ความคิดเห็นที่ 1 |
หลังจากภาค 5 ที่นำพา แฮร์รี่ พอตเตอร์ และผองเพื่อน(รวมถึงคนดู) ก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว (ในโลกที่เต็มไปด้วย ..การเมือง!!!) ..มาในภาค 6 นี้ ผู้กำกับเยตส์ ก็ยังคงสถานะความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้ได้ในหนังภาคล่าสุด (แม้ว่าจะลดความรุนแรงให้กลายเป็นหนังเรต PG ก็ตามทีเถอะ) ..ที่ยังคงความหม่นมืดอลตระการสร้างสภาพแวดล้อมรอบข้างตัวละครที่ไม่น่าไว้วางใจ และบิวต์อารมณ์ให้ เรารู้สึกได้ว่า ฮอกวอตส์ ไม่ใช่ที่ๆปลอดภัยที่สุดอีกต่อไป
ซึ่งนั่นก็ทำได้ถึงจุดที่ต้องเป็น ดังเช่นในหนังสือ กับปลายปากกาของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง สามารถ... ผู้กำกับเยตส์ ได้ผสมผสานเนื้อภาพที่เน้นโทนมืดครึ้ม ฉากหน้าที่ดำทะมึน และมุมกล้องที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างจับต้องได้ ให้รวมกันออกมาเป็น งานศิลปะบนจอหนังที่สวยงามจับใจ ..จนยากจะปฏิเสธไม่ชื่นชมใน sense ของผู้กำกับคนนี้จริงๆ ที่สามารถต่อยอดให้ภาพจินตนาการต่างๆนานา ในหนังสือ ออกมาดูเป็นงาน Art ที่น่าทึ่ง ขึ้นมาได้
ผมว่าผมเคยคิดว่าฉากนี้ต้องได้ประมาณนี้ จินตนาการเท่านั้นก็คงจะพอ ..หากแต่ ผู้กำกับ เยตส์ (ผู้ไม่ใช่แฟนหนังสือด้วยนะนั่น) ยังจะคิดเค้นภาพจริงๆ ออกมาได้เหนือชั้นกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่าง ในฉากห้องต้องประสงค์ ..ที่ผมเคยคิด(ตามตัวหนังสือ)ว่า มันคงจะไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่ ...หากเมื่อมันมาอยู่บนจอ พร้อมกับความไม่เป็นระเบียบอย่างที่เคยคิดไว้แล้ว ..เอาเข้าจริง ภาพสิ่งของหลายหลากที่วางกระจัดกระจาย ไม่เป็นเอกภาพเหล่านั้น กลับสามารถทำให้ผมรู้สึกขนลุก ไปพร้อมๆกับความยิ่งใหญ่โอฬารของห้องๆนี้ ..ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่ามันยังทำให้เกิดฉากที่โรแมนติกที่สุดในเรื่องนี้ ได้อีกด้วย!!?
แม้ผมจะถือตัวว่าเป็นแฟนหนังสือด้วยก็จริง ..แต่ถ้าลองให้ไปทำหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว ก็แน่ใจว่าคงจะทำออกมาไม่ได้เท่านี้แน่ๆ
คงต้องขอยกธงขาว สละไม้กายสิทธิ์ และยอมแพ้ให้กับคนที่ไม่ใช่แฟนหนังสืออย่างหมดรูป ด้วยประการฉะนี้
อีกกระทั่งเมื่อมองตัวหนังในภาพรวมแล้วด้วยละก็ ..เจ้าชายเลือดผสม ก็ถือว่าทำออกมาได้ลงตัวเป็นที่สุด ..และดีกว่าภาคที่ผ่านๆมา ตรงที่หนังสามารถเล่าเรื่องต่างๆออกมาภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึง ได้อย่างไหลลื่น
แม้ว่า ฉากแอ๊คชั่น การประลองเวทย์ หรือกระทั่งความอลหม่านต่างๆในรั้วฮอกวอตส์ จะลดน้อยลงไปมาก ..แต่ภาค 6 ก็ยังได้อย่างอื่นที่ดีมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอารมณ์ขันที่มากขึ้นกว่าภาคก่อนของผู้กำกับเยตส์ (ที่มันไม่ค่อยผ่อนคลาย ตรงที่หลายอย่าง มันมาแบบตึงเกินไป) ซึ่งหยอดเข้ามาได้ในจังหวะที่ดี และได้ผล.. ความโรแมนติกที่แซมๆลงมา พร้อมฮอร์โมนวัยรุ่นที่คุกรุ่น อันทำให้เห็นถึงอีโมชั่นตามวัยที่ต้องเป็นไปเป็นเรื่องปกติ (อย่าว่าผมอคติเลย ..แต่ตรงนี้ หนังพ่อมดน้อย ทำได้ดีกว่า หนังแวมไพร์หล่อบางเรื่อง อย่างเห็นได้ชัด!!!) ..หรือจะเป็นฉากดรามา ที่ดูเข้มข้นขึ้น ที่เปิดช่องให้นักแสดง(ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่)ได้ขับเคี่ยวฝีมือกันมากขึ้นก็ด้วย
แต่กับคนที่เรียกว่า ภาคนี้มีพัฒนาการทางการแสดงที่น่าประทับใจ ก็คงต้องยกให้ ทอม เฟลตัน ได้รับเครดิตนี้ไป... หลังจากที่ภาคเก่าๆ เราเห็นแต่ด้านที่น่าจงเกลียดจงชังของเขามาตลอด มาภาคนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้เราต้องรู้สึกเห็นใจ ในชะตากรรมของ เดรโก มัลฟอย ..กับอีกมิติหนึ่งที่แอบซ่อนความอ่อนแอ และอ่อนไหว เอาไว้ในตัวเอง ที่ไม่เคยได้เปิดเผยให้เห็นมาก่อน ...ผมว่า เฟลตัน ทำออกมาได้ดีมาก จนชวนให้คนดูรู้สึกเชื่อในสิ่งที่เขาจำใจทำ ได้มากกว่าที่ในหนังสืออธิบายเอาไว้เสียด้วยซ้ำ
ซึ่งแม้ว่า เพื่อนนักแสดงรอบข้างจะมีบทบาทที่เด่นกว่า ได้ออกจอนานกว่า... แต่ถ้าถามว่าใครได้ออกแล้ว แสดงประสิทธิภาพของตัวเองได้ดีที่สุด ..ผมว่า นายมัลฟอย นี่แหละ ที่เด็ดขาดจริงๆ
จากที่ตอนแรก ก่อนจะดูภาคนี้ ..ก็คิดแต่ว่า "ศาสตราจารย์ซลักฮอร์น" ผู้มาใหม่ คงแย่งซีนอย่างเมามันส์แน่ๆ (หนังสือก็อุตส่าห์พยายามทำให้ดูเด่น ดูเพี้ยน ซะขนาดนั้น) ... แต่เอาเข้าจริงแล้ว ระดับอังกฤษรุ่นใหญ่ตัวพ่ออย่าง จิม บรอดเบนต์ ก็ยังต้องแพ้ รุ่นใหม่ไฟแรงสูง อย่าง เฟลตัน เสียซะอย่างงั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าบางคนจะยังไม่เด่นได้ใจ ..หากก็ยังจัดว่าน่ายินดีที่หนังในภาคนี้ เฉลี่ยบทบาทของแต่ละคาแรกเตอร์ได้กำลังดี และผู้กำกับเยตส์ ก็กำกับนักแสดงของเขาได้เด็ดขาด ...ถึงอาจจะยังจำใจต้องตัดตัวแปรสำคัญที่ภาคนี้ อันควรมี บางตัวออกไป แต่เอาเท่าที่มีในหนัง ก็ถือว่า ไม่มีใครที่ถูกทอดทิ้งจนเคว้งคว้าง เช่นที่ภาคก่อนเคยเป็นกับ "โช แชง" (แต่ก็ยังพอทำใจได้ ตรงที่ภาคนั้น ..คุณน้องที่แสดง โคตรจะหมองเลย)
และอีกอย่างที่ถือว่าภาคนี้ ผู้กำกับเยตส์ ยังสามารถกลับลำแก้ตัวคืนได้สำเร็จ หลังจากที่ภาคที่แล้วทำไม่ได้ ..ก็คือ การทำให้ผมน้ำตาไหล ให้กับการจากไปของเขาคนนั้น
แม้ส่วนตัวจะผิดหวังเป็นที่สุด ที่จะไม่ได้ดูฉากแอ๊คชั่นประทะเวทย์ในช่วงไคลแมกซ์ ที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้ในใจ ว่ามันต้องสนุกมากๆ เมื่อขึ้นมาอยู่ในบนจอ ...แต่ถ้ามันทดแทนได้ด้วยฉากส่งวิญญาณ ที่ดูเรียบง่าย แต่มีความทรงพลัง แล้วละก็ ..ผมยอมจะอดใจไว้มันส์กับภาคสุดท้ายเลยก็ได้
ซึ่งในตอนนี้ ก็ทำได้แต่หวังไว้ว่า ..ปากคำของผู้กำกับ เยตส์ ที่ยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าภาคหน้า (ที่แบ่งตอนออกเป็นครึ่งๆ ..เพื่อหวังผลในการเล่าเรื่องได้ครบครันมากขึ้น) ต้องสนุกกว่า และมันส์กว่าแน่ๆ ...จะเป็นการรับปากที่เกิดขึ้นได้จริง
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ...ถ้าให้ถามว่า ภาคไหนของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในฉบับหนังสือ ถือว่าเป็นภาคที่ดีที่สุด ..ผมก็ได้ยกให้ภาค 7 เป็นที่สุดของที่สุดไปเสียแล้ว
มันเป็นที่สุดของความสนุก ..ที่สุดของความระทึก ..ที่สุดของการคลี่คลายทุกปมปริศนา ...และที่สุดของ นวนิยายสักเรื่องสักเล่ม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการรอคอยจะเห็นจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นอะไรที่คุ้มค่า
เพราะฉะนั้นแล้ว งานหนักในภาคหน้าของ เดวิด เยตส์ ไม่ใช่เพียงแค่การแบกรับความคาดหวังของแฟนๆพ่อมดน้อยทุกคน ทุกกลุ่มเหล่า บนโลกใบนี้ กับการรอที่จะได้เห็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด ...แต่มันยังต้องเป็นการพิสูจน์ให้ได้รู้กันไปว่า การได้มากำกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ใช่เพราะความโชคดี เท่านั้น ...หากยังต้องรวมถึงความจริงที่ว่า เขาคนนี้ มีฝีมือ ที่คู่ควร เหมาะสมกับมันแล้ว
อีกหนึ่งภาค (สองตอน)ที่เหลือ ผมขอแค่ให้เอาหนักๆ จัดมาดู เพื่อจะให้รู้กันไปเลยว่า ...ถึง(ใคร)จะเป็นแฟน ก็ทำแทน(เขา)ไม่ได้!!
Harry Potter and the Half-Blood Prince ..หากดูมันแบบคาดหวังว่าจะเหมือนหนังสือ ร้อยทั้งร้อยคงต้องผิดหวัง ...แต่ถ้าลองปล่อยความทรงจำกับทุกสิ่งที่เคยอยู่ในหนังสือ ให้ไหลลงไปสิงสู่ในเพนซิฟ กันสักประเดี๋ยว และเหลือพกพาเอาแต่ความรู้สึกที่อยากสนุกกับหนังสักเรื่องติดตัวไปอยู่ในโรง ..เชื่อผมเถอะว่า ภาคนี้ จะทำให้คุณเพลินไปกับมุมมองการเล่าเรื่องของหนัง ที่ครบครันทั้งความบันเทิง และคุณภาพในตัวของมันเอง
แม้สุดท้าย อาจไม่จำเป็น ต้องจัดให้เป็นภาคที่ดีที่สุด เช่นที่ผมรู้สึก ...แต่ถึงอย่างไรแล้ว คุณก็ยังจะได้พึงพอใจกับ พ่อมดน้อยภาคนี้ ..จนทำให้อดใจไม่ไหว ที่จะอยากเห็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบกันสักที
ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ
เกรด A ...  
ขอบคุณครับ รักคนอ่าน
จากคุณ |
:
OncE UPoN'-'a MaN
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ค. 52 13:23:56
|
|
|
|