| |
| | | เกรด A (27 คน) |
| | | เกรด B (2 คน) |
| | | เกรด C (0 คน) |
| | | เกรด D (2 คน) |
| |
จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 31 คน |
ด้วยการการันตีจากออสการ์ ในฐานะหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม แห่งปี 2008 ที่เพิ่งผ่านพ้น ..มันก็คงเป็นเรื่องที่ไม่แปลก ที่จะทำให้ใครต่อใครหลายคนจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ต้องมีของดีอยู่ในตัวของมัน
แต่ที่น่าแปลกใจ และชวนให้สงสัย เป็นอย่างยิ่ง ในส่วนตัวของผม เกี่ยวกับรางวัลที่ว่านี้ ในครั้งนี้ ..ก็คือ ความไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า หนังจากผืนแผ่นทวีปเอเชียเดียวกัน อันเป็นของแดนอาทิตย์อุทัย ...จะมาได้ไกลถึงขั้นหยิบชิ้นปลามันกลับบ้านไปเสีย ในขณะที่หนังจากยุโรปที่เขาว่าเก็งหนักเก็งหนามาตลอด ก็ทำได้แต่เกร็ง(ลุ้นว่าจะได้) และสุดท้ายก็มองตาปริบๆ ด้วยความผิดหวัง
โดยเฉพาะกับหนังจากฝรั่งเศสที่ชื่อว่า The Class ที่ใครๆก็เคยคาดการณ์ไว้ต้องได้รางวัลหนึ่งเดียวอันนี้กลับบ้านไปสักตัว ..ก็ยังมาไม่ถึงที่สุดของความสำเร็จกันซะอย่างงั้น
และด้วยเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อน(หรือกระทั่งจะรู้จักหนังก็หาไม่)ที่ว่านี้นี่เอง ก็ได้เป็นเหตุและผลที่ทำให้ผู้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ไปเสีย ต้องตกกลายเป็นเป้าสายตาของผมในทันที ..ที่ชักจะอยากรู้ว่า หนังเรื่องที่ว่านี้ มันมีดีอะไรหรือ ถึงได้แย่งลุงออสไปจากหนังที่เขาว่ากันว่าเป็นเต็งหนึ่งกันได้ (และเมื่อหนังเข้าฉายในบ้านเรา หลังจากประกาศรางวัล ผมก็ไปพิสูจน์ และเห็นดีเห็นงามว่า ควรจะได้รางวัลกลับสู่อ้อมกอดแดนน้ำหอมไปจริงๆ)
เมื่อได้ลองทำความรู้จักกับหนังเรื่องนี้ จากเนื้อเรื่องโดยย่อ ก็ทำให้ทราบว่า ..มันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความตายของคน ที่เกี่ยวพันกับคนในอาชีพๆหนึ่งที่ ใครๆเขาก็มองว่า มันเป็นงานที่สกปรก และไร้เกียรติ ซึ่งเป็นอาชีพเดียวกันกับที่แถวบ้านเรา เขาเรียกกันติดปากว่า สัปเหร่อ ...ในขณะที่ ญี่ปุ่น เขามีชื่อเรียกแทนมันว่า โนคังฉิ
หลังจากที่ต้องใจสลาย เมื่องานในความฝันแต่ครั้งเยาว์วัย ไม่สามารถสานสืบได้อีกต่อไป และชีวิตที่เหลือ ก็ยังไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางที่วาดหวังไว้ .. ไดโงะ ชายหนุ่มนักเชลโล่คนบ้านนอก ผู้ที่เคยเข้าเมืองโตเกียว เพื่ออยากมาทำงานอันทรงเกียรติในวงออร์เคสต้า ขอเลือกที่จะหลีกหนีความช้ำอันไม่น่าอภิรมย์(เนื่องจากวงตนตรีที่เขาเล่นอยู่ ถูกยุบทิ้ง) ด้วยการเดินทางกลับบ้านเกิด ที่เขาไม่เคยกลับมานานแสนนาน พร้อมยังแบกความหวัง ที่คาดว่าจะมาตายเอาดาบหน้า โดยหางานง่ายๆ เงินดีๆ ที่พอจะถูๆไถๆให้ชีวิตของเขา กับ มิกะ ผู้เป็นภรรยาที่ติดสอยห้อยตาม ได้พอสุขสบายกันอยู่บ้าง
จนเมื่อ ไดโงะ ได้เปิดเจอโฆษณาสมัครงานในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่แปะหราด้วยคำว่า Departures ..อันทำให้เขาเข้าใจว่ามันคงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว นั่นจึงทำให้เขาไม่รีรอที่จะรีบตรงปรี่ไปยังบริษัทที่ว่านี้ และก็ต้องพบกับความน่าแปลกใจอย่างงุนงง เมื่อ ท่านประธาน ซาซากิ ผู้เป็นเจ้าของ ยินดีที่จะรับเขาและให้เริ่มงานได้เลยทันที โดยที่แทบจะไม่ทันได้สัมภาษณ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ
แต่แล้วความงุนงงที่เคยว่าอึ้ง ในเมื่อวันแรกเจอเจ้านายของเขา ก็เลือนหายเป็นปลิดทิ้งในทันที เมื่อเขาได้รู้และพบกับความจริงของ อาชีพที่ว่าด้วย Departures ในวันเริ่มต้นทำงานเป็นครั้งแรก ...ที่แท้แล้ว คำๆนี้ มันไม่ได้หมายถึง การท่องเที่ยว ใดๆเลย แต่มันกลับคือคำที่(มีอีกความหมายหนึ่ง)ว่าด้วย การจากลาไปสู่อีกภพหนึ่งของคน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ความตาย นั่นแล
หนังที่เกี่ยวข้องกับ ความตาย ..มันอาจจะฟังดูแล้วชวนให้คิดฟุ้งซ่านไปไกล ว่า คงจะเป็นหนังดรามา จิตตกหดหู่ ที่อาจทำเอาเราเครียด และมิวายต้องปลงไปกับเหตุการณ์ที่วนเวียนกับศพ เป็นไปทั้งเรื่องกันแหง
หากแต่เอาเข้าจริงแล้ว หนังที่ชื่อว่า Departures เรื่องนี้ ...กลับเลือกจะประพฤติตัวเอง ในแนวทางที่แตกต่างไปจากหนังอื่นๆที่วกๆวนๆกับความตาย ด้วยการนำเสนอเรื่องน่าเศร้าเหล่านี้ ให้เปลี่ยนผันออกมาในโทนของหนังดรามาที่แฝงความอบอุ่น อบอวลไปด้วยอารมณ์ขันชวนให้ยิ้ม ..หรือให้พูดง่ายๆกว่านี้ มันก็คือ หนัง ฟีลกู้ด แบบฉบับพี่ยุ่น ที่เราเคยเห็นโดยทั่วๆไป ดีๆนี่เอง
ซึ่งที่น่าสงสัย และน่าให้คิดในกรณีนี้ ..คือ ความแปลกใจ ที่หนังญี่ปุ่นอันมีจริตจก้านแบบเฉพาะตัว ที่ไม่น่าไปกันได้กับแนวทางของกรรมการผู้ตัดสินออสการ์ (เห็นปกติ ต้องเน้นหนังที่เครียด ขึงขัง และเข้มข้นเข้าว่า) กลับสามารถมาเหนือ เอาชนะหนังอีก 4 เรื่องที่ล้วนแต่เข้าทางแน่ๆไปได้ ...ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ประการหนึ่ง
แต่อีกประการที่ดูว่ามันจะยิ่งกว่าน่าอัศจรรย์ไปแล้วใหญ่ ..ก็คือ ความที่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หนังออสการ์เรื่องนี้ ดูง๊าย..ง่าย จนน่าใจหาย
ซึ่งมันก็อาจจะเกี่ยวๆกับ ที่ว่าปีนี้ ออสการ์ คงพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยการปล่าวประกาศเหล่าหนังฟีลกู้ด ดูสบายๆ ให้รู้ตัวว่า ตัวเองก็มีสิทธิ์จะได้ใจกรรมการได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ต้องเครียดถึงจะได้รางวัลกลับบ้านเสียเสมอไป ...ดังที่ดูได้จาก กรณีที่ Slumdog Millionaire กลายเป็นผู้ได้รับผลส้มหล่นไปเต็มๆ ก็เห็นชัดเจน
แต่ถ้าไม่มองในแง่ดีจนเกินไปขนาดนั้นแล้ว ...Departures ก็คงไม่ได้รับอานิสงส์จากใครเขาหรอก แต่มันเป็นเพราะตัวหนังของมันต่างหาก ที่ทำออกมา โดน! ได้จริงๆ
ด้วยความที่หนังมาพร้อมความเรียบง่ายในการเล่าเรื่อง ไม่ต้องมีพิธีรีตอง หรือพยายามทำตัวให้มีเงื่อนไขอะไรมากมาย อย่างเช่นที่หนังออสการ์ต่างประเทศหลายๆเรื่องพึงกระทำกัน ...คงอาจจะทำให้คนดูที่หวังจะดูหนังแบบที่เข้มไปด้วยประเด็นหลายหลาก เผื่อจะช่วยทำให้สมองได้แล่น ต้องผิดหวัง
แต่ในความเรียบง่ายที่ว่ามา หากใช้ส่วนของจิตใจสัมผัสมากกว่าอวัยวะส่วนใดในร่างกาย ก็คงจะเข้าใจได้เลยว่า หนังเรื่อง ที่เล่าออกมาง๊าย..ง่ายแบบนี้นั้น ความเป็นจริงแล้ว การจะทำให้มันเป็นหนังที่ดีได้ ไม่ใช่เรื่องง๊าย..ง่ายเลย
ซึ่งเอาแค่ ความพยายามจะให้ Departures เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความตายอันน่ารันทด แต่ยังดูเอาสนุกได้อย่างน่าอภิรมย์ ...ก็ถือเป็นโจทย์หลักๆที่ยากมากแล้ว
โดยนี่ยังไม่ทันต้องรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ อีกที่เป็นของยิบย่อย แต่รวมๆกันแล้วก็ล้วนแต่มีความสำคัญเหมือนกัน เช่นว่า ..หนังเรื่องนี้ จะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครในหนัง หรือกระทั่ง จะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกว่า อาชีพ โนคังฉิ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ทั้งๆที่ก่อนหน้า เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนจำพวกนี้ ทำได้แค่ปิดทองหลังพระ แต่ก็มิวายโดนรังเกียจจากสังคมรอบข้างอยู่ดี
นั่นจึงถือเป็นการบ้านที่หนักมากๆสำหรับผู้กำกับหนัง ที่ต้องสามารถผนวกทุกความพยายามผสมรวมให้กลายเป็นความลงตัว เพื่อที่จะทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับหนังให้ได้ ..ซึ่งเอาแค่อย่างน้อยๆ ก็ขอให้คนดูไม่รู้สึกรังเกียจใน อาชีพที่หากินกับคนตายเช่นนี้ จนเป็นอันไม่สบายอกสบายใจไปทั้งเรื่อง ก็นับว่าเพียงพอ
หากแต่เอาเข้าจริง หนังเรื่องนี้ที่อยู่ในมือของผู้กำกับ โยจิโร่ ทากิตะ ..ก็ไม่ได้ทำออกมาไหลลื่น เพียงแค่ให้คนดูเกิดรู้สึกดีๆ ไปกับตัวละครที่เป็นสัปเหร่อในหนัง ...แต่ที่ให้ได้มากกว่านั้น ก็คือ การที่หนังสักเรื่องได้ทำให้เราเกิดความสุข อบอุ่นใจ ไปได้ในเวลาเดียวกันกับการเกิดเหตุการณ์ตรงหน้าที่ดูเศร้าสลดหดหู่เหลือแสน ..ซึ่งย่อมถือเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ดันเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยใน Departures เรื่องนี้เสียอย่างงั้น
การที่สองสิ่ง มันต่างมี Contrast ซึ่งกันและกัน แล้วต้องดำเนินให้เกิดขึ้นมาเป็นเหตุการณ์อันเดียวกัน ..ถือเป็นศาสตร์ศิลปะในการทำหนังอย่างหนึ่ง ที่ในบรรดาคนทำหนังด้วยกัน ต่างก็บอกว่ามันช่างยากช่างเย็นเหลือเกิน ที่จะสอดประสานให้มันต่างสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ..แต่ถ้าเกิดได้ลองว่าคนทำหนังสักคน ดันมีของดีอยู่ในตัวเอง แล้วสามารถนำของที่ว่ามาใช้ให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพด้วยแล้ว นั่นก็จัดเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าโชคเข้าข้าง
และการที่ออสการ์เข้าข้างให้หนังเรื่องนี้ได้รับโชค ..ก็คงไม่ใช่แค่เพราะตัวหนังที่ทำออกมาได้ดีอย่างเดียว แต่ยังจะต้องยกผลประโยชน์อีกอย่างให้กับของดีอีกสิ่ง ที่เรียกว่า บทหนัง ...ซึ่งสามารถทำให้สิ่งที่มันเคย Contrast กันมาตลอด กลายเป็นความลงตัวได้อย่างล้ำลึก
------ อ่านต่อได้ที่ความเห็นถัดไปครับ ------
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 52 17:02:06
จากคุณ :
OncE UPoN'-'a MaN
- [
วันอาสาฬหบูชา 17:01:33
]