|
ความคิดเห็นที่ 206 |
... ยังไม่เห็นด้วยกับ การปิดประเทศ ยกเว้นจะมีข้อมูล ว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และ สามารถชะลออัตราในระยะยาวได้จริง ไม่ใช่ ปิดเพราะกระแส หรือ ความกลัว แล้วสุดท้าย ลดสถิติได้ชั่วคราว
คือ การปิดประเทศ แก้หนะแก้ได้ มันหยุด สถิติ ได้ชั่วคราวแน่ๆ แต่ ปัญหาคือ หลังจากปิดเรียบร้อยแล้ว พอเปิดมา มันหยุดได้จริงหรือ
เช่น
ปิดไป 7 วัน อัตราคนป่วยน้อยลง จาก ร้อยคนต่อวัน เหลือ ห้าคนต่อวัน สูญเสีย ร้อยล้าน
อีก 2 อาทิตย์ต่อมาหลังเปิดประเทศ
อัตราคนป่วย กลับมาเป็น ร้อยคนต่อวัน ตามเดิม แล้วตัวเลขก็เดินหน้าเหมือนเดิม
เงินที่เสียไปร้อยล้าน ได้ความสบายใจชั่วคราว แต่ ในระยะยาว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย มันไม่คุ้มกัน
เพราะสุดท้าย ด้วยธรรมชาติของโรคนี้มันก็ต้องระบาดต่อไปอยู่ดี ไม่ใช่ว่า จะหยุดมันได้แบบชะงักหมดสิ้นไป
ดังนั้น ถ้าปิดประเทศ แต่ เปิดมา เข้าวงจรเดิม ระบาดมากเหมือนเดิม เมื่อนั้น ผลกระทบต่อประเทศในสายตาต่างชาติจะยิ่งแย่ลงจนคนไม่กล้ามา
คือ ไม่ได้อยากให้ห่วงภาพลักษณ์มาก แต่ อยากให้คนรับผิดชอบประชุมกันแล้วว่า มันได้ผล และ ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่สุดท้ายก็วนสู่อีหรอบเดิม
... หรือในแง่ของการปิดกิจการเช่น โรงเรียน , โรงหนัง ฯลฯ ต้องเกิดขึ้นพร้อมๆกับ นโยบายในการ ควบคุมโรค เข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่แล้วได้จริง
เพราะต่อให้ปิดฆ่าเชื้อไปสองสัปดาห์
ปิดห้างแต่คนไปตลาด , ปิดโรงเรียนกวดวิชาแต่เด็กไปสยาม , ปิดโรงหนังแต่เพื่อนไปผับ ฯลฯ / คนยังสับสนว่าจะใส่หรือไม่ใส่หน้ากาก ไม่มีนโยบายประกาศให้ชัดว่า ป่วยได้ลา หรือว่า บังคับคนป่วยใส่หน้ากาก
เปิดกิจการมา วงจรชีวิตไม่เปลี่ยน คนยังไม่เข้าใจ มันก็ได้แค่ หยุดสถิติชั่วคราว แต่ ผู้ประกอบการเสียหายเป็นผลกระทบวงกว้าง
แล้วสุดท้าย เข้าวงจรเดิมๆ
อีกซักพัก ก็ต้องมาปิดใหม่อีกรอบ ปิดแล้วปิดอีก ไม่จบไม่สิ้น
... เมื่อถึงคราวว่า จะ ปิด หรือ ไม่ปิด
อยากให้รัฐบาล ไตร่ตรองและประชุมผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจริงๆ
ไม่ใช่ ปิดๆเปิดๆ ปิดโน่นปิดนี่ ปิดแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เช่น สั่งปิดเพราะกระแสประชาชน เห็นคนเริ่มด่าเยอะ โดยไม่ได้อ้างอิงหลักวิชาการ หรือ ไม่กล้าปิดเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ เสียชื่อ
แต่จะปิดอะไร ควรยึดตามหลักวิชาการ
ถ้ามั่นใจว่าวิธีนี้ถูกและได้มาตรฐานแล้วโดนด่า ก็ต้องยอมโดนด่า
... ไม่อยากให้การตัดสินมาจากฝั่งเดียว เช่น จากผู้ประกอบการ หรือ จากหมอที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง เพราะ มุมของหมอผู้รักษาอย่างเดียว ก็มองในแง่ของการรักษา แต่ หมออาจไม่ได้มอง ภาพรวมที่จะตามมา
ดังนั้น ในส่วนของหมอ ก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยา และ ติดเชื้อ มาให้ความเห็นร่วมด้วยว่า การปิดประเทศ แก้ตรงจุดหรือยัง
... สุดท้าย ผมไม่เชื่อในแนวทาง ยาแรงชนิดต้องทำให้คนตื่นกลัว จะได้ร่วมกันป้องกัน เพราะ ความสามารถในการรับรู้ของประชาชนไม่เท่ากัน
การสร้างความหวาดกลัว เพื่อขู่นั้น จะเกิดผลเสียเมื่อเกิดภาวะ panic หรือ ตื่นตระหนกระดับชาติ แล้ว ไม่อาจควบคุม
ซึ่งตอนนั้น ปัญหาลูกโซ่อื่นๆจะตามมา สมทบ ปัญหาโรคระบาดที่เป็นอยู่ และ มันยากที่จะเอาอยู่ได้ เพราะ ธรรมชาติของโรคนี้ มันไม่มีทางหยุดได้ เราทำได้แค่ชะลอ
... ปัญหาขณะนี้คือ ภาครัฐยังอ่อนมากในการ สื่อให้ประชาชนทุกระดับ ตระหนักถึงปัญหาจริงๆ ยังไม่สามารถเคลียร์ความสับสนในการดูแลตัวเอง
เวลาออกข่าวออกประกาศ แทนที่จะออก ปังเดียว ทุกช่อง
มีผู้เชี่ยวชาญพูดไม่ต้องมากคน พูดให้ชัดๆ ว่า
โรคนี้ที่ว่าอันตราย อันตรายยังไง , บอกว่าไม่รุนแรง แล้วทำไมต้องควบคุม
และ วิธีการควบคุม สั้นๆเป็นยังไง ไม่ต้องทำออกมาให้ตลกบันเทิงเกินเหตุ แต่เน้นดูเข้าใจง่าย จริงจัง แล้วยิงสปอตซ้ำๆให้ชัดเจน
เช่น
-ป่วย ไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว - แยกตัวจากชุมชนคนรอบข้าง , ออกข้างนอกต้องใส่หน้ากาก , มีใบรับรองแพย์ต้องได้ลางานหรือลาเรียน
-ไม่มีอาการ - ไปแหล่งชุมชนควรใส่หน้ากาก ฯลฯ
... คนสับสนเพราะ
บอกไม่อันตราย ทำไมตาย บอกใส่หน้ากาก ทำไมหมอบางคนบอกไม่ต้อง แต่ หมอบางคนบอกควร บอกใจเย็น ทำไมตัวเลขเพิ่มทุกวัน ฯลฯ
บางสิ่งที่ รัฐบาลทำผิด ก็ควรแก้
แต่ บางสิ่งที่มาถูกทาง พอเจอการสื่อสารแย่ๆ (ที่เห็นว่าแย่ เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคลียร์) ทำให้ปัญหาบานปลาย
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 52 23:36:58
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 52 23:30:37
จากคุณ |
:
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ค. 52 23:26:10
|
|
|
|
|