Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<<<<<<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Harry Potter and the Half Blood Prince , โลกใบใหม่ของ 'หนังแฮรี่' >>>>>>>>>>  

  ชอบมาก ห้ามพลาด (21 คน)
  ชอบ (46 คน)
  เฉยๆ (20 คน)
  ไม่ชอบ (10 คน)
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (5 คน)

 20.59%
  ชอบมาก ห้ามพลาด (21 คน)
 45.10%
  ชอบ (46 คน)
 19.61%
  เฉยๆ (20 คน)
 9.80%
  ไม่ชอบ (10 คน)
 4.90%
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (5 คน)

จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 102 คน


เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + ชวนมาแสดงความเห็นกันต่อที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2009&date=24&group=14&gblog=167



... หันซ้ายหันขวาอ่านกระทู้ในพันทิป เห็นมีแต่คนบ่นๆ แฮรี่ ภาคนี้ เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นชนกลุ่มน้อยในโลกอินเตอร์เน็ตที่ชอบ แฮรี่ ภาคนี้เป็นพิเศษ

ปกติผมเป็นแฟนแต่ไม่ถึงขั้นพันธุ์แท้ คือ ตามอ่านแฮรี่ทุกเล่มที่ออก ช่วงสองสามเล่มแรกยังอ่านแบบติดหนึบแต่ไม่ถึงกับรอแบบใจจดใจจ่อ พอมาเล่มหลังอย่างเล่ม 5 ก็อ่านแล้ววางหลายหนเพราะทนรำคาญฮอร์โมนของแฮรี่ที่พลุ่งพล่านไม่ไหว

จนกระทั่งตอนอ่านเล่ม 6 จบ เป็นครั้งเดียว ที่ผมอยากอ่านเล่มถัดไปมากเป็นพิเศษ เพราะการจบตอนของเล่ม 6 เหมือนหนังซีรี่ย์ชั้นดีที่มีตอนจบสไตล์ cliffhanger ending อย่าง Lost หรือ Prison break ที่ชอบจบตอนแบบทรมานใจคนอ่านให้ลงแดง

... ส่วนเวอร์ชั่นหนัง

สองภาคแรก ผมไม่ชอบ เพราะ ไม่ชอบหนังที่ถอดทุกอย่างจากบทประพันธ์เหมือนถ่ายเอกสารจากหน้ากระดาษ มา หน้าจอ และ ใช้ ความเป็นภาพยนตร์ ถ่ายทอดเนื้อหาได้ไม่คุ้มค่า ชวนให้น่าเบื่อ

ภาคที่ผมคิดว่าสนุกที่สุดและเคยคิดว่าดีที่สุด ให้อารมณ์หนังพ่อมดร่ายมนต์ต่อสู้กัน อารมณ์ประมาณไปเที่ยวสวนสนุก คือ ภาค 4

แต่พอมาดูภาค 5 แล้วนั่งทบทวนถึงภาคเก่าๆ

ผมตัดสินให้ ภาค 3 กับ ภาค 5 คือ สองภาคที่ผมชอบมากแบบไล่เลี่ยกัน และ ในแง่คุณภาพความเป็นหนัง ทั้งคู่ ดูดีที่สุด (ภาค 3 เจ๋ง แต่ ภาค 5 มีความเป็นเอกภาพลงตัวกว่า)




... จำได้ว่า ตอนเขียน blog ถึงภาค 5 ผมเขียนถึงครั้งแรกที่รู้ว่าผู้กำกับชื่อ เดวิด เยทส์ แล้วความคิดวาบแรกในหัวคือ เยทส์ ไหนฟระ ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นผลงาน ซึ่งผิดวิสัย หนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้างสูงแถมแบกความคาดหวังลิบลิ่ว นายทุนไม่น่าจะมอบหนังให้อยู่ในมือผู้กำกับที่ไม่แน่จริง

แต่ตอนดูจบ ผมก็สรุปว่าผมชอบหนังภาค 5 ชอบฝีมือของ เยทส์ และ เขียนปิดท้าย blog ว่า

เดวิด เยทส์ จะ ของจริง หรือ ของปลอมทำเหมือน ถ้าได้ทำภาค 6 คงจะได้รู้กัน เพราะ ตัวหนังสือนั้นมีฉากรอพิสูจน์ฝีมือมากกว่าเล่ม 5 หลายเท่า



... ผู้สร้างเหมือนจะรู้ใจว่ามีคนอ่านอย่างผมรอพิสูจน์ ก็เลยส่งให้ เดวิด เยทส์ คุมบังเหียนหนังสือเล่ม 6 กับ เล่ม 7 เป็นการปิดฉากแฮรี่ไปเลย แถมยังวางแผนที่จะแบ่งภาค 7 เป็นอีกสองภาคอีกต่างหาก

ดาบสองคม ของ การให้ เยทส์ รู้ว่า ข้าจะได้กำกับสองภาคสุดท้าย ทำให้ จุดอ่อนมาตกที่ภาค 6 เพราะปกติ ถ้าผู้กำกับรู้ว่าตัวเองได้ทำแค่ภาคนี้ภาคเดียว เขาก็จะเขย่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้นโดยไม่พยายามไปแตะหนังสือเล่มถัดไป แล้วพยายามทำให้ มีบทสรุปจบในตัว คือ จบแบบอิ่มเต็มที่ มีไคลแมกซ์ช่วงท้าย เพราะไม่รู้ว่า ภาคหน้าจะได้กลับมาทำอีกหรือเปล่า

แต่เมื่อ เยทส์ รู้ว่าตัวเองจะได้ทำต่อในสองเล่มสุดท้าย ผมเดาว่า เขาคงหยิบเนื้อหาทั้งสองเล่มมารวมกันแล้วเลือกดัดแปลงให้เป็น หนึ่งเดียว โดย ภาค 6 เป็นแค่สะพาน ที่จะโหมโรงคนดูไปสู่ บทสรุปในภาค 7 มากกว่าจะเป็นภาคหลักๆแยกออกมา




... จุดเด่นที่เห็นได้จากหนังแฮรี่ของเยตส์ คือ เหมือนกับเขาจะมีภาพที่ชัดเจนในหัวชัดเจนแล้วว่า จะนำเสนอ หนังแฮรี่ ให้ออกมาในสไตล์ของตัวเองยังไง ไม่กังวลที่จะตัดฉากสำคัญๆหรือตัวละครคนโปรดของแฟนๆ

ทำให้ หนังของเขาไม่มีทีท่า ห่วงหน้าพะวงหลัง ประเภทกลัวแฟนพันธุ์แท้จะหงุดหงิดใจ จนต้องหยอดโน่นนิดนี่หน่อยใส่เข้ามาเซอร์วิสแฟนๆ ซึ่ง ผลสุดท้ายไม่ว่าหนังของเขาจะถูกใจแฟนๆหนังสือหรือไม่ แต่ใน แง่ภาพรวมของหนัง มันค่อนข้างลงตัวเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ

เยทส์ ค่อยๆพา โลกเวทมนตร์จากภาค 5 ให้มืดหม่นลงเรื่อยๆ ไม่เน้นของเล่นแปลกๆ ไม่เน้นสีสันเหมือนภาคสามภาคสี่ แต่ก็ยังคงรักษาอารมณ์ขันแบบฉลาดๆในตัวบทสนทนาเหมือนภาคก่อน

และ เหมือนกับว่า เยทส์ จะให้ความสำคัญกับ หนังแฮรี่ ในแง่ของการเป็น หนังชีวิตวัยรุ่นที่กำลังเติบโต โดยมี ความเป็นพ่อมดแม่มด เป็นแค่ฉากหลัง มากกว่าจะเป็น หนังแอคชั่นแฟนตาซี

เนื้อหาในภาคนี้ จึงโฟกัสไปอยู่ที่พัฒนาการของวัยรุ่น เหมือนหนังวัยรุ่นประมาณ ปิดเทอมใหญ่ฯ ไม่ว่าจะเป็น

การให้ตัวละครเรียนรู้ ความสัมพันธ์ที่มากไปกว่าเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น ความรัก , ความคลั่งไคล้ในตัวไอดอล , การแอบรัก , การหึงหวง ฯลฯ

การให้ตัวละครเรียนรู้การเลือกเดินทางที่ผิด และ พบกับ ความรู้สึกผิด , ความละอายใจ , ความละล้าละลังที่ต้องเลือกระหว่างเป็น คนดีที่อยากจะเป็น กับ เป็นคนร้ายที่คนรอบข้างต้องการ

และนำไปสู่ตอนจบที่พา พวกเขาไปพบกับ ความสิ้นหวัง และ ความตาย





... โลกแฮรี่ ของ เยตส์ จึงทำให้หลายคนผิดหวังที่เวทมนตร์ไม่ออกมาสะบ๊ะระฮึ่มอย่างที่คิด แถม เยตส์ ยังกำกับหนังเด็กด้วยสไตล์ของหนังผู้ใหญ่ คือ ไม่เล่าโต้งๆแต่ต้องคิดตาม รวมไปถึงจังหวะของหนังที่ไม่มีการบิวต์ให้ถึงที่สุด

ไม่รู้ว่าแก บิวต์ไม่เก่ง หรือ ตั้งใจจะไม่บิวต์อารมณ์

เพราะทั้งภาคก่อนและภาคนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่มีการพาคนดูขึ้นไปถึงพีคของอารมณ์แต่จบแบบนิ่งๆ

เช่น ตอนจบของภาคนี้ สามารถบิ้วต์กันได้ง่ายๆ ประมาณ โอ้ว ไม่นะ หยุด โอ้ว โน ดัมเบิ้ลดอออออออออออ แฮรี่รี่รี่รี่รี่รี่รี่ แล้วต่อด้วยการยิงเวทมตร์ปรู๊ดๆปร๊าดๆ ตามหนังสือที่มีฉากแอคชั่นช่วงท้ายๆ

แต่ เยตส์เซลฟ์ดี เยตส์ไม่แคร์ใคร เยตส์ เลือกไคลแมกซ์แบบเรียบๆเนิบๆ และ ไม่ใช้ดนตรีประกอบโหมอารมณ์คนดู แต่ ใช้ความเงียบเนิ่นนาน ก่อนจบลงแบบซึมๆ

และจุดนี้เองที่ผมชอบ เพราะมันให้ความรู้สึกแปลกตา

แต่

ผมคิดว่า เยตส์ เลือกวิธีนี้จะเหมาะมาก หาก ภาค 7 ฉายต่อจากภาคนี้ไม่นาน เพราะ ภาค 6 จะเป็นการโหมโรงสู่บทสรุปได้อย่างน่าสนใจ เหมือน ฟังเพลงที่ต้องค่อยๆไล่บิวต์ก่อนที่จะใส่ท่อนฮุคหรือรุกเร้าอารมณ์คนดูให้ถึงพีค ไม่ใช่ใส่พีคแบบพร่ำเพรื่อ

แต่ การที่คนดูต้องรอภาค 7 จนเหงือกแห้งเป็นปีๆ อารมณ์ที่ทิ้งค้างไว้ตอนนี้ก็ลืมๆไปหมดแล้ว และ มันก็พาลจะทำให้ภาคนี้ดูไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น

และภาค 7 จะเป็นบทพิสูจน์ว่า แท้จริงเป็นการวางหมากอย่างชาญฉลาดของเยตส์ หรือ แกก็กำกับเนิบๆประมาณนี้ได้เท่านี้จริงๆ




สิ่งที่ชอบsmile

1.น้องหัวสิงโต ลูน่า คุณน้องเพี้ยนได้ใจ แถมยังดูมีเคมีเข้ากับแฮรี่ มากกว่า จีนนี่ย์เสียอีก

2.มัลฟอย ... เล่นดีเกินหน้าเกินตาเพื่อนฝูง

3.ภาพในหนัง สวยดี ฝีมือการถ่ายภาพช่วยให้หนังดูแคลสสิคขึ้นเยอะ และ ทำให้ หนังแฮรี่ ที่เยตส์กำกับดูเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันดี

4.สไตล์การกำกับของเยตส์ ... ใช้วิธีเล่าเรื่องแบบค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ คือ ไม่เหมือนหนังเด็กทั่วไปที่บอกกันโต้งๆ แต่ ไม่บอกตรงๆต้องคิดตามว่า เหตุการณ์ตรงหน้าหรือสิ่งตรงหน้าคืออะไร เช่น กล่องที่เราเห็นมัลฟอยไปทดลอง ซึ่งนั่นผมคิดว่าเป็นการดัดแปลง หนังสือ โดยใช้ ภาษาหนัง ที่ดี

5.มุกตลกในบทสนทนาที่หยอดเป็นระยะๆ ขำน่ารักดี



สิ่งที่ไม่ชอบmad

1.ผิดหวังที่เล่นประเด็นเจ้าชายเลือดผสม แค่ จิ๊บๆ คือ โผล่มาเป็นประเด็นตอนต้น แล้วก็หายไปเลย จนตอนจบก็โผล่มาบอกห้วนๆเหมือนหนังไทยสมัยก่อนว่า ผมร้อยตำรวจเอก‘เจ้าชายเลือดผสม’ปลอมตัวมา ทั้งที่เรื่องของตัวละครตัวนี้ สำคัญต่อเรื่องราวในภาคสุดท้ายยิ่งนัก


สรุป ... ตอนดูภาค 4 จบก็ว่าภาค 4 ดีที่สุด พอมาดูภาค 5 ก็ว่าภาค 5 ดีที่สุด พอมาดูภาคนี้ก็ชอบภาคนี้ที่สุด สรุปได้ว่า ชอบ ถูกใจ หนังแฮรี่สไตล์เดวิด เยตส์ เป็นพิเศษ ถึงจะไม่เหมือนหนังสือ แต่วิสัยทัศน์ของเขาก็ชวนติดตามไม่แพ้กัน เพียงแค่เป็นคนละอารมณ์กับในหนังสือ และ รู้สึกว่า หนังแฮรี่ เป็น หนังชุดที่ยิ่งทำยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ



ideaบทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
(บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

เหตุผลที่ แฮรี่ 5 เป็น 'หนังแฮรี่' ที่ผมชอบมากที่สุด
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2007&date=17&group=14&gblog=11

Harry Potter and the Goblet of Fire , กีฬาสีสามสถาบันกับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ดีที่สุด
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=23&group=1&gblog=70

ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น , อีกหนึ่งหนังไทยวัยรุ่นดีๆ ที่ว่าด้วย 'ความรักของวัยรุ่น'
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=23-03-2008&group=14&gblog=82

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 52 10:04:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com