Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; “Public Enemies” ... โจรปล้นเงินผู้ยิ่งใหญ่ ที่ง่ายเกินไป ตรงไม่กล้าปล้นใจ  

  เกรด A [A/A-] (3 คน)
  เกรด B [B+/B/B-] (6 คน)
  เกรด C [C+/C/C-] (2 คน)
  เกรด D [D+/D] (1 คน)

 25.00%
  เกรด A [A/A-] (3 คน)
 50.00%
  เกรด B [B+/B/B-] (6 คน)
 16.67%
  เกรด C [C+/C/C-] (2 คน)
 8.33%
  เกรด D [D+/D] (1 คน)

จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 12 คน


แม้ส่วนตัวจะเคยดูผลงานที่พีคที่สุดของผู้กำกับ “ไมเคิล มานน์” อย่าง “Heat” มาก่อนแล้ว ..แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยเลยที่ผมจะรู้สึกเฉยๆ ค่อนไปทางไม่ชอบหนังเรื่องที่ว่านี้ แตกต่างกับชาวบ้านที่ยกย่อยเรื่องนั้นให้เป็นที่สุด (อาจเกี่ยวส่วนหนึ่งที่ช่วงนั้น ผมยังไม่เชี่ยวกับการดูหนังเนิบๆ ยาวๆ ด้วยแหละ) ..หากกับเพิ่งมารู้จักเขาผู้นี้อย่างเต็มตัวก็ตอนที่เขาจับ “ทอม ครูซ” มาเป็นมือปืนตัวชั่วใน “Collateral” นั่นเอง และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็สมัครเข้าเป็นสมาชิกแฟนคลับของเขาอย่างเต็มใจ

ถ้าดูเอาจากที่ผมได้เห็นฝีมือของเขาใน หนังทริลเลอร์ที่ผมรักที่สุดเรื่องนี้แล้ว เพียงเรื่องเดียว ..ผมว่า ผมสามารถมองเห็น ความเป็นผู้กำกับขั้นเทพ ได้รวมเอาไว้ในหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวได้อย่างครบถ้วน

เอากับแค่ การมาคิดตีความถึง ฉากกวางน้อยโดดมาขวางหน้ารถแท็กซี่ที่ผู้ร้ายและพระเอกนั่งอยู่ร่วมกันแล้ว ...มาถึงตอนนี้ ผมก็ยังคิดไม่ออกสักที ว่ามันต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่ ...เพราะแม้บางคนก็บอกว่า มันต้องการโยงถึงตัวร้าย แต่เมื่อหาเหตุผลให้พระเอกกับฉากๆนี้ มันก็มีอีกเหมือนกันที่จะข้องเกี่ยวกับเขา

แม้เรื่องบางเรื่องในหนังของเขาจะยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง และยังคงค้างคาในใจของผมเสมอมา ...แต่ผมก็ไม่ถือสา หากตราบใดที่ ไมเคิล มานน์ ยังคงมีผลงานใหม่ๆมานำเสนอได้อีก ซึ่งผมเชื่อว่า... ถึงต่อให้มันเป็นหนังขั้นเทพยังไง มีอะไรให้ยุ่งยากใจ แต่ความดูสนุก ก็ยังคงมี และถือเป็นลายเซ็นเฉพาะตน ที่ผู้กำกับน้อยคนจะมีได้

แต่กระนั้น ผมก็ได้สัมผัสกับความผิดหวังมาแล้ว ซึ่งเป็นที่เพิ่งผ่านพ้นมากับผลงานชิ้นล่าสุดของเขา กับการนำซีรี่ส์ในจอตู้ที่ดังในยุคหลายปีก่อนอย่าง “Miami Vice” ขึ้นจอใหญ่ ...มันช่างเป็นหนังของ ไมเคิล มานน์ ที่ดูแล้วรู้สึกทรมาน มากกว่าจะนั่งสนุกไปกับการตามล่าแก๊งยาเสพติดของสองพระเอกต่างสีที่ดู non sense เสียยิ่งกระไร

เพราะถึงแม้ ความรักใน Collateral จะหักลบกลบนี้ไปได้บ้าง ..แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกหวั่นๆไม่น้อย ที่จะรอคอยผลงานต่อไป ด้วยใจที่หวังว่าเขาจะกลับมาสู่ร่องสู่รอยที่เป็นผู้กำกับขั้นเทพของเขาได้อีก

ซึ่งถึงในตอนนี้ การรอคอยก็ได้ถือเป็นอันสิ้นสุด และผลลัพธ์ของมันก็ออกมาในทางที่น่าจะดีใจ สมดังหวังได้จริงๆ




“Public Enemies” ...อันเป็นการนำเอาเรื่องจริงซึ่งเป็นประวัติศาสตร์บทสำคัญแห่งชาติอเมริกันมาตีแผ่บนจออีกครั้งของ ไมเคิล มานน์ (หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งในท้องเรื่องนักมวยโลกไม่ลืมอย่าง “Ali”) มาพร้อมกับประเด็นที่เข้าทางเขาเป็นอย่างยิ่ง ...เมื่อหนังเรื่องนี้ ได้พูดถึงเรื่องราวในช่วงที่รุ่งโรจน์อันเป็นที่สุดของจอมโจรปล้นธนาคาร นามว่า “จอห์น ดิลลิงเจอร์” ..นักก่ออาชญากรรมมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศอเมริกา ในช่วงเวลายุค 30 ที่ฟองสบู่แตกดังโครม เศรษฐกิจล่มจนพาลทำคนเจ๊งระเนระนาดไปทั่วทั้งแผ่นดินแห่งเสรืภาพ

แต่ในขณะเดียวกันกับที่ คนธรรมดาทั่วไป ชาวบ้านตาดำๆ ได้แต่จนลง จนลง กลายเป็นคนขัดสนทั่วทุกหย่อมหญ้านั้น ..กลับยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่รวยเอา รวยเอา ได้หน้าชื่นตาบานกับการโกงเงินประชาชน ผู้ที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฝากเงินกับธนาคารต่างๆ เพื่อหวังจะช่วยพิทักษ์ทรัพย์สินให้เขาอยู่รอดในเวลาที่ข้นแค้นสุดๆ ...ซึ่งคนกลุ่มที่ว่า ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหล่านายทุน เจ้าของธนาคารหน้าเลือด ที่ขูดรีดไถประชาชนในแทบทุกวิถีทางที่จะทำได้

และด้วยเหตุฉะนั้น มันก็เลยเป็นเหตุเป็นผลที่เหมาะสม ที่จะทำให้เกิดยอดวีรบุรุษขึ้นมา ..แล้วก็เป็นวีรบุรุษที่ไม่เหมือนใครที่เคยมีมาในโลกนี้ ตรงที่เขาคือ โจร ...คือ ผู้ร้ายที่ทางการขึ้นประกาศล่าหัวอย่างหนักหน่วง จนหมายสุดท้ายให้เป็นหนึ่งใน Public Enemies (กลุ่มศัตรูของประเทศ) ในที่สุด

สิ่งที่ จอห์น ดิลลิงเจอร์ ไม่ใช่การปล้นเพื่อตัวเองได้เสวยสุขสบายไปทั้งชีวิตเท่านั้น ..หากแต่เอาเข้าจริง มันก็คือ วิธีการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเหล่าประชาชน ผู้ที่หน้าดำคร่ำเคร่งกับการหาเงินแทบตาย แต่มิวายโดนโกงกันง่ายๆ และไม่มีสิทธิต่อสู้อะไรได้ เพราะถึงทำไปยังไง รัฐบาลก็ต้องปกป้องอยู่ดี

ซึ่งถ้ามองและพิจารณา กันด้วยตรรกะที่เป็นกลางแล้วละก็ ..ย่อมจะเห็นได้ว่า นี่คือ ความคิดและการกระทำอันอยู่นอกเหนือจากกรอบอันดีงาม แต่ก็จำเป็นและสมควร สำหรับในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจพิกลพิการแทบล้มทั้งยืนเช่นนั้นเหมือนกัน




แต่ถ้าผมเลือกจะไม่ใส่ใจกับการได้ตามอ่านเรื่องราวของพระเอกที่ชื่อ จอห์น ดิลลิงเจอร์ ตัวจริงเสียงจริงคนนั้นมาก่อน แล้วก็เข้ามานั่งดูหนังเรื่องนี้ในทันทีเลยละก็ ...มันย่อมอยากพูดตรงๆได้อย่างไม่ต้องพึ่งตรรกะใดๆทั้งสิ้น ว่า จอห์น ดิลลิงเจอร์ ที่เห็นในหนัง ยังไม่ได้เหมาะกับคำว่า วีรบุรุษ แต่อย่างไรเลย

มิหนำซ้ำ เขาก็คงเป็นแค่โจรคนหนึ่งที่เดินดุ่มๆเข้าไปปล้นธนาคาร ชักปืนจ่อหัวคนเปิดเซฟ แล้วเชิดเงินออกมา อย่างลอยหน้าลอยตา (อาจมีบ้าง ที่ต้องต่อสู้กับตำรวจกระจอกๆ ..หากที่สุด ก็หลุดจากบ่วงติดข้อมือแบบสบายๆ) ...ทำเหมือนว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่โจรคนหนึ่งจะพึงกระทำกันก็เท่านั้น

นี่คือ เหตุผลที่ทำให้ผมไม่รู้สึกผูกพันกับ จอห์น ดิลลิงเจอร์ เลย ...และถึงต่อให้ผมจะเกิดทันเป็นคนยุคนั้น (ต่อให้อีกนิด ตรงที่เป็นคนอเมริกัน ด้วยละกัน) ผมก็จะไม่รัก จอห์น ดิลลิงเจอร์ ในหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเขายังดูธรรมดาเกินไปที่จะเป็น วีรบุรุษ ของใครเขาได้

ซึ่งแม้ว่า ตัวหนัง Public Enemies จากฝีมือของ ไมเคิล มานน์ ...จะเป็นผลงานที่สามารถพูดอวดอ้างได้ว่า ผู้กำกับที่ผมรัก คนเดิมได้กลับมาแล้ว ..แต่ก็ยังไม่อาจเต็มปากเต็มคำได้เลย ในเรื่องของความประทับใจ ที่มันช่างห่างไกลกับ Collateral อย่างไม่เห็นฝุ่น

คือ ถ้ามองกันเฉพาะ ในเรื่องของเอกลักษณ์การทำหนัง ที่มาพร้อมกับลายเซ็นอันชัดเจนอีกครั้งหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ..ก็ย่อมเป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับแฟนๆ ที่เราได้ดูหนังที่มาพร้อมกับคุณภาพในการนำเสนอขั้นสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนชอบ ไมเคิล มานน์ อยากจะได้ดู ได้เห็น กันเต็มที่

โดยความเต็มที่ในที่นี้ หมายถึง การถ่ายภาพที่ดูดิบๆ แต่มีมุมที่สวยแอบแฝงอย่างแยบยล ..การตัดต่อที่เร็วรวด แต่หวดความรู้สึกของคนดูให้ต้องจับตาอย่างไม่อาจคลาดเคลื่อน ..อีกยังจะมีเทคนิคการบันทึกเสียงที่ดูจริง จนคล้ายว่าตัวเราได้ติดอยู่ในฉากนั้นๆกับตัวละครในหนังไปด้วย (ยิ่งกลับฉากแอ๊คชั่นแล้ว กระสุนเป็นกระสุน ฟิ้วผ่านหูไปเฉียดๆเลยทีเดียว) ...และเหล่านี้ ก็คือ สิ่งที่หาได้ในหนังของผู้กำกับคนนี้ มาโดยตลอด

แต่หากจะถามหาความทรงพลังในภาพและเสียงเหล่านั้นแล้วละก็ ..ผมไม่ได้เห็นมันเลยใน Miami Vice

ซึ่งถ้านับกันแต่เรื่องที่คิดถึงเหล่านี้อย่างสุดหัวใจแล้ว ..ผมคงไม่มีเหตุผลอื่นใด มาคะคานความไม่ใช่หนังธรรมดาๆ ของ Public Enemies ได้เลยจริงๆ ...หากดูเอาคุ้มแค่ได้เห็นฉากเทพๆ อันมีผสมอยู่ประปรายหลายแหล่ ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก

แต่เมื่อมาคิดๆดูอย่างจริงจัง ไปพร้อมกับการเล่าเรื่องของหนังด้วยละก็ ...มันคงเต็มใจจะพูดว่าหนังเรื่องนี้ เป็นผลงานที่น่าประทับใจของ ไมเคิล มานน์ ไม่ได้เลยจริงๆ

เพราะแค่จะทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครใดๆสักตัว ในเวลาที่มากมายถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ..ก็ถือเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ในหนังเรื่องนี้ ...ยิ่งหากถามกันอย่างลงลึกว่า เราได้รู้จักกับ จอห์น ดิลลิงเจอร์ มากแค่ไหน ..ก็คงจะยากทำใจ บอกออกมาว่า เราได้รู้จักเขาเป็นอย่างดีแล้ว

ซึ่งก็น่าเสียดายแทนทรัพยากรดีๆที่มีอยู่ของ Public Enemies ..อันประกอบไปด้วย พลอตที่น่ารู้(ในเรื่องประวัติศาสตร์) และน่าสนุก(ในความบันเทิง) อีกยังต้องรวมถึงการได้นักแสดงเจ้าฝีมือมีคุณภาพ มาประชันบทกันอย่างน่าติดตาม ...เพียงแต่สองสิ่งนี้ โดยหลักๆ กลายเป็นสิ่งที่ไปไม่ถึงจุดสูงสุด ..หากไม่ถึงกับธรรมดา แต่ก็ไม่ยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างไร


----------- อ่านต่อที่ความเห็นถัดไป ------------

จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN
เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 52 19:09:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com