธรรม - [ 25 มิ.ย. 52 12:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 75 กฎหมายไม่ได้เข้าข้างร้านค้านะครับ แต่ร้านค้าหรือธนาคารน่ะ มันพลาดไปแล้ว ชุ่ยไปแล้ว เสียหายไปแล้ว มันก็ต้องหาแพะมารับผิดชอบความเสียหายของตัวเอง  พนักงานที่ทำเรื่องก็ต้องหาแพะมารับผิด ไม่งั้นซวย แล้วใครจะเป็นแพะที่ง่ายที่สุดล่ะ  ก็คนมีชื่ออยู่บนบัตรไง  ก็ต้องฟ้องมันไว้ก่อน   แต่ถ้าใครมาจับผมเป็นแพะ ผมก็จะฟ้องกลับมันเหมือนกัน  อย่างน้อยการทำให้เราติดเครดิตบูโร ทำให้เราซื้อบ้านไม่ได้ก็ถือเป็นความเสียหาย ถ้าคดีจบแล้วผมชนะเมื่อไหร่ ผมฟ้องเรียกค่าเสียหายกลับแน่นอน ทั้งธนาคาร ทั้งร้านค้า ทั้งพนักงานที่ทำเรื่องที่เกี่ยวข้องทุกคน นี่คือสิ่งที่ผู้เสียหายควรทำครับ  พวกธนาคาร หรือร้านค้ามันจะได้ไม่กล้าจับใครมาเป็นแพะง่ายๆ จากคุณ : TingTing - [ 25 มิ.ย. 52 12:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 76 มาช่วยโหวต อ่านกระทู้นี้ก็สงสัยว่าผมเองเคยไปยื่นอะไรที่ไหนมั่ง อีตอนขีดคร่อมก็ขีดๆไปงั้น ไม่ได้ระวังด้วย - -" แต่ส่วนตัวแล้ว พวกสลิปบัตรเครดิต, สลิป ATM ,ซองเงินเดือน หรือเอกสารเงินๆทองๆ แม้แต่ใบแจ้งหนี้ค่าต่างๆ ถ้าไม่ใช้ ผมใช้เครื่องย่อยกระดาษบดหมด ไม่ทิ้งเป็นใบๆ จากคุณ : SamuDi Knight - [ 25 มิ.ย. 52 12:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 77 พนักงาน ไม่ดูเลยเหรอ โง่มาก น่าจะโดนเรื่อง รับของโจร จากคุณ : โควี - [ 25 มิ.ย. 52 12:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เห็นด้วย สงสัยมานานแล้วว่าทำไมคนซวยต้องผิดด้วย ทั้งๆที่หน้าจะเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน เพราะทางร้านก็ไม่รอบครอบเองด้วย จากคุณ : เจ๊เฟย์ กะ คุโรปู้ ==> Mz - [ 25 มิ.ย. 52 12:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เราเคยทำงานอยู่ เมืองนอก ที่นั่น จะใช้บัตรเครดิตได้ ต้องคู่กับบัตรประชาชน หรือบัตรแสดงตนพร้อมรูปเท่านั้น หากไม่มีสองสิ่งนี้คู่กันแล้ว เจ้านายสั่งว่า ไม่ให้รับเด็ดขาด ถ้าเขาจะโกรธ หรือไม่ใช้บริการ หรือขอพบเจ้านายก็ได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์ ใช้บัตรเครดิตใบเดียวโดดๆเลย เวลาเราไปซื้อของ ก็แบบเดียวกัน เค้าถือว่า ถ้าเราทำทุกอย่างถูกต้อง ก็พร้อมที่จะโชว์ทุกอย่างอยู่แล้ว ตอนกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ยังงงเลยว่า เวลายื่นบัตรให้ พนักงานก็รับไปรูดเฉยๆ ไม่ขอดูอะไรซักอย่าง จากคุณ : คนแก่ - [ 25 มิ.ย. 52 12:38:21 A:124.121.82.252 X: TicketID:177726 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แยกเป็นสองเรื่อง ไม่ได้ตามข่าวเลยไม่รู้ว่าเรื่องในข่าวเป็นเรื่องยัตรเครดิต หรือเรื่องเอาสำเนาบัตรประชาชนไปทำธุรกรรม 1. กรณีโดนขโมยบัตรเครดิต หรือบัตรปลอม อันนี้ทางร้านตรวจสอบยาก เพราะปกติไม่มีรูปบนบัตร ลายเซ็นต์หลังบัตรมันก็ลอกกันง่ายๆ หรือบางทีถ้าโจรมันได้บัตรตัวจริงที่ยังไม่ได้เซ็นไป เอาไปเซ็นต์เองก็เสร็จมัน 2. กรณีสำเนาบัตรประชาชน ก็ถือว่ากฏหมาย (เป็นกฏหมายรึเปล่า) เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังหละหลวม มีสำเนา มีหนังสือมอบอำนาจลงลายเซ็นปลอม ทางร้านก็ไม่รู้แล้วว่ามีการฝากมาจริงๆรึเปล่า หรือขอดูบัตรตัวจริง ถ้าเกิดทำบัตรหายโดยขโมยไปใช้ก็เสร็จอีก ทางแก้ ไม่ถึงกับต้องออกกฏหมายก็น่าจะอยู่ในสามัญสำนึกของร้านค้าล่ะนะ ถ้าเป็นการขอเปิดบริการ ทำสัญญาซื้อขาย กู้ยืม ผ่อนชำระ ต้องให้ตัวจริงมาเท่านั้น ห้ามฝาก ห้ามมอบอำนาจ ขอดูบัตรทุกครั้ง เซ็นสดๆต่อหน้าพนักงาน เท่านี้ก็น่าจะช่วยได้เยอะ ที่จริงแต่ละร้านก็รู้อยู่แก่ใจว่าควรทำแต่หละหลวมกันเอง ............................................ ส่วนเรื่องนี้โดนมากับตัว จู่ๆธนาคารก็ส่งบัตรใหม่มาให้โดยไม่โทรมาถามก่อนว่าจะต่ออายุหรือเปล่า หรือจะให้ส่งไปที่อยู่ไหน ปกติเวลาส่งบัตรใหม่มา เค้าจะโทรมาถามก่อน แต่หนนี้ไม่โทร จู่ๆก็ส่งมาเลย ปัญหาคือเราอยู่หอ แล้วเราก็ย้ายออกเดือนนั้นพอดี กลับมาอยู่เชียงใหม่ ยังไม่ทันได้ทำเรื่องแจ้งเปลี่ยนที่อยู่ บัตรก็ส่งสวนมา ทีนี้ ทางธนาคารส่งแยกกันมา 2 บัตร วีซ่าซองนึง มาสเตอร์การ์ดซองนึง ไม่รู้จะส่งแยกกันมาทำด๋อยอะไร ในเมื่อมันเป็นบัตรวงเงินเดียวกัน ปรากฏว่า บัตรนึงตีกลับ อีกบัตรนึงโดนสอยไป เชื่อว่าเป็นฝีมือคนดูแลอพาร์ตเม้นท์ เพราะเป็นคนเดียวที่อยู่รับจดหมาย แล้วก็เป็นคนเดียวที่รู้ว่าเราย้ายออกแล้ว ทางธนาคารก็โทรมาแจ้งเราว่าบัตรตีกลับ (แต่ไม่บอกว่ากลับมาใบเดียว) จะให้ส่งไปใหม่มั้ย เราก็เลยบอกว่าไม่ต้องส่งแล้ว ยกเลยไปเลยไม่ใช้แล้ว ทางธนาคารก็ทำเรื่องให้ โดยที่เราไม่รู้ว่ามีอีกบัตรส่งมาด้วย ผ่านไปครึ่งปี มีโทรศัพท์ทวงเงินจากธนาคาร ยอดเงินเกือบสองหมื่น -___- โชคดีที่ว่า ไอ้คนขโมยมันใช้บัตรอยู่ในกรุงเทพ แต่ตัวเราอยู่เชียงใหม่ตลอด แล้วก็มีหลักฐานว่าบัตรที่ส่งมาพร้อมกันเราก็ไม่ได้รับ และยกเลิกไปแล้ว มีหลักฐานว่าโจรที่มาเอาบัตรไปมันเนียนโทรไปอ้างกับธนาคารว่าเป็นเพื่อนเรา เราฝากให้โทรมาถามวงเงิน (อันที่จริงธนาคารน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนมันโทรมาแล้วนะ เพื่อนอะไร ถามเรื่องอะไรเกี่ยวกับเราไม่รู้ซักอย่าง ธนาคารน่าจะโทรมาเช็คกับเรา ของอีกค่าย มีอยู่วันนึงเรารูดซื้อของวงเงินสองหมื่นกว่าๆ เค้ายังโทรมาถามทันทีว่าเราใช้เองรึเปล่า) สรุปก็คือ เราไม่ต้องเดือดร้อนชดใช้เงินก้อนนั้น ทางธนาคารไปตามจับกันเอาเอง แต่................................................................. เรากู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน เพราะยอดเงินที่ไม่ได้จ่ายนั้น นับเป็นเครดิตเสียของเรา ฮ่วย... จากคุณ : ouiya - [ 25 มิ.ย. 52 12:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แถวบ้านผมประจำเลยครับ ชอบเอา สำเนาที่ไม่มีการเซ็นใดใดของเจ้าของบัตร มาถ่ายเอกสาร บางครั้งเป็นดาราด้วยซ้ำไม่เข้าใจว่า สำเนาพวกนี้ไม่มีการควบคุมหรืออย่างไร แต่บอกตรงๆ  ผมว่าไอ้คนรับอ่ะมักง่าย จากคุณ : chelsit - [ 25 มิ.ย. 52 12:57:45 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 25 มิ.ย. 52 13:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เข้ามาโหวตครับ.. จากคุณ : pae_get - [ 25 มิ.ย. 52 13:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ยาวไปขี้เกียจอ่านแต่พออ่านข้ามๆจับใจความได้ ถ้าอ่านแล้วเข้าใจผิดก็ขออภัย เพราะไม่ได้ตามข่าว มันอยู่ที่ใครประมาทครับ ว่ากันไปเป็นกรณีๆไป แล้วที่บอกว่าธนาคารดูแล้วเห็นลายเซ็นปกติ ไม่ต้องรับผิดชอบ เจ้าของบัตรไม่ต้อง จริงๆแล้วไม่ใช่เลยครับ ธนาคารต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าคนทั่วๆไป เทียบเอากับตัวอย่างคำพิพากษาเรื่องเช็ค ถ้าเราเองมีส่วนประมาทด้วยมากๆ ก็อาจจะต้องรับผิด พวกร้านค้าจะมาบอกว่าเห็นแค่นี้ ทำไปตามปกติไม่ประมาทก็ไม่ได้ เราต้องมาพิสูจน์กันว่ามันใช้ความระมัดระวังตามสมควรสำหรับคนที่ค้าขายเป็นประจำหรือยัง ถ้าเป็นคดีจริงๆแล้วไม่ได้ความว่าตัวเราเองประมาทจริงๆยังไงก็ชนะครับ แต่เรื่องนี้ต้องให้ศาลตัดสิน พวกธนาคารหรือร้านค้าเอะอะก็อ้างว่าเราผิด ให้เรารับผิดชอบไว้ก่อนอยู่แล้ว พวกฝ่ายกฎหมายนี่ตัวดีเลย เป็นคดีมันก็ไม่สนุกนี่เนอะ จากคุณ : nonamesaur - [ 25 มิ.ย. 52 13:06:59 A:125.25.17.233 X: TicketID:147080 ]

ความคิดเห็นที่ 85 โดนเหมือนกัน แต่เราก็ผิดด้วย นานมาแล้ว เราเคยผ่อนสินค้ากับ .... และมีบัตรให้สามารถไปผ่อนสินค้าอื่นๆ หรือเบิกเงินสดได้ แต่เผอิญไม่มีความจำเป็น ระหว่างผ่อนอยู่เราขี้เกียจไปจ่ายเอง เลยฝากบัตรและฝากเงินให้แฟนไปผ่อนให้ เพราะแฟนก็ผ่อนของเค้าอยู่ด้วย จนผ่อนหมด ผ่านมาหลายเดือน วันนึงมีใบแจ้งหนี้ให้ไปผ่อนค่ามือถือ เราก็ตกใจ เพราะไม่เคยซื้อเลย เล่าให้แฟนฟัง แฟนก็ขอดูใบแจ้งหนี้ กลายเป็นว่า แฟนไปซื้อมือถือ โดยใช้ชื่อแฟน บัตร ปชช.แฟน แต่ดันหยิบบัตร...ผิดใบให้เพราะมันเหมือนกัน ตอนแรกเราไม่เชื่อ คิดว่าตูโดนแฟนหลอกแน เค้าเลยพาไปที่ร้าน ที่ซื้อ เมื่อสอบถามปรากฎว่า ตรงตามที่แฟนบอก เลยขอเปลี่ยนใช้บัตรของแฟน ทางร้านให้ไปทำเรื่องที่บริษัท.... พอไปเปลี่ยน ทางบริษัทอ้างว่าเปลี่ยนไม่ได้ เรื่องผ่านไปแล้ว ตอนแรกเราไม่ยอม เพราะไม่ได้ใช้บัตร ปชช.เรา ด้วยซ้ำ ลายเซนต์ก็ไม่ใช่ ในใบคำขอต่างๆ ก็เป็นชื่อแฟน ถ้าเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่แฟนเรา จะทำยังไง เพราะเราเป็นเจ้าของบัตร ต้องรับผิดชอบ ทางบริษัทให้ไปแจ้งความ เราก็ไปแจ้งความ และกลับมาทำเรื่อง ผ่านไป 1 อาทิตย์ โทรตามให้เราชำระหนี้ เราก็บอกไปว่าให้ปลี่ยนชื่อ ให้เสร็จ เพราะแฟนเตรียมเงินไว้แล้ว ผ่านไป 3 วัน โทรมาบอกให้ชำระก่อน เดี๋ยวเสียค่าปรับ เราก็ไม่ยอม ขอคุยกับหัวหน้า ทางนั้นก็บอกจะรีบดำเนินการ แต่ให้เราจ่ายงวดแรกก่อน แต่เราบอกก็แค่เปลี่ยนชื่อ ทำไมเปลี่ยนไม่ได้ วงเงินบัตรของแฟนก็มีอยู่ เอกสารก็เซนต์ไปแล้ว ก็เหมือนเดิม คือขอให้จ่ายก่อน ตั้งแต่นั้น โทรทวงเงินเราทุกวัน ขู่ว่าจะเสียค่าทวงถาม+ดอกเบี้ย แต่ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อให้ จนเรารำคาญ เพราะรู้ว่ายังไงแฟนเราก็ไม่โกงเราแน่นอน เพราะเค้าเอาเงินมาให้เราก่อนทุกครั้ง จึงต้องยอมจ่ายมันไป ตั้งแต่นั้นตัดบัตรมันทิ้ง ทันที และเลิกผ่อนซื้อของไม่ว่ากับเจ้าไหนทั้งสิ้น จากคุณ : pan_dimond - [ 25 มิ.ย. 52 13:17:59 ]

ความคิดเห็นที่ 86 vote.. จากคุณ : oat_jazz - [ 25 มิ.ย. 52 13:19:30 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เข้ามาแสดงความคิดเห็นค่ะ โดยส่วนตัวเคยเจอเพื่อนเอาเอกสาร (ที่เคยให้ไว้ตอนทำบัตรเครดิต) ไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ทราบเรื่องจนกระทั่งเจอทางบริษัทโทรมาทวงหนี้ (เอกสารทุกอย่างส่งไปที่บ้านเพื่อนหมด) แต่ดันมาทวงหนี้กับเรา ก็ fax ใบแจ้งความกับหนังสือแสดงว่าไม่ใช่เราซื้อ ต่อมาบริษัทขายหนี้ต่อไปให้อีกบริษัท เจอหมายศาลซะงั้น ไม่รวมทั้งติดเครดิตบูโร โดยหนี้ที่ไม่ได้ก่อ ก็เลยไปศาลตามวันที่นัด ทางทนายฝ่ายเจ้าหนี้ จะพยายามให้เราแจ้งความคดีอาญา เพื่อเอาผิดกับเพื่อน แต่ทางศาลบอกว่า ถ้าไม่ได้ทำ ก็ให้ไปตกลงกันกับเจ้าของหนี้ ถ้าไม่งั้น ต้องจ้างทนายมาแก้ต่าง พอดีมีเพื่อนเป็นทนาย เลยเอาไปปรึกษา เค้าบอกว่า นี่เป็นคดีแพ่ง ให้สู้ เพราะเราไม่ผิด ไม่ใช่เอกสารตัวจริงเรา บัตรปชช. ที่ถ่ายไปก็ดำมิด (ถึงขีดค่าก็ไม่ได้ช่วย) ข้อมูลที่กรอกก็ไม่ตรงกับบัตร รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ (เข้าใจว่าพนักงานขายของบริษัทน่าจะร่วมขบวนการ) ก็เลยยอมเสียค่าทนายสู้คดี แล้วเค้าก็ยกฟ้อง เพราะทางเค้าผิดจริง เลยสรุปว่า ถ้าเราไปฟ้องเพื่อนในคดีอาญา เราก็ยังจะเป็นลูกหนี้เค้า สู้คดีแพ่ง ให้บริษัทเค้ายกฟ้อง เพราะเราไม่ผิดดีกว่า (ทั้งนี้ ศาลกับเพื่อนเป็นคนแนะนำว่าให้สู้คดีแพ่ง) พิสูจน์ลายเซ็น เอกสาร ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ อีกอย่างถ้าใครมีเอกสารเราไว้ ถ้ากลัวว่าเค้าจะทำอะไร ให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน จะช่วยเราได้เยอะค่ะ (ทั้งนี้ ขอให้ผู้รู้เรื่องข้อกฎหมาย เข้ามายืนยันอีกทีค่ะ เพราะอันนี้แบ่งปันจากประสบการณ์จริง ที่เสียค่าทนายไปหลายตังค์อยู่ เศร้า) จากคุณ : คุณนาย - [ 25 มิ.ย. 52 13:22:29 A:192.44.136.113 X: TicketID:221627 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ตรวจสอบบัตรประชาชน ทุกครั้ง ที่ ใช้บัตรครับ วิธีพื้นฐานที่ได้ผลที่สุด จากคุณ : ว่างงาน - [ 25 มิ.ย. 52 13:23:39 ]

ความคิดเห็นที่ 89 จะว่าไป บางคนหน้าตาในบัตรประชาชนหน้า ยังคล้ายกันเลยนะ เวลาถ่ายบัตรประชาชน ถ้าเป็นผมม้า ก็เปิดหน้าไปเลยดีกว่าจะได้เห็นกัน ชัดๆ อย่าเอาผมมาปิดหน้าปิดตา บางคนกลัวหน้าใหญ๋ เอาผมมาไว้แก้ม มันมองเห็นหน้าไม่ค่อยชัดนะ บางครั้ง เจ้าหน้าที่มองยังถามกลับว่านี่บัตรคุณหรือคะ มันไม่เหมือน ระวังเพื่อนที่หน้า คล้ายเอาไปเนียนได้ ยิ่งบัตรใหม่ หน้านิดเดียวเอง แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 52 13:42:42 จากคุณ : พาไล - [ 25 มิ.ย. 52 13:41:29 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เข้ามาเก็บข้อมูลและให้ Give คห 44  ครับ จากคุณ : blizday - [ 25 มิ.ย. 52 14:08:40 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณกระทู้นี้มาก ทำให้เราต้องระวังเรื่องเอกสารมากขึ้น กลัวหายจังเลย จากคุณ : sirirak27 - [ 25 มิ.ย. 52 15:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ถ้าเราเขียนแค่ชื่อเต็มของเราข้างหลังบัตรเครดิต แล้วก็เขียนว่า "ดูบัตรประชาชนด้วยครับ" แบบที่ฝรั่งทำกัน แบบนี้ร้านค้าเขาจะรับบัตรเรามั้ยครับ จากคุณ : Jazz Man - [ 25 มิ.ย. 52 15:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ของผมไม่ว่าจะทำเอกสารธุรกรรมอะไร ทั้งสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ผมขีดคร่อมทับที่รูปตลอดครับ ว่าใช้เพื่ออย่างนั้น อย่างนี้  มันสบายใจดีครับ จากคุณ : K_chang - [ 25 มิ.ย. 52 16:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เฮอ  เฮอ วันนี้พึ่งทำธุรกรรมไปอย่างหนึ่ง มาอ่าน เรื่องการขีดคร่อมตรงหน้าที่แนะนำกันมา ทำเอาใจหาย วาบ เพราะ ว่า จำได้ว่าขีดคร่อมอยู่แต่ เป็นที่ว่าง ระในกระดาษ (แล้วจะเป็นไรไม่เนี่ย) หวังว่าความซวยที่มากมายอยู่ แล้วคงซวยซ้ำซวยซ้อนเข้าไปอีกนะ ถ้าเจออย่างที่ เล่ากันมา คงต้อง ตายหยังเขียดแน่ จากคุณ : หางหวาย - [ 25 มิ.ย. 52 16:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ถ้าเซ็นต์แบบนี้จะมีคน ยอมให้ใช้มั๊ยคะ ขีดฆ่า ก็หาทางลบออกได้ ขีดวนๆ แบบนี้  คนเอาออกยากหน่อยมั้ง?? ป.ล.แล้ว ไอ่บัตรประชาชนทั้งหลายแหล่ มันหาง่ายมากๆเลยนะคะ ลงเปิด อากู๋  ไปที่รูปภาพ  พิมพ์คำว่า บัตรประชาชน ขึ้นมาให้เลือกทุกแบบเลย.. แล้วมันจะไปปลอดภัยได้ยังไง ดีนะ  ไม่เคยสแกนบัตร ส่งไปตามเวบ TT (นี่เรากำลังชี้โพรงให้กระรอกรึเปล่าอ่ะคะ) จากคุณ : gixzkung - [ 25 มิ.ย. 52 16:38:18 ]

ความคิดเห็นที่ 96 อ่านเจอ คคห ที่8 แล้ว เคยเจอกรณีคล้ายๆกันค่ะ  ไปสมัครบัตรเครดิต(ใบแรกของชีวิต) แล้วโดนปฏิเสธ บอกว่าเราไม่ผ่านเครดิตบูโร  บอกว่าเรามีประวัติ ฯลฯ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยทำธุรกรรมใดๆ มาก่อนเลย ก็ตกใจมากๆ  เพื่อนเราบอกว่าลองไปสมัครของแบงค์อื่นดู ไปสมัครขอเคทีซีค่ะ ก็ผ่านฉลุย แถมไม่มีค่าธรรมเนียม ต่อมาแบงค์เดิม(แบงค์แรกที่สมัคร) ก็มีเซลล์มาขายให้ถึงที่เราเลยบอกว่า เคยสมัครแบงค์นี้แล้วแต่ไม่ผ่านเครดิตบูโร ทั้งๆ ที่เราไม่เคยมีธุรกรรม หนี้สินไรมาก่อน เซลล์คนนี้เลยลองเอาชื่อไปเช็คให้แล้วบอกว่าสงสัยครั้งแรกมันผิดที่ชื่อซ้ำกัน ฯลฯ แต่เราเลยบอกว่า เหรอ ไม่ทำแบงค์นี้แล้วละ ชุ่ยอย่างนี้ขอบายดีกว่า จากคุณ : โอตาคุ - [ 25 มิ.ย. 52 17:23:17 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ประเทศไทยน่าจะเอาระบบpinและก็chipมาใช่ในบัตรcredit สมัยนี้ทำอะไรก็ต้องระวัง น่ากลัวจริงๆ จากคุณ : หลานสาวชาวนา - [ 25 มิ.ย. 52 18:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ที่บ้านคุณแม่ก็โดนค่ะ เอาบัตรประชาชนไปสมัครสมาชิกเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง จนท อาศาไปถ่ายเอกสารให้ แล้วตั้งแต่นั้นมาก็โดน ใบฟ้องจากบริษัท ทวงหนี้ จาก บริษัท มือถือ เกือบทุกค่ายเลย -*- สังเกตุว่า  พวกนี้ที่เอาบัตรไปสมัคร เวลาทำสัญญา   จะพยายามเขียนชื่อ หรือนามสกุลเพี้ยน กรณีนี้ ให้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ว่าเราได้รับแจ้ง จม. แต่ไม่ได้กระทำการนั้นไว้ค่ะ   ถ้ามีเวลาก็โทรกลับไปบริษัททวงหนี้  แล้วขอสำเนาทำสัญญามาดู จากคุณ : พู่กันไร้สี - [ 25 มิ.ย. 52 18:28:38 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เค้าคงอยากได้ตังค์และยอดน่ะค่ะ เลยไม่สนจัยว่าใครจะเดือดร้อน เรื่องมันเศร้าจิงๆๆ จากคุณ : วันฝนตก (ฝนฝน) - [ 25 มิ.ย. 52 20:46:48 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เวลาจะเซ็นรับรองสำเนา ผมจะเขียนระบุเอาไว้ด้วยว่าใช้สำหรับเรื่องอะไร จากคุณ : Bojan Krkic - [ 25 มิ.ย. 52 21:23:39 A:124.121.104.130 X: TicketID:179550 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ทำไมตอนทำบัตรเครดิตไม่มีการสแกนลายนิ้วมือ เหมือนตอนทำบัตรประชาชน  ทำ passportเลยล่ะคะ ถ้าลงทุนกันสักหน่อย รูดบัตรแล้วเชื่อมโยงข้อมูลกันได้จะดีมาก จะได้เห็นเลยหน้าตาคนทำบัตรเครดิตเป็นยังไง ลายนิ้วมือถูกต้องตรงกันไหม?   และไม่ควรมีการโอนอำนาจให้ไปทำบัตรเครดิตได้ด้วย เจ้าตัวควรจะมาทำเอง  เวลารูดบัตรก็ต้องใช้สแกนลายนิ้วมือยืนยัน อ้อ ควรสแกนม่านตาด้วย ดูข้อมูลที่ออกมาว่าตรงกับข้อมูลกรมการปกครองและธนาคารไหม เราว่้านะ เรื่องที่ทำบัตรเครดิตกันง่าย ๆ เนี่ย เป็นช่องโหว่เยอะทีเดียวค่ะ เพราะบางทีพนักงานต้องการเพิ่มค่าคอมฯ ให้ตัวเอง มีโอกาสอย่างมากเลยที่จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใครมาก็ทำ ๆ ไป  ขอให้ฉันได้ยอดก็พอ  เฮ้อ.... เผลอ ๆ พนักงานนี่แหละตัวดี   ลูกค้ามาเปิดบัญชี ดันเอาสำเนาบัตรประชาชนไปทำบัตรเครดิตเฉย เรื่องแบบนี้จะยังเกิดต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่หามาตรการมารองรับให้รัดกุมกว่านี้ จากคุณ : #BeaVer# - [ 25 มิ.ย. 52 21:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 102 แวะมาเพิ่มเติมนะครับ (ตอนกลางวันอยู่ที่ทำงานเข้า net ไม่ได้) ผมอยากให้ทุกคนคิดเอาไว้เลยนะครับ ว่าบัตรเครดิตก็คือเงินสดก้อนหนึ่งที่อยู่ในมือของเรา สมมติว่าเรามีบัตรวงเงินอยู่ 1 แสน ก็เท่ากับว่าเรากำเงินสด 1 แสนไว้ในมือตลอด (ยิ่งมีหลายบัตรก็ยิ่งเหมือนกำเงินยิ่งเยอะเข้าไปอีก) ถ้าเป็นการทุจริตโดยบัตรหาย ถูกขโมยไปใช้ โดยลายเซ็นจะเหมือนหรือไม่ก็ตาม ทางร้านจะตรวจสอบหรือไม่ อันนี้ถ้าเป็นรายการที่เกิดขึ้นก่อนการอายัดบัตร เบื้องต้นลูกค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบยอดที่เกิดขึ้นดังกล่าว เว้นแต่จะเป็นรายการเกิดหลังจากการอายัด เนื่องจากระบบไม่สามารถอายัดได้ในเวลาที่ผู้เสียหายแจ้งการอายัด อันนี้ลูกค้าจึงจะไม่ต้องรับผิดชอบ (ข้อบังคับอันนี้มีอยู่ใน ระเบียบการใช้บัตรของทุกธนาคาร แต่ผมเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่อ่าน เพราะมันเยอะและยาวมากๆ และเป็นข้อบังคับที่คนส่วนใหญ่ก็รู้ เวลาไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับตัว แต่พอเกิดขึ้นกับตัว ก็จะลืมกฎข้อนี้กันหมด) ซื่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ส่วนใหญ่ลูกค้าจะแพ้ครับ เพราะธนาคารจะเอากฏที่ว่านี้มาเป็นข้ออ้าง ผู้เสียหายจะไปอ้างต่อศาลว่าไม่ได้อ่านข้อบังค้บก็ไม่ได้ และส่วนใหญ่จะแพ้คดีแบบนี้ในรูปประมาทเลินเล่อร้ายแรง นอกจากว่าจะมีหลักฐานแน่นหนาว่าไม่ได้ใช้ และชี้ไปถึงตัวผู้กระทำผิด และจับผู้กระทำผิดได้ และกรณีที่ลูกผู้ถือบัตรส่วนใหญ่ต้องรับผิดชอบเต็มๆอีกอันหนึ่งคือ การเก็บรหัสกดเงินสดไว้กับตัวบัตร หรือกระเป๋าเงินที่เก็บบัตร หรือไม่ก็เมมไว้ในมือถือ การใช้รหัสง่ายๆเช่น วัน เดือน ปี เกิดบนบัตรประชาชน เมื่อของพวกนี้หายพร้อมกันหมด (ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงมักจะเก็บของพวกนี้ไว้ในกระเป๋าสะพายรวมกันหมด) และเมื่อมีรายการกดเงินสดขึ้น และที่ตู้ ATM ไม่มีกล้องวงจรปิด และไม่สามารถตรวจสอบหาผู้กระทำผิดได้ อันนี้ผู้ถือบัตรก็ต้องรับผิดชอบยอดเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจากประมาทเลินเล่อร้ายแรงเช่นกัน บัตร ATM ก็เข้าข่ายห้ามเก็บรหัสกดเงินกับบัตรไว้ใกล้ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเกิดบัตร ATM หายและมีรายการเบิกถอนเงินสด เราก็ไปเรียกร้องจากธนาคารไม่ได้เหมือนกัน เว้นแต่ว่าเจ้าของบัตรจะรู้ตัวเร็วและโทรไประงับบัตรได้ทัน หรือว่าที่ตู้ ATM มีกล้องวงจรปิดจับหน้าคนร้ายได้ (แต่จะตามจับได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง ถ้าเป็นคนใกล้ตัวก็ง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นคนร้ายจริงๆก็อาจจะลำบาก) *** ก็เหมือนอย่างที่ผมยกตัวอย่างไว้ตอนต้นว่าบัตรเครดิตก็เปรียบเสมือนเงินสด เมื่อเจ้าของบัตรขอวงเงินจากธนาคารมาใช้ แต่ยังไม่ทันใช้ก็โดนคนอื่นชิงเอาไปซะก่อน อันนี้เจ้าของบัตรก็จะโทษธนาคารไม่ได้ เพราะเจ้าของบัตรไม่ดูแลให้ดีเอง และการฝากให้คนอื่นไปกดเงินให้ก็เช่นกัน เพราะเมื่อเราวานให้คนอื่นไปกด เค้าก็ต้องจำรหัสเราได้อยู่แล้ว และเมื่อเกิดเหตุการบัตรหาย อาจจะเป็นคนที่เราเคยให้ไปกดก็ได้ที่มาขโมยบัตรเราไป เว้นแต่เมื่อเจ้าของบัตรวานให้คนอื่นไปกดเงินให้แล้ว ตัวเจ้าของบัตรต้องรีบไปเปลี่ยนรหัสใหม่ ก็จะป้องกันได้ (แต่ก็ต้องระวังเค้ากดมาเกิน แล้วเจ้าของบัตรไม่รู้นะครับ เช่นให้ไปกด 20000 แต่เค้ากดมา 40000 แล้วเอาแค่ 20000 มาให้ อีก 20000 แฮบไว้เอง กว่าเจ้าของบัตรจะรู้ตัวก็นู่น Statement ออกแหละครับ แล้วก็มักจะมาโวยกับธนาคารก่อนเสมอ) และการทำธุรกรรมทาง Internet เช่นกัน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะโดนแฮกข้อมูลได้ง่ายมาก ซึ่งการป้องกันการถูกแฮกข้อมูลทาง Internet นั้นไม่ควรทำที่เครื่องคอมที่มีการต่อ Lan เชื่อมต่อกับเครื่องอื่น (เช่นคอมในบริษัทที่มีการเชื่อม Lan ภายใน) ไม่ใช้ Wifi ที่มีการใช้ร่วมกันมากในที่สาธารณะ (เช่นที่สตาร์บัค !!!) ควรจะทำที่เครื่องคอมส่วนตัวที่มีสายต่อ Internet ตรงเข้าเครื่องเพียงสายเดียว และต้อง Update โปรแกรมสแกนไวรัสและ Spyware อยู่เป็นประจำ และไม่ทำรายการใน Web Site ที่ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ก็จะสามารถป้องกันการถูกแฮกข้อมูลได้   ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ถ้านึกอะไรออกแล้วจะมาโพสใหม่นะครับ จากคุณ : goldlank - [ 25 มิ.ย. 52 22:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ถ้าอยู่ดีๆ มีบริษัทบัตรเครดิต มาทวงหนี้เรา โดยที่เราไม่ได้ใช้ เราชิงฟ้องบริษัทนั้นไปก่อนเลยได้ไหม ว่ามีเจตนาพยายามฉ้อโกง (หรือข้อหาอื่น) จากคุณ : jezo - [ 25 มิ.ย. 52 22:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ตอบ คุณ jezo #103 อย่าพึ่งฟ้องครับ เดี๋ยวจะยาว = =" ต้องทำการทักท้วงไปก่อนครับ แล้วรอดูว่าจะมีการปลดยอดเงินในส่วนนั้นให้เรามั้ย ซึ่งถ้าเป็นข้อผิดพลาดจากทางธนาคารหรือร้านค้า ย้ำ ! ข้อผิดพลาดนะครับ ไม่ใช่การทุจริตบัตร... ถ้าเป็นเช่นนั้นธนาคารคืนเงินให้ 100% ครับ ยกเว้นแต่ว่าจะตรวจหาสาเหตุไม่พบ และมีการตอบกลับจากทางร้านค้าว่า มีการใช้บัตรซื้อสินค้าจริงๆ และไม่มีการคืนเงินใดๆ กลับมา ก็ค่อยว่ากันต่อไปครับ ปล. ข่าวคุณตุ๊กตาตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ มีอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า ผมยังไม่ได้ข่าวเลยครับ ??? แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 52 01:50:55 จากคุณ : ฟีโลอาทรอส (philoatros) - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 01:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 105 สำเนาบัตรประชาชน ขีดเขียนไปว่าใช้กับเรื่องอะไรไปก็แทบไม่ค่อยมีประโยชน์หรอกครับ วันก่อนผมไปทำเรื่องที่เขตใช้เอกสารแฟนไปด้วย เค้าขีดคร่อมไว้ว่าสำหรับธนาคารxxxxเท่านั้น (ที่จริงเป็นความผิดผมเองด้วยหยิบเอกสารขีดคร่อมไปผิดชุดกว่าจะรู้ตัวก็เห็นอยู่ในมือเจ้าหน้าที่แล้ว ดึงกลับมาไม่ทัน) เจ้าหน้าที่เขตรับไปแล้วทำเรื่องให้เลย แบบนี้จะเขียนกำกับไปทำไม? จากคุณ : Jump.Jr - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 02:27:28 ]

ความคิดเห็นที่ 106 หลายปีก่อน  ช่วงที่ยังตกงาน (น่าจะประมาณปี 2002) เราถูกไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ เอาสำเนาบัตรประชาชนไปใช้เปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือ แล้วใช้เบอร์นั้น กระหน่ำโทรออกไปต่างประเทศ  ยอดเงินเกือบแสน แล้วยังมียอดที่ใช้โทรในประเทศอีกหลายหมื่น   วันหนึ่ง เราได้รับจดหมาย จากทาง ดีแทค แจ้งว่าเราค้างชำระค่าบริการ และจะดำเนินการตามกฏหมายขั่ืนสูงสุดกับเรา เพราะจำนวนเงินมันเยอะมาก ตอนนั้นงง  ช๊อค  ก็ในเมื่อตัวเราเป็นแค่นักศึกษาที่จบและตกงานมา 3 ปีแล้ว เราจะเอาปัญญาที่ไหนไปเปิดเบอร์มือถือแบบรายเดือน ตัวเราเองตอนนั้น ก็ใช้วันทูคอล  เติมเอาเดือนล่ะ 500 ซึ่งแม่ก็เป็นคนเติมให้ ตอนนั้นทำได้คือ  บึ่งไปสถานีตำรวจใกล้บ้านก่อนเลย  แล้วลงบันทึกประจำวัน คุณตำรวจที่ลงบันทึกให้ถึงกับส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า  "แบบนี้อีกแล้วหรือ" ตอนนั้นเราจะร้องไห้แล้ว  เรากลัวมากๆ เพราะเราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเขา คุณตำรวจปลอบว่า  "ไม่ต้องกลัว" แล้วสอบปากคำเราว่า... ช่วงนี้เราได้ให้สำเนาบัตรประชาชนกับใครไปหรือเปล่า? มาได้คำตอบที่น่าจะเป็นที่สุดคือ  "เราไปสมัครงานที่งานจ๊อบแฟร์มา" สมัครไปหลายบริษัทมาก  และทุกบริษัทก็ขอเอกสารเหมือนๆ กัน คือ สำเนาบัตรประชาชน  สำเนาวุฒิการศึกษา สำเนาใบรับรองการอบรมต่างๆ คุณตำรวจบอกว่า  "งั้นก็จากที่นี่แหละ" เราเจ็บใจมากอ่ะ  ทำไมมันถึงทำกับเด็กจบใหม่ที่กำลังตกงานแบบนี้ หลังจากนั้นเอาสำเนาบันทึกประจำวัน  ไปที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยแจ้งวัฒนะ แล้วก็นำเอกสารทั้งหมดที่เราได้รับจากทางการสื่อสาร และสำเนาบันทึกประจำวัน ไปแจ้งกับทางดีแทค (ตอนนั้นไปแจ้งที่ฟิวเจอร์รังสิต)   ทางดีแทคก็บอกกับเรามาว่า  มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมากๆ ส่วนใหญ่แล้ว  เบอร์ที่ขายออกไป  ไม่ได้ผ่านทางดีแทคโดยตรง เบอร์พวกนั้นส่วนใหญ่ขายผ่านร้านค้าปลีกที่ขายโทรศัพท์มือถือ ที่เห็นเกลือนอยู่ตามห้าง ตอนนั้นเราสงสัยมาก  ทำไมกัน  ทำไมขายกันง่ายๆ  ทั้งๆ ที่หน้าคนซื้อ กับหน้าในบัตรประชาชน  มันย่อมเป็นคนล่ะคนกัน   ทำไมเขามักขาย หวังจะเอาแต่เงิน ขายกันแบบง่ายๆ แบบนี้ แล้วผลเสียทีี่่ตามมา  มันมาตกกับเรา  โอเค...เราไม่ต้องจ่ายเงินมากมายจำนวนนั้น แต่เราเสียเวลาเป็นวันๆ  ในการวิ่งรอกไปสถานีตำรวจ แล้วไปการสื่อสาร แล้วไปดีแทคอีก แถามยังเสียขวัญ  สั่นประสาท  นอนไม่หลับไปเลย กว่าเรื่องจะจบ จากคุณ : soulfighter - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 02:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 107 มีที่แจ้งแล้วไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันค่ะ พอดีอากงที่คุณชายเขารู้จักอยู่เป็นนักธุรกิจเลยเปิดวงเงินไว้ค่อนข้างสูง อีกอย่างเป็น vip ของทางแบงค์อยู่ด้วยน่ะ แล้วยังไงไม่รู้โดนมิจฉาชีพเอาไปรูด น่าจะสร้างปลอมอีกใบมั้ง ยอดร่วมล้านค่ะ แต่พอดีว่าช่วงนั้นอากงบินไป ตปท. มีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ในเมืองไทย ในช่วงที่มีการใช้ยอดดังกล่าว พอแจ้งไปทางแบงค์เขาก็เลยยกเลิกยอดนั้นไป จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 03:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ธนาคารอยากได้สมาชิกบัตรเครดิตมากเกินไปหรือเปล่าเลยหละหลวม น่าจะออกระเบียบว่าเวลาทำบัตรเครดิตทุกครั้งน่าจะต้องขอดูบัตรประชาชนตัวจริงด้วย จากคุณ : apotheker - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 09:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขี่คร่อมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก  แสกนลงเครื่องเข้าโฟโต้ช๊อปไม่นานก็สามารถ ลบตัวขีดคร่อมได้แล้ว ควรที่จะต้องแสดงบัตรตัวจริงต่อหน้าสำเนาทุกครั้งเวลาทำธุรกรรม ไม่ก็ออกกฎหมายไปเลยว่า ผู้ใดนำเอกสารบัตรประชาชนไปปลอมแปลงมีโทษสูง ไม่สามารถเสียค่าปรับได้ จำอย่างเดียว สัก 50 ปี แล้วค่อยออกมาใหม่  ถ้ายังไม่ตายก็อนุญาตให้ออกมานะ เห็นด้วยแบบนี้ต้องโหวต ไม่เคยมีใครจับคนแปลงเอกสาร มาลงโทษหนักๆ ให้เห็นสักทีบ้างเลย ... .. . จากคุณ : แง่มๆ น้องหมา 2 ปี - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 13:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 110 โฟโต้ช๊อปสามารถพิสูจน์ได้ครับไม่ยาก ว่ามีการลบ+ตกแต่งหรือไม่ ใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลก็ได้ แค่ใช้ผู้ชำนาญหน่อยหาที่พันทิพย์ก็คงมี การกระทำแบบคห 95เชื่ิิอได้ว่าปล่อยภัยครับ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 52 14:16:58 จากคุณ : EndEarth - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 111 โดเรมอน ยังโดน ... ^   ^ จากคุณ : D_YONG - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 112 เคยเจอที่ร้านค้ารับผิด แต่เป็น ต่างประเทศค่ะ. บัตรเดบิตการ์ดสองใบถูกขโมย ภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนจะรู้ตัวและแจ้งระงับ เงินหมดบัญชีไปแล้ว ใบแรก เป็นของธนาคารในอเมริกา ทันที่ที่เราส่งสำเนาใบแจ้งความให้ เค้าออกเงินสำรองเข้าบัญชีเราทันที พร้อมจดหมายบอกว่าทางธนาคารขอชดใช้เงินที่สูญหายเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่ตรวจสอบ หากภายหลังพบว่าเราเป็นผู้ใช้เงินแต่จงใจแจ้งความเท็จเค้าจะยึดเงินคืนพร้อมค่าปรับ แต่หากผู้นำบัตรไปรูดซื้อสินค้านั้นไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องกังวล ธนาคารจะรับผิดชอบคืนเงินทั้งหมดให้ บัตรที่สอง เป็นธนาคารในเมืองไทย เราโทรมา เค้าตอบว่าไม่สามารถช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่เรามีหลักฐานการแจ้งความ มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดว่าคนที่ไปรูดบัตรไม่ใช่เรา และลายเซ็นก็ไม่มีทางคล้าย เพราะเราเซ็นเป็นภาษาไทย (อย่างที่บอกว่าบัตรหายในต่างประเทศ) เราโวยวายว่าปล่อยให้รูดได้ไง ยอดละสามหมื่นบาท สามยอดติดๆกัน ไม่มีระบบอะไรจะจำกัดวงเงินเลย (ขนาดกดเอทีเอ็มยังกดไม่ได้เยอะขนาดนั้นเลย) ธนาคารบอกว่า บัตรเดบิตก็เหมือนเงินสด ธนาคารไม่ได้ดูแลอะไร และเราก็แจ้งอายัดไม่ทันเอง เค้าบอกว่าเราต้องไปตามกับร้านค้า หรือไม่ก็ติดต่อโดยตรงกับบริษัทวีซ่า ถามว่าติดต่อยังไงก็ไม่ตอบ บอกว่าต้องให้ผู้จัดการสาขาอธิบาย และผู้จัดการมันก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เรา ..........สุดท้าย.... เราได้เงินคืนทั้งหมดเพราะว่าตำรวจทางโน้นตามไปถึงร้านค้า พร้อมบอกผู้จัดการว่าร้านมีความผิดดังนี้คือ 1. ให้ไอ้โจรที่ถือบัตรเรารูดซื้อสินค้าราคาสูงโดยไม่ขอดู ID ทั้งที่ชื่อบนบัตรก็เป็นชื่อแปลก เ (ชื่อไทยยาวเป็นวา) ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเจ้าของชื่อจะเป็นชายผิดดำ 2. ปล่อยให้มีการรูดซื้อสินค้าจากบัตรสองใบ ใบละหลายครั้งติดๆกัน โดยลูกค้าคนเดียว 3. ไม่มีการตรวจสอบลายเซ็นหลังบัตร ตำรวจจะสอบสวนร้านค้าว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกับโจร ทำให้ร้านค้าตกลงยกเลิกรายการซื้อสินค้าทั้งหมด เราจึงได้เงินคืนเต็มจำนวน จากนั้นแบงค์ในเมืองไทยจึงมีหนังสือแจ้งจะคืนเงินเรา “เนื่องจากทางร้านค้าตรวจสอบแล้วว่าเจ้าของบัตรไม่ได้ใช้เอง แต่ถ้าภายหลังร้านค้าเรียกเก็บเงินจำนวนนี้ใหม่ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ธนาคารก็มีสิทธิ์จะหักเงินจากบัญชีเราอีกครั้ง” จริงๆถ้าไม่ติดว่าเป็นบัญชีเงินเดือน คงเลิกใช้บริการแบงค์ไทยมาตรฐานสากลนี้ไปแล้ว จากคุณ : เรื่องมันยาวเ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:17:54 A:118.175.2.132 X: TicketID:090721 ]

ความคิดเห็นที่ 113 เรื่องบัตรเครดิตก็มีค่ะ อยู่ๆมีรายการว่าไปใช้ที่อังกฤษเป็นเงินเกือบ 80000 บาท เราก็งงว่าเป็นไปได้ยัง เพราะปกติธนาคารนี้จะมี sms แจ้งทุกครั้งที่มีการรูดเกินสามหมื่น พอถามธนาคารบอกว่าทั้งหมดนั้นแบ่งรูดเป็นสามครั้ง ครั้งละ สองหมื่นกว่าๆ แต่ไม่ถึงกำหนดที่จะต้องแจ้ง แฟนเราคิดว่ามันต้องเป็นคนมืออาชีพ ไม่งั้นใครจะรู้ว่ารูดไม่เกินเท่าไหร่ถึงจะไม่มี sms แจ้ง แต่เรื่องก็จบไปด้วยดีนะ เราไม่ต้องจ่ายเงิน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ประวัติเราในเครดิดบูโรจะเป็นไงบ้าง จากคุณ : เรื่องมันยาว - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:19:15 A:118.175.2.132 X: TicketID:090721 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เกี่ยวกับเรื่องนี้สงสัยมานานมากแล้ว อยากตั้งกระทู้ถามเหมือนกันแต่มาเจอกระทู้นี้ซะก่อน อยากได้ความกระจ่างมากกว่านี้ในแง่กฎหมาย รายละเอียดต่างๆ ให้มากกว่านี้จะหาได้จากที่ไหน จากคุณ : nuiorji - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 14:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 115 เห็นด้วยอย่างมาก ไม่งั้นจะซวยไปเป็นหนี้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จากคุณ : หรงเออร์ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 17:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 116 พี่ชายกะเพื่อนน้องแฟน (งงมะเนี่ย) เจอบิลเรียกเก็บเพราะมีคนเอาบัตรประชาชนไปใช้ ก็แจ้งความไปค่ะ บางทีก็ยอมนะคะ บางที่ก็เอาเรื่องเหมือนกัน ต้องไปตกลงในชั้นศาล จากคุณ : AuSi - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 17:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 117 มาแนะนิดนึง ว่าขีดคร่อมแล้วให้ลงวันที่ สมมุตว่า สำเนานี้ใช้ในการซื้อโทรศัพท์ในวันที่ 11/11/1111 เท่านั้น สำเนาถูกต้อง ลงชื่อ จากคุณ : chinjungza - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 18:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 118 กระทู้นี้โดนใจ เพราะเราเพิ่งไปจ่ายเงินแทนใครมาก็ไม่รู้ เพราะไม่อยากติด blacklist บอกว่าไม่ได้ใช้ ไม่ได้ใช้ ทางนู้นก็บอกว่าเค้ามีหลักฐานครบถ้วน ...ถ้าไม่ใช่เราแล้วนะเป็นใคร? แล้วกรูจารู้ไหมว่าคราย เซ็งมาก ๆ ทางนู้นชี้แจงอีกว่ามีคนปลอมแปลงก็มีความผิดทางอาญาไปถ้าเราพิสูจนได้ว่าไม่ใช่เรา แล้วไงง่ะ จะไปจับมือใครดม จริง ๆ น่าจะกลับไปมองว่าคุณตรวจสอบเอกสารดีแล้วหรือจึงอนุมัติให้ไป นึกแล้วเสียดายตังค์ จากคุณ : เราเท่านั้นที่รู้ว่าคันตรงไหน - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 19:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เพื่อนเราเคยโดนค่ะ อยู่ดีๆมีหมายศาลมาที่บ้าน ข้อหาร่วมกันก่อตั้งบริษัท หลอกลวงประชาชน สืบสาวราวเรื่องไปมา สรุปเพื่อนที่เคยอยู่หอเดียวกันสมัยเรียน แอบเอาเอกสารไปจดทะเบียนบริษัท (โดนไปหลายคน) ชั่วเจงๆๆๆ อยู่ดีๆ ต้องมาเสียเงินจ้างทนายสู้คดี จากคุณ : ~Original Bitch~ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 20:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 120 มันน่าจะเป็นเรื่องที่ร้านค้าเองที่จะต้องไปแจ้งความดำเนินคดีสิ เราจะรู้ไหม เราอยู่เฉยๆ เค้าไม่ตรวจสอบให้ดีเองหนิ ละไหงกลาย เป็นว่ามาผลักภาระ ปัดความรับผิดชอบ โยนมาให้เป็นความซวยของเรา ไปได้ล่ะ - -? .. เอาเอกสารไปยื่นแทน ก็ต้องมีใบยินยอมมอบอำนาจ ต้องมีพยานเซนต์ แต่การทำธุรกรรมบางอย่างเขาก็มักไม่ให้ทำแทนกันหรอกนะสามัญสำนึก มีแล้วไม่ใช่บ้างเหรอไง - -? .. ถ้าใช้บัตรปลอม อ่าวไม่ดูบัตรจิงเหรอไง เราว่า เจ้าหน้าที่หละหลวม และปัดความรับผิดชอบชัดๆ เลย แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 52 20:48:10 จากคุณ : SE7EN - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 20:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 121 เห็นแต่ละ คห. มีแต่คนเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีทั้งนั้นเลยแฮะเนี่ย วันนี้อยากจะแนะนำอีกอย่างนะครับ สำหรับคนที่อยากถือบัตรเครดิต หรือว่ามีบัตรเครดิตอยู่แล้ว ผมแนะนำให้ถือเพียงแค่ 2 ใบก็พอ ไม่ใช่ว่าเอามันทุกแบงค์ที่มี เปิดกระเป๋ามาทีบัตรเรียงติดกันเป็นพรืด มันไม่ใช่ของสวยงาม มันไม่ใช่ของเท่ห์ที่จะมาโชว์ว่าข้ารวยนะเฟร้ย มีบัตรตั้งหลายใบ แต่มันเป็นของที่ล่อตาล่อใจโจร !!! เว้นแต่เจ้าของบัตรจะใช้จนวงเงินเต็มทุกใบแล้ว อันนี้หายมาก็ยังไม่เท่าไหร่ แล้วบัตรที่ผมแนะนำให้ถือ 2 ใบนั้นน่ะ เป็นบัตรอะไรบ้าง 1. เป็นบัตรที่ออกจากธนาคารของประเทศไทยเอง ไม่ว่าจะเป็น BBL, Kbank, Bay, Ktc, Scb เป็นต้น เลือกเอาซักแบรนด์ แล้วแต่จะชอบ 2. เป็นบัตรที่ออกจากธนาคารต่างประเทศที่มาเปิดสาขาในไทย ที่ผมแนะนำก็คือ Citybank หรือไม่ก็ HSBC เพราะมีสาขาทั่วโลก และประเทศไหนๆก็รู้จัก *** อันนี้ไม่ได้โฆษณาให้กับแบงค์ใดแบงค์หนึ่งนะครับ แต่เป็นกรณีที่ผมเจอมากับตัวเอง เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ดูครับ บัตรใบแรกที่แนะนำคือที่ออกโดยธนาคารในประเทศไทย เอาไว้จับจ่ายใช้สอยภายในประเทศทั่วไป ไม่ว่าจะช้อปปิ้ง เติมน้ำมัน หรืออะไรอื่นๆที่ใช้จ่ายภายในประเทศได้ (ยกเว้นแต่บัตรสัญชาติต่างประเทศจะมีโปรโมชั่นที่ดีกว่าบางอย่าง ก็ดูแยกเป็นรายการๆไป) เราใช้บัตรไทย ในไทย เงินทองไม่รั่วไหลนะครับ ... ^_^ ส่วนบัตรสัญชาติต่างประเทศอันนี้แนะนำสำหรับคนที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อย หรือทำรายการผ่านทาง Internet บ่อย อันนี้เจอมากับตัวเอง ผมเคยเดินทางไปประเทศอังกฤษ แล้วไปซื้อของที่ร้านๆนึง ผมเอาบัตรแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งให้ทางร้านเค้ารูด เค้าพลิกดูบัตรไปมา แล้วเค้าก็คืนให้ผม ถามผมว่ามีบัตรใบอื่น หรือมีเงินสดมั๊ย ผมก็ถามกลับไปว่าทำไม เค้าบอกว่าเค้าไม่รู้จัก มันเป็นธนาคารอะไร ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็น กลัวรูดไปแล้วเค้าจะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ มันไม่น่าเชื่อถือ (เอางั้นเลย มึนตึ้บเลยตอนนั้น ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี) พอดีเพื่อนผมที่ไปด้วยเค้าเลยบอกว่าจะออกให้ก่อนละกัน แล้วเพื่อนผมเค้าก็ยื่นบัตรของ Citibank ไปให้ทางร้าน เค้าดูชื่อหน้าบัตรว่าเป็นของ Citibank ปุ๊ป เค้าก็รีบรูดทำรายการให้เลยทันที ...  (-*-) และอีกครั้งนึง ก็เป็นการทำรายการซื้อของทาง Internet ผมได้ใช้บัตรแบรนด์ไทย อีกใบหนึ่ง ทำรายการ สักพักก็มีเมล์เตือนมาว่ารายการไม่ผ่าน (แต่วงเงินถูกกันไปแล้ว และ Refund กลับมาทันที) ผมก็เมล์ไปถามว่าเพราะอะไรรายการถึงไม่ผ่าน ทั้งๆที่บัตรก็ไม่ได้มีปัญหา และวงเงินก็ถูกกันไปแล้ว ถึงจะมีรายการ Refund กลับมาก็เถอะ แต่มันก็เสมือนว่าได้ทำรายการผ่านไปแล้ว เค้าตอบกลับมา เค้าจะขอส่งข้อมูลของบัตรใบนี้ไปตรวจสอบที่ VISA ก่อน เพราะเป็นแบงค์มาจากประเทศเล็กๆ และไม่เคยได้ยินชื่อแบงค์นี้มาก่อน (คงคิดว่ามันไม่น่าเชื่อถืออีกแล้ว) ถ้าเค้าตรวจสอบกับทาง VISA และทาง VISA ได้ยืนยันมาว่าสามารถใช้ข้อมูลบนบัตรใบนี้ทำรายการได้ เค้าจะส่งเมล์แจ้งกลับมาให้ผมทำการโทรกลับไปหาเค้า เพื่อ Verify ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์อีกครั้ง ว่าผมสามารถแสดงตัวได้ได้ตรงกับที่ทาง VISA ได้ให้ข้อมูลมา ถึงจะสามารถให้ทำรายการผ่านบัตรใบนี้ได้ (โครตยุ่งชะมัดเลย ทั้งๆที่เป็น Web มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยนะเนี่ย) ผมเลยจัดการยกเลิกรายการผ่านบัตรใบนี้ไปซะ ภาษาก็อ่อนแอ แถมยังต้องเสียค่าโทรศัพท์ไปต่างประเทศด้วยเนี่ยนะ คิดแล้ว ยังไงก็ไม่คุ้ม แล้วหลังจากนั้นผมก็ลองใช้บัตร Citibank ทำรายการแทน รายการเดียวกัน ชื่อเดียวกัน ข้อมูลเหมือนเดิมทุกอย่างยกเว้นข้อมูลบัตร คราวนี้ทำครั้งเดียวผ่าน ไม่ต้อง Verify อะไรอีกเลย อันนี้ก็เป็นที่เชื่อได้ว่าชื่อเสียงของธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก ทำให้ทางร้านมั่นใจได้ว่ามันมีตัวตนอยู่จริง สามารถนำไปทำธุรกรรมที่ต่างประเทศได้สะดวกง่ายดายกว่ามาก แต่ผมได้ลองสอบถามเพื่อนๆแล้ว ว่าการใช้บัตรไทยในต่างประเทศ และ Internet มีปัญหาบ้างหรือเปล่า ส่วนใหญ่ก็ไม่มีนะ ที่มีบ้างแต่ไม่เยอะ แต่ของผมทำไมมันโดนทุกครั้ง ... T_T อันนี้ก็เป็นข้อแนะนำอีกอย่างนะครับที่เจอมากับตัว ถ้าใครเคยใช้บัตรไทยในต่างประเทศ และรายการทาง Internet ไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องถือก็ได้ครับ เพราะยิ่งถือหลายใบมันก็ยิ่งเสี่ยงที่จะดูแลรักษาให้ดี มีบัตรวงเงิน 3 หมื่นหนึ่งใบ หายไปก็เสีย 3 หมื่น แต่มีบัตรวงเงิน 3 หมื่น 2 ใบ หายพร้อมกันทีมันจะคูณเป็นเท่าตัวนะครับ ยิ่งมีหลายใบก็ยิ่งคูณหลายเท่า แล้วอีกอย่างก็คือวงเงินในบัตรครับ ใครมีวงเงินสูงๆแล้วใช้ไม่เคยถึง ก็โทรไปขอลดวงเงินให้เหลือเท่าที่ตัวเองจำเป็นต้องใช้ก็พอครับ เวลาหายไปขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดมาก บางคน (จริงๆแล้วส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ) อยากได้วงเงินเป็นแสนๆ หรือยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ทั้งๆที่ต่อเดือนรูดค่าน้ำมันไม่กี่ครั้ง ช้อปปิ้งครั้งละไม่กี่ร้อย แต่เพราะคิดว่าถือบัตรที่มีวงเงินเยอะๆแล้วดูหรูหรา ไฮโซ ดูดีมีชาติตระกูล อันนี้อยากจะบอกว่าส่วนใหญ่คิดไปเองครับ ไม่มีใครเค้ารู้หรอกว่าบัตรที่คุณถืออยู่น่ะมีวงเงินเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ไปอวดเค้าเอง เค้าสนแค่ว่าตอนที่คุณรูดน่ะมันจะผ่าน ไม่เต็มวงเงินหรือเปล่า เท่านั้นแหละ และการประกาศว่าตัวเองมีวงเงินเท่านั้น เท่านี้ นั่นก็เสี่ยงที่จะเรียกโจรเข้ามาหาคุณได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วย ยิ่งวงเงินเยอะเท่าไหร่ เวลามีปัญหามาก็ยิ่งหนักเท่านั้นนะครับ จากคุณ : goldlank - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:55:18 ]

ความคิดเห็นที่ 122 เพิ่งโดนหมาด ๆ กับ "ฟิตเนส" แห่งหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยไปใช้บริการ แทบไม่เคยไปเหยียบ อย่างมากแค่ผ่าน โทรมาบอกว่า เราไม่ได้ชำระค่าบริการ และไม่ได้ยกเลิก หากินง่ายเนาะ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 52 08:21:15 จากคุณ : jh_loveproject - [ 27 มิ.ย. 52 08:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 123 เรื่องง่ายๆอย่างยื่นบัตรประชาชน หรือ passport พร้อมบัตรเครดิตทำไมไม่ยอมออกกฎหมายมา จากคุณ : กล้วยเจ๋ง - [ 27 มิ.ย. 52 11:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 124 มีคำถาม .. ถ้าเกิดว่า สถาบันการเงินเอาชื่อเราไปเข้าเครดิตบูโรโดยที่เราไม่ผิด เรามีสิทธิฟ้องสถาบันการเงินนั้ได้ไหม? เพราะทำให้เราต้องเสียเวลาชี้แจงในการปลดชื่อเราออก จากคุณ : Rookie.T - [ 27 มิ.ย. 52 11:53:37 ]

ความคิดเห็นที่ 125 เห็นด้วยกับคุณคห.121 ค่ะ  คือมีไว้เท่าที่จำเป็นทั้งจำนวนบัตรและวงเงิน อย่างใบหนึ่งของเรา  เนื่องจากทำตัวดีเค้าก็เพิ่มวงเงินให้เรื่อยโดยไม่ได้ขอ จนล่าสุดต้องปฏิเสธว่าไม่ต้องเพิ่มแล้ว  กลัวค่ะว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะรับไม่ไหว ส่วนเรื่องบัตรไทยที่ว่าใช้ต่างประเทศอาจมีปัญหา  เราก็เพิ่งรู้นะ(ขอบคุณสำหรับข้อมูล) ส่วนตัวก็เคยใช้  รวมทั้งผ่านเน็ตด้วยยังไม่เจออะไร  แต่อาจจะใช้ไม่บ่อยก็ได้เลยยังไม่เจอ เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน  ตอนนั้นเป็นยุคบัตรเฟื่องฟู   ธ.ต่างๆแข่งกันทำยอด เราเงินเดือนไม่เยอะยังทำได้  แถมมีพร้อมกันทีเดียว 6-7 ใบ   ที่ทำเพราะอยากได้ของแถมบ้าง  สงสารเซลล์บ้าง พอตอนหลังชักกลัว  ยกเลิกเกือบหมด   ตอนนี้มีแค่ 2 พอ จากคุณ : tabby girl - [ 27 มิ.ย. 52 13:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 126 อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกโชคดีที่ไม่มีบัตรเครดิต =_=;; แต่บัตรเดบิตก็เสี่ยงพอ ๆ กันเลยนะเนี่ย โหวตค่ะ จากคุณ : Moonlight & Valentino - [ 27 มิ.ย. 52 13:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ร้านค้าเนี่ย ตัวดีเลยค่ะ ทุกร้านที่เคยใช้เลย ตั้งแต่ในห้าง ร้านแฟรนไชส์ในห้าง ฯลฯ พนักงาน ไม่เคยแลหลังบัตรเลยแม้แต่น้อย แค่รูดผ่าน ยื่นสลิปให้เซ็น เซ็น จบ ไม่ได้มีการขอดูบัตรปชช เลยว่าใช่เจ้าของบัตรหรือเปล่า จะเครดิต หรือ เดบิต ก็เหมือนกัน จากคุณ : kapmajang - [ 27 มิ.ย. 52 16:40:04 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เห็นด้วยกับ คห.101 ค่ะเรื่องสแกนลายนิ้วมือ ทุกครั้งที่มีการทำบัตรเครดิตน่าจะต้องมีการสแกนลายนิ้วมือทุกครั้ง โดยให้สามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลบัตรประชาชน รวมถึงเวลาใช้ด้วย ทุกร้านค้าก็ต้องมีเครื่องสแกนลายนิ้วมือ เครื่องเล็กนิดเดียว ที่ทำงานเราก็ใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือลงเวลาทำงาน ปลอดภัยทุกฝ่าย ทั้งเจ้าของบัตร ธนาคาร หรือร้านค้า (แต่ข้องใจนิดหน่อยว่า.. ทำไมตัวปลอมถึงได้รับอนุมัติบัตร วงเงินเยอะขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่แค่มีสำเนาบัตร ทะเบียนบ้าน มันต้องใช้เอกสารอื่นๆ อีก เช่น statement บางธนาคารใช้ตั้ง 6 เดือน statement มันหากันได้ง่ายๆ เหรอ.. เราไม่เข้าใจ เราเอง.. ซึ่งเป็นตัวจริงเป็นๆ กลับไม่ค่อยได้รับอนุมัติ ด้วยข้อหาหนี้เยอะไปหน่อย.. ทั้งที่เป็นผู้ผ่อนชำระที่ดีมาตลอด เราว่า.. ไอ้ธนาคารที่มันอนุมัติง่ายๆ นี่ มันยังไงๆ อยู่นะ!!!!!) จากคุณ : PppP (PlaRi22) - [ 27 มิ.ย. 52 19:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 129 #126 บัตรเดบิตนี่เสี่ยงกว่าเครดิตอีกนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเงินในบัญชีมาก รูดปุ๊บเงินหายไปจากบัญชีปั๊บ #121 อยากทำบัตร citibank เหมือนกัน ถ้าทำฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียมก็ ok จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 27 มิ.ย. 52 21:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ตอบ คห.129 บัตร Citybank สามารถขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้เกือบทุกประเภท แต่ต้องโทรไปขอเอง หรือใช้วงเงินให้ถึงที่เค้ากำหนดไว้น่ะครับ (อาจจะยุ่งนิดหน่อยที่ต้องโทรไปเอง แต่บางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่โทรมาหาเราเองเช่นกัน) รายละเอียดว่าบัตรใบไหนขอยกเว้นได้ หรือไม่ อาจจะต้องลองถาม Sale ดูล่ะครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีกี่ประเภทที่โทรไปขอยกเว้นได้บ้าง ส่วนตัวผมถือ Platinum Rewards กับ Citi M Classic อยู่ ตัว Platinum Rewards ถ้าใช้ครบ 100000 บาท ในรอบปี ก็ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้เลย ถ้าใช้ไม่ถึงก็ wave ได้ครับ (ผม wave ทุกปี ... อิอิ) ส่วน Citi M Classic มีค่าธรรมเนียมปีละ 100 บาท (ยกเว้นไม่ได้) แต่ถ้ามีรายการใช้ทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละครั้ง (ครั้งละกี่บาทก็ได้)  ก็จะยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ฟรีเช่นกัน จากคุณ : goldlank - [ 28 มิ.ย. 52 01:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 131 แรง แรง แรง โหวต โหวต  โหวต ด้วยจ้า จากคุณ : giffcool - [ 28 มิ.ย. 52 18:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ว่าจะทำบัตรเครดิตสักใบ เฮ้อ เปลี่ยนใจแล้ว จากคุณ : biggyme - [ 28 มิ.ย. 52 19:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ดิฉันก็เคยโดนปลอมแปลงบัตรเครดิตค่ะ แต่คนละวิธีกัน ไม่แน่ใจว่า จ่ายรูดค่าน้ำมัน หรือตามร้านอาหาร กันแน่นะคะ แต่จะเป็นที่ๆเราไม่ทันเห็นตอนที่เค้ารูดน่ะค่ะ เค้าก็จะเอาบัตรเรารูดกับเครื่องอะไรสักอย่างที่สามารถดูดข้อมูลได้แล้วก็ทำบัตรขึ้นมาอีกใบ  แต่โชคดีว่า ทางธนาคารโทรมาสอบถามดิฉันว่า ได้รูดบัตรซื้อสินค้ายอดนี้ วันที่เท่าที่เท่านี้ๆ ห้างนี้ หรือไม่ ดิฉันไม่ได้รูดก็บอกไปว่าไม่เคยค่ะ เค้าก็เลยสงสัยว่าเราอาจจะถูกปลอมบัตร ก็เลยยกเลิกบัตรเก่า แล้วทำให้ใหม่ ดิฉันไม่ต้องรับผิดชอบอะไรค่ะ จากคุณ : รักต้องซ่อม - [ 28 มิ.ย. 52 20:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ต่างประเทศ (บางประเทศ) ถ้าจะใช้บัครเครดิต หรือเดบิตต้องใส่พิน ทุกครั้ง คือ ถ้าได้บัตรมาฟรี ๆ ปลอมลายเซ็นต์เหมือน ก็ไม่สามารถใช้บัตรได้ถ้าไม่รู้ รหัส 4 ตัว แค่รูดแล้วเซ็นต์ เค้าไม่รับนะ จากคุณ : Freedom of Life - [ 28 มิ.ย. 52 20:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 135 เคยขึ้นศาลและชนะคดีมาแล้ว 2 ดคีความ ถูกพวกมิฉาชีพใช้สำเนาบัตรปชช. ที่มีรายละเอียดจริงถูกต้อง ไปซื้อโทรศัพท์ของดีแทค 2 เครื่อง คล้ายกับ คคห.ที่ 106 เบอร์ที่โทรออกค่าใช้จ่ายเป็นแสน มาจากเบอร์นับไม่ถ้วนที่เป็นเบอร์ต่างประเทศล้วนๆ คะเนว่าน่าจะเอาไปใช้เป็นโทรศัพท์ตั้งโต๊ะให้ฝรั่งโทร เหมือนพวกตั้งโต๊ะตามข้าวสาร วันหนึ่งก็มีใบทวงหนี้มาเฉย ที่อยู่ตามใบทวงหนี้แถวๆเยาวราชซึ่งไม่ใช่ที่อยู่เราที่เมืองไทย ก็เรียกทนายของบริษัทมาจัดการให้ ถึงจะชนะแต่เสียเวลาขึ้นศาลหลายนัดมาก มีทนายดีแทคมีการการไกล่เกลี่ยให้จ่ายด้วยนะ เพื่อจะได้จบๆ  ไม่ต้องมาขึ้นศาลกันอีกให้เสียเวลา ทนายเราบอกว่าเรื่องอะไรจ่ายบิลเล็กก็แปลว่าเราเป็นคนผิด แล้วอีกเครื่องที่บิลเป็นแสนก็จะโดนรวบผิดไปด้วย บ้าเถอะ  ฉันก็เสียประวัติการเงินหมดซิเกิดมายังไม่เคยเป็นหนี้สักสลึง เรื่องอะไร  ก็ไม่ได้ว่างมากแต่ทนายฝั่งเราเองไม่ได้เสียเงินอะไรมากมาย ถือว่าให้เงินเค้าเติมน้ำมันกินข้าวด้วยกันเท่านั้น เรื่องมาชนะกันตรงที่ต้องพิสูจน์ลายมือ ซึ่งที่มิจฉาชีพเซนต์ชื่อเรานามสกุลเรามันคนละแบบเลย แต่ถ้าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นไม่มีเวลา  ไม่มีเงิน ไม่มีทนาย มันจะไม่จบแบบนี้นะซิ ก็ระวังไว้นะคะทุกคน ความผิดพลาดทุกประการขอยกให้บริษัทดีแทคที่ทำให้ คนดีตาดำๆ ต้องเสียชื่อ เสียเวลา และเงิน ถ้าฟ้องกลับคงได้อยู่แหละ  แต่จะไม่คุ้มเนอะส่วนตัวเลยจบกันแค่นั้น แต่ก็บอกพี่ทนายว่าถ้าอยากฟ้องสนุกเล่นเอาเงินบริษัทมาได้ก็ยกให้ทั้งหมดถือว่าเป็นน้ำใจที่ทำเรื่องให้ไม่คิดตังค์  ก็ไม่รู้เค้าฟ้องต่อรึเปล่านะ เห็นด้วยที่กม.ไม่คุ้มครองพวกเรา แต่ปกป้องร้านค้า ทั้งที่ร้านค้าควรรับผิดที่ไม่ตรวจสอบเอกสารให้รัดกุม เวลาต้องไปแบงค์หรือหน่วยงานราชการ ยังขอสำเนาบานเบอะ  ตัวจริงทุกตัวก็ขอดู ไปติดต่ออีกครั้งก็สำเนาบานเบอะอีกรอบ จนสงสัยว่าทำแบบนี้ห้องเก็บเอกสาร 10 ปีของเค้าจะล้นหลามขนาดไหน แต่มันก็เป็นการกรองอย่างหนึ่ง  ถึงจะทำให้รำคาญบ้างก็ตาม .....แต่ดีกว่าวัวหายล้อมคอก  และแน่นอนดีกว่าที่คนดีๆจะต้องเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ  แล้วร้านค้าน่ะโลภไม่ตรวจสอบเพราะอยากได้รายได้  บางทีพวกคุณก็น่าจะเดือนร้อนบ้างนะ จากคุณ : คุณจ๊ะจ๋า - [ 28 มิ.ย. 52 22:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 136 อีกมุมมองของแบงค์นะ ในฐานะเคยทำงานตรงนั้น 1) เอกสารปลอม - จะเชื่อได้อย่างไร ว่าลูกค้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดให้เอกสารเค้าไปเอง เลยต้องทวงๆๆ ไว้ก่อน ถ้าลูกค้าไม่ผิดจริงก็สู้กันที่หลักฐาน โดยมากเรื่องยาวถึงศาลอยู่แล้ว 2) บัตรเครดิตปลอม เวลาเค้าซื้อของแพงๆ เค้าก็ยื่นพร้อมบัตรประชาชนปลอมนะ ร้านค้าดูชื่อ ดูหน้า ดูลายเซนต์ตรงหมดเค้าก็ขาย ถ้าระบบแบงค์ไม่ real time ก็คงจับยาก ร้านค้ากับแบงค์ต่างคนก็รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง มาตรการเค้ามี เช่นร้านค้าไม่ตรวจสอบบัตรประชาชน แบงค์ก็มีสิทธิ์ hold เงินไว้ไม่จ่ายร้านค้านะ อย่าคิดว่าร้านค้ากับแบงค์รวมหัวกัน เงินทองมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ 3) scan ลายนิ้วมือ - พูดง่ายทำยาก ถึงแบงค์มี scan ลายนิ้วมือ แล้วไงล่ะ ไปเทียบกับอะไร ในเมื่อข้อมูลแบงค์กับทะเบียนราษฏร์มันไม่ได้ลิงค์กัน พิสูจน์อย่างไรว่านี่คือลายนิ้วมือของจริง และถ้าจะต้องให้มันลิงค์กัน แบงค์คงต้องลงทุนเป็นสิบล้าน แล้วเงินที่ลงทุนไป มันจะช่วย save เคสแบบนี้ได้ซักกี่เคส อีกนานเท่าไหร่จะคุ้มกัน คงต้องทำ analysis กันอีกเยอะเลย จากคุณ : CG - [ 28 มิ.ย. 52 22:31:53 A:218.103.167.77 X: TicketID:050112 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เฮ้อ อ่านทุก คห. ขอบอกว่า เรื่องแบบนี้ต้องระวังกันเองครับ โดนเฉพาะการใช้บัตรเครดิตนั้น ไม่มีร้านค้าที่ไหนอยากทำให้มันยุ่งยาก โดยการเรียกดูนี่นั่นหรอกครับ ผมว่าเมืองไทยนี่ยังดีนะครับที่ส่วนมากแคชเชียร์จะเหลือบดูลายเซ็นหลังบัตรบ้าง (แค่เหลือบนะครับ จ้องดูไม่ได้ เพราะลูกค้าตัวจริงจะคิดว่าโดนจับผิดทันที) ผมยังว่าเมืองไทยนี่รูดการ์ดยากที่สุดในโลกแล้ว แต่ไอ้เรื่องขอดูบัตรประชาชนนี่ลืมไปได้เลยว่าที่ไหนจะทำ อย่างผมเคยโดนเรียกดูครั้งเดียวที่ Thaiticketmaster แต่ตอนนี้เค้าก็เลิกดูไปแล้ว (ลูกค้าคงบ่นกันเยอะ) ยิ่งต่างประเทศนี่ ยิ่งรูดง่ายมากๆ เลยครับ เวลาไปซื้อของตาม Duty Free ที่ต่างประเทศที่ต้องโชว์ Passport แต่เราเอาบัตรของเพื่อนที่ฝากซื้อของรูดเอา เค้ายังรับเลยทั้งๆ ที่เห็นแน่ๆ ว่าคนละชื่อกัน และร้านค้าหลายร้านที่ญี่ปุ่นกับอเมริกา เค้าไม่ให้เราเซ็นชื่อนะครับ แค่รูดเฉยๆ เลย หรือบางร้านให้เซ็นลงบนหน้าจอ ซึ่งจะไม่มีใครเห็นลายเซ็นนั้น ยกเว้นธนาคารที่ตรวจสอบ แบบนี้เสี่ยงกว่าเมืองไทยเยอะครับ ที่เมืองไทยนี่ร้านค้าต่างๆ อย่างน้อยก็เหลือบดูแล้วครับ ถ้าไปต่างประเทศ จะยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะประเทศไฮเทคทั้งหลายเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ คนจะนิยมใช้บัตรเครดิตกันมาก เรื่องตรวจสอบนี่ลืมไปเลยครับ ไม่มีใครมาขอตรวจดูอะไรทั้งนั้นครับ อย่างการซื้อรถนี่ ใครที่เคยซื้อรถน่าจะทราบนะครับว่าทางศูนย์รถจะอำนวยความสะดวกให้เราทุกเรื่อง รวมถึงการที่เราไม่ต้องไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ศูนย์ด้วยตัวเอง โดยศูนย์รถจะส่ง messenger มาเอาสำเนาบัตรต่างๆ ของเรา หรือเอาเอกสารมาให้เราเซ็น แล้ว พนง ที่รับผิดชอบเค้าไม่มาตรวจดูหรอกว่าใช่เจ้าของเอกสารจริงหรือไม่ เพราะหน้าที่เค้าก็แค่ทำงานให้สำเร็จตามมอบหมายเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทางศูนย์รถอาจไม่ได้เห็นบัตรประชาชนตัวจริงหรือไม่ได้เจอเจ้าของเอกสารเลยด้วยซ้ำไป และวันที่มารับรถก็มอบอำนาจให้ผู้อื่นมารับรถได้ จากคุณ : mie-mien - [ 29 มิ.ย. 52 00:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 138 อา อ่านแล้วปวดเฮดตึ้บ จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือของแฟรงค์ อบักเนล (Catch Me If You Can, Art of Steal) มีเรื่องราวเกี่ยวกับการโจรกรรมอัตลักษณ์บุคคลที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเรื่องขโมยบัตรเครดิต ขโมยข้อมูลเพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ หลายเรื่องเป็นเหมือนกรณีที่คุณคห.บน ๆ หลายคนเล่าให้ฟัง ทั้งการนำสำเนาบัตรปชช.ไปเปิดบัตร หรือสกิมบัตรเครดิต ฯลฯ ลองหาอ่านกันดูนะคะ หนังสือหลายปีแล้ว แต่เป็นความรู้ที่สำคัญสำหรับโลกยุคนี้มากทีเดียว อาชญากรรมมันเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปเรื่อย ๆ คนดี ๆ และฝ่ายที่ไล่จับตามไม่ทันจริง ๆ '- - จากคุณ : atihasita - [ 29 มิ.ย. 52 01:43:10 ]