ความคิดเห็นที่ 1 Stands of Part 4: Diamond Is Unbreakable สวัสดีครับ   มาถึงภาค 4 แล้วกับการแนะนำที่มาของชื่อร่างต้น-แสตนด์ จากเรื่อง JoJo ครับ คนที่จินตนาการล้ำอย่าง อ.ARAKI น่าจะชอบ “ศิลปะ” ในทุกแขนง  ดังนั้น ชื่อตัวละคร น่าจะมาจากอะไรก็ได้ที่ อ.ชอบ ณ ขณะนั้น สำหรับภาค 1-2 บอกตรงๆว่า “ลืม” รายละเอียดไปแล้วครับ คงต้องกลับไปอ่านอีกรอบ แหะๆ ก่อนจะเริ่มบรรเลง ลองมาฟังแฟนชาวต่างชาติให้ความเห็นบ้างดีกว่าครับ JoJo's Bizarre Adventure Music References http://www.youtube.com/watch?v=4tCyhuKDB68 Abdul มาจาก Paula Abdul จริงดิ!? Are you serious man!!!??? Hol Horse มาจาก วง Full Force Alessi มาจาก Alessi Brothers แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 52 20:39:45 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:38:54

ความคิดเห็นที่ 2 ภาค 4 นี้ เป็นภาคที่ผมชอบมากที่สุดครับ ถึงภาค 3 จะบู๊สะบั้น มันส์สุดๆ แต่ความลงตัว + แสตนด์ผมยกให้ภาคนี้เลย และ Crazy Diamond คือ แสตนด์ที่ผมชอบที่สุดด้วย (ถ้าได้ความสามารถนี้นะรวยแน่ๆ) ข้อมูลก็มาจากแหล่งที่คุ้นเคยครับ Google / youtube / pantip / IMDB นั่นเอง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3   http://www.thaiprog.net/home/index.php?option=com_content&task=view&id=43&Itemid=59 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&month=07-2006&date=19&group=2&gblog=21 http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=46 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&month=10-2006&date=12&group=11&gblog=344 http://www.geocities.com/hardrockhits/ เนื่องจากเนื้อหามีความยาวมาก ผมขอตัดแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:40:52

ความคิดเห็นที่ 3 เริ่มกันเลย ตอนที่ 1 ภาคนี้ มีชื่อว่า Diamond Is Unbreakable แล้วเพชรมันแข็งอย่างนั้น จริงๆหรือ? กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7365466/X7365466.html มีคำตอบครับ สรุปได้ว่า เพชรแข็งจริง แต่เปราะและไม่เหนียวครับ เมื่อถูกทุบก็แตกได้ แต่ความหมายของชื่อนี้จริงๆน่าจะมาจาก การเปรียบเทียบ “ความดี” เป็นดั่งเพชร “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” จึงน่าจะเป็นความหมายโดยนัยของชื่อภาคนี้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:41:22

ความคิดเห็นที่ 4 เพชรคืออะไร? เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10 เพชรมีหลายสี สีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์ สีที่หายากคือสีแดง ฟ้า เขียว ส้ม ชมพู เรียก "แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมาก การเจียระไนเป็น 52 เหลี่ยมนับว่าสวยที่สุด เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความแข็งแกร่ง แหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก ส่วนมากพบที่บราซิลและแอฟริกาใต้ คำว่า เพชร ในภาษาไทย มาจาก (วชฺร) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง สายฟ้า หรืออัญมณีชนิดนี้ก็ได้ ส่วนในภาษาอังกฤษ "diamond" มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ (adamas) ซึ่งมีความหมายว่า ไม่มีใครชนะได้ ภายหลังได้แผลงเป็น adamant, diamaunt, diamant และ diamond ในที่สุด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:41:59

ความคิดเห็นที่ 5 หลักสากล 4Cs การจำแนกระดับต่างๆของเพชรให้ดูถึงความบริสุทธิ์ที่เพชรมี ในหลักสากล สามารถแบ่งออกเป็น 4Cs ใหญ่ๆ ด้วยกันคือ Clarity (ความบริสุทธิ์) , Carat (น้ำหนักเพชรเทียบเป็นกะรัต) , Color (สีของเพชร) และสุดท้าย Cut (รูปแบบและทรงการเจียระไน) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:42:38

ความคิดเห็นที่ 6 ระดับความบริสุทธิ์ (Clarity) การจำแนกความบริสุทธิ์ของเพชร สามารถจำแนกได้ตามหลักสากล ดังนี้ 1.Flawless (FL) - เป็นเพชรชั้นยอดน้ำงามที่สุด ไม่มีตำหนิหรือมลทินใดๆในทั้งเนื้อเพชรและผิวของเพชร เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X) 2.Internal Flawless (IF) - เป็นเพชรชั้นยอดที่ไม่มีตำหนิภายในเนื้อเพชรเลย เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X) 3.Very Very Small Inclusion (VVS1 / VVS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรให้เห็นได้น้อยมากๆ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาค่อนข้างนาน แล้วแต่ความชำนาญของผู้ตรวจสอบ จำแนกออกเป็นระดับ 1 และ 2 ตามลำดับ หากตำหนิน้อยมากจะใช้ VVS1 หากตำหนิที่สามารถเห็นได้ชัดมากขึ้นจะใช้ VVS2 4.Very Small Inclusion (VS1 / VS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรในระดับที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาสักพัก แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าเพชรความสะอาดระดับ VVS ตำหนิและมลทินสามารถเห็นได้ชัดเจนมากกว่าระดับ VVS และอาจมีสีต่างๆในเนื้อของมลทินที่สามารถมองเห็นได้ 5.Small Inclusion (SI1 / SI2) - เป็นระดับของมลทินที่สามารถมองเห็นได้ทันทีภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าและบางกรณีสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะมีขนาดที่เล็กอาจจะต้องสังเกต หรือใช้กระดาษขาวทาบและมองกับแสงไฟจึงเห็นชัดขึ้น ในระดับสายตาของผู้ยังไม่ชำนาญการ จะต้องใช้เวลานานในการสังเกต 6.Inclusion (I1 / I2 / I3) - เป็นระดับมลทินที่สามารถสังเกตด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีเยอะมาก จนทำให้สังเกตได้เยอะ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:43:15

ความคิดเห็นที่ 7 กะรัต (Carat) น้ำหนักซึ่งเป็นมาตรฐานในการวัดน้ำหนักของอัญมณี ซึ่งเทียบกับมาตราเมตริกได้ 0.2 กรัม ทั้งนี้ มาตรน้ำหนักกะรัตนี้ สามารถวัดระดับความบริสุทธิ์ของทองคำได้อีกด้วย ซึ่งทองคำ 24 กะรัตมีค่าความบริสุทธิ์ 100% ที่มาของคำว่ากะรัต มาจากเมล็ดของผล การัต ซึ่งเมล็ดของผลชนิดนี้จะมีน้ำหนักเท่ากันทุกเมล็ด ซึ่งในสมัยโบราณนิยมใช้กันมาก เพราะไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนในการวัด จึงนำเอาเมล็ดจากผลการัต มาเป็นหน่วยในการวัดน้ำหนักของอัญมณี จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:43:55

ความคิดเห็นที่ 8 สี (Color) การจำแนกเฉดสีของเพชร สามารถเรียงจาก D ไปจนถึง Z ซึ่งหากแทนด้วยอักษร D จะหมายถึง มีความขาวใส มากที่สุด ซึ่งบางครั้งคนไทยจะเรียกว่า "น้ำ" เพชรน้ำยิ่งสูงก็จะยิ่งขาวและไม่มีสีเหลืองเจือปน เพชรระดับไร้สี (Coloress) ได้แก่ เพชรน้ำ 100, 99, 98 หรือ เพชรสี D,E,F จะหายากและมีราคาสูงสุด ส่วนเฉดสีอื่นๆ จะไล่ไปเรื่อยๆเช่น สีนวลอ่อน อาจจะแทนด้วยอักษร G สีเหลืองแชมเปญ จะไล่ลงไปเป็น L เหลืองเข้ม จะใช้แทนด้วย P จนกระทั่งไปถึงตัวอักษร Z ที่จะเป็นสีเหลืองสด และถูกแยกออกเป็นเฉดสีเพชรแฟนซี การจำแนกสีของเพชร จะแยกเฉพาะโทนสี ขาว และเหลืองเท่านั้น หากแยกออกไปจากนี้จะเป็นรูปแบบเพชรแฟนซี ซึ่งจะมีสีสันสดใสและแปลกตาออกไป เหตุที่แยกโทนสีเฉพาะสีเหลืองเพราะว่า คาร์บอนในตัวของเพชร เมื่อได้รับความร้อนหรือสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ จะทำให้เพชรมีสีแตกต่างออกไป เช่นเพชรสีเหลืองมีธาตุในโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สีน้ำเงิน อาจมีไทเทเนียมและเหล็กเจือปน หรือสีแดงอาจจะเป็นโครเมียมเจือปน ส่วนเพชรชมพูนั้นเกิดจากโครงสร้างของตัวเพชรเอง ส่วนสีเขียวนั้นเป็นเพชรที่ได้รับรังสี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นเพชรแฟนซี ที่มีสีสันแตกต่างออกไป และราคาแพงมากกว่าสีขาว เนื่องจากหายาก แต่อย่างไรก็ตาม เพชรสีขาวใสสะอาด เป็นที่นิยมมากกว่าเพชรแฟนซี แต่ในปัจจุบันได้มีผู้ผลิต หลายราย นำเพชรสีขาวมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้เกิดเป็นเพชรสีแฟนซี ต่างๆ ขึ้น เช่น ทำการอบ การเผา หรือการฉายรังสี ทำให้เกิดสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีเหลือง และสีฟ้า เป็นต้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:44:53

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วเรื่องมันก็เริ่มที่นี่ครับ เมือง Morioh จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:46:22

ความคิดเห็นที่ 10 Star Platinum Jotaro Cujo กลับมาอีกครั้งในภาคนี้ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:48:08

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อมูลเพิ่มเติมของที่มาชื่อ Cujo (ตามคำแนะนำของคุณ Caragio) Cujo  น่าจะมาจากชื่อหนังสือและตัวละครหลักของ Stephen King “Cujo” (1981) Cujo (1981) ได้รับรางวัล British Fantasy Award เมื่อปี 1982 และได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 1983  โดยเป็นเรื่องของ “สุนัขเซนต์เบอร์นาร์ด” ที่ชื่อ Cujo ครับ ชมตัวอย่างเลยครับ http://www.youtube.com/watch?v=v0k21yeVMbM จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:49:04

ความคิดเห็นที่ 12 สุนัขชื่อ Cujo ในเรื่อง Mr.King ได้อ้างอิงมาจาก ชื่อของ  Willie Wolfe ที่มีฉายาว่า "Cujo" Willie Wolfe เป็นใคร? Willie Wolfe เป็นสมาชิกของ  The Symbionese Liberation Army (S.L.A.) William Willy Wolfe เติบโตในย่าน East Coast เป็นบุตรชายของวิสัญญีแพทย์  Willy เป็นคนเรียนดี ต่อมา เขาBerkeley in 1971 and forged friendships with fellow Marxists which led him to eventually join the terrorist group the Symbionese Liberation Army (SLA). คบกับ Patty S.L.A. = กลุ่มก่อการร้ายชาวอเมริกัน ที่ก่อการระหว่างปี 1973-1975 ซึ่งมองตัวเองว่าเป็นกองทัพผู้นำการปฏิวัติสังคม  ซึ่งทำตั้งแต่การปล้นธนาคาร ฆาตกรรม และก่อความรุนแรงต่างๆ S.L.A. เป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อได้ทำการลักพาตัว Patricia Campbell Hearst หรือ เป็นที่รู้จักในชื่อ Patricia Hearst Shaw ทายาทของตระกูล Hearst (เจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียง)  และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อสื่อได้รับเทปเสียงจากเธอว่า เธอได้เข้าร่วมกับกลุ่ม S.L.A.  แต่ในภายหลังทนายของเธออ้างว่า เธอถูกล้างสมอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:50:51

ความคิดเห็นที่ 13 ชื่อ Symbionese มาจากคำว่า 'symbiosis'  หมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่แตกต่างอย่างสมานฉันท์ภายในร่างเดียวกัน สัญลักษณ์ของกลุ่มคือ งูเห่า 7 หัว โดยแสดงถึงหลักการ 7 ประการ คือ Unity /  self-determination / collective work and responsibility / cooperative economics / purpose / creativity / faith โดยลอกแบบมาจาก นาค 7 เศียรของศรีลังกา จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:52:07

ความคิดเห็นที่ 14 Patricia Hearst Shaw Patricia Hearst Shaw ใช้ชื่อ “Tania” เมื่อเข้าร่วมกลุ่ม S.L.A. ชื่อ Tania มาจาก Haydée Tamara Bunke Bider (November 19, 1937 – August 31, 1967) เพื่อนร่วมรบของพ่อหนุ่มท้ายรถบรรทุกในประเทศไทย....ก็ เช กูวาร่า ไงล่ะครับ Patricia นอกจากเป็นทายาทเศรษฐี ยังเป็นนักแสดงอีกด้วย เช่น ร่วมแสดงใน Veronica Mars โดยแสดงเป็น Selma Hearst เรื่องของ Patty ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทั้งภาพยนตร์ / หนังสือ และเพลง เช่น เรื่อง Patty Hearst (1988)  กำกับโดย Paul Schrader  นำแสดงโดย Natasha Richardson เรื่อง Cecil B. Demented (2000) กำกับโดย John Waters นำแสดงโดย Melanie Griffith (ซึ่งเธอได้รางวัล Worst Actress จาก Golden Raspberry Awards) นิยายเรื่อง Trance โดย Christopher Sorrentino จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:53:44

ความคิดเห็นที่ 15 S.L.A. กับดนตรี เรื่องราวของ S.L.A. และ Patty ปรากฏในเพลงต่างๆ ได้แก่ Ramones  เพลง "Judy is a Punk" 1976 The Misfits เพลง "She" 1985 The Camper Van Beethoven เพลง "Tania" 1988 Patti Smith เพลง "Hey Joe" 1974 The Warren Zevon เพลง "Roland the Headless Thompson Gunner" 1978 Ice Cube เพลง "Cave Bitch" 1993 Foals states เพลง "You are the Symbionese Liberation Army, and we are Foals" 2007 Cave Bitch http://www.youtube.com/watch?v=xhiy15xY07A จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:55:21

ความคิดเห็นที่ 16 Crazy Diamond ร่างต้น Josuke Higashikata – เป็นลูกชายของ Joseph Jostar กับสาวญี่ปุ่น Tomoko Higashikata  ดังนั้น Josukeจึงมีศักดิ์เป็นน้าของ Jotaro จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 20:58:41

ความคิดเห็นที่ 17 แสตนด์ Crazy Diamond สแตนด์โจมตีระยะใกล้ (3 เมตร) ที่มีพลังทำลายและความเร็วเกือบเทียบเท่าสตาร์แพลตตินั่มของโจทาโร่ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพิเศษในการรักษาบาดแผล / ปรับเปลี่ยน-ซ่อมแซม (น่าจะเรียกว่า ทำให้กลับสู่สภาพเดิม)สสาร-สิ่งของต่างๆได้ด้วย (แต่ไม่สามารถรักษาแผลของตนเองและไม่สามารถคืนชีวิตให้กับสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วได้)  โจทาโร่เป็นผู้ตั้งชื่อสแตนด์ให้และกล่าวว่าเป็น 'สแตนด์ที่ทรงพลังและละเอียดอ่อนที่สุด' จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:02:07

ความคิดเห็นที่ 18 ที่มาของชื่อแสตนด์ เพลง - Shine On You Crazy Diamond http://www.youtube.com/watch?v=vyqgjCKm9nQ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:02:59

ความคิดเห็นที่ 19 ศิลปิน - วง Pink Floyd อัลบั้ม - Wish You were here (1975) อยู่ในอันดับที่ 209 ของ Rolling Stone's 500 Greatest Albums of All Time แนวเพลง – Psychedelic / Progressive Rock เขียนเนื้อร้องโดย Roger Waters โดยเป็นการระลึกถึงอดีตสมาชิกของวง Syd Barrett  มือกีตาร์และนักแต่งเพลง เรียบเรียงโดย Roger Waters, Richard Wright และ David Gilmour ถูกบันทึกเสียงครั้งแรกในปี 1975 และถูกบรรจุอยู่ในคอนเซปอัลบั้ม  Wish You Were Here เพลง Shine On You Crazy Diamond ( ต่อไปจะขออนุญาตย่อว่า SOYCD) ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี 1974 Roger ให้สัมภาษณ์ว่า เพลงนี้เริ่มต้นมาจากเสียงกีตาร์สามสี่โน๊ตของ David ซึ่งภายหลังถูกพัฒนาจนกลายเป็นเพลงยาวเหยียดถึง 9 Part ด้วยกัน Roger บอกอีกว่า มันถูกแต่งขึ้นในแบบเดียวกับที่พวกเค้าเคยแต่งเพลง Echoes โดยในช่วงทัวร์ของปี 1974-1975 เพลง SOYCD ถูกนำไปเล่นในครึ่งแรกของการแสดงสดของทางวง ร่วมกับเพลงอื่นๆ ที่ยังเป็นวัตถุดิบใหม่ๆ ในขณะนั้น คือเพลง Raving And Drooling, You've Gotta Be Crazy และ Have A Cigar ( ซึ่งสองเพลงแรกต่อมากลายมาเป็นเพลง Sheep และ Dogs ในอัลบั้ม Animals ตามลำดับ) โดยเพลง SOYCD จะถูกแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ คือ Part 1-5 และ Part 6-9 โดยในการแสดงสดช่วงปี 1974-1975 จะถูกคั่นด้วยเพลง Have A Cigar เพลงทุกเพลงในอัลบั้ม Wish You Were Here มีธีมหลักเกี่ยวกับ Syd Barrett โดย Roger เคยให้คำอธิบายเกี่ยวกับธีมนี้ด้วยคำสั้นๆ ง่ายๆ ว่า " Absence" หรือการขาดหายนั่นเอง และเพลง SOYCD ก็เช่นเดียวกัน มันถูกประพันธ์ขึ้นมาเป็นส่วนแยกได้ถึง 9 Part โดยทุกพาร์ตใช้คีย์เดียวกันคือเป็น Gm เรียกได้ว่า Gm แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของเพลงนี้ได้เลยครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:03:21

ความคิดเห็นที่ 20 Syd Barrett คือใคร? ความสำคัญของบาร์เร็ตต์ก็คือ เขาเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของวง แต่ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะบาร์เร็ตต์มีส่วนร่วมแค่สองอัลบั้มแรก (จากสิบกว่าอัลบั้มของ Pink Floyd) คือ The Piper at the Gates of Dawn (1967) และ A Saucerful of Secrets (1968) การประพันธ์เพลงของบาร์เร็ตต์เปรียบเหมือนกับเด็กไฮสกูลที่เลิกเรียนแล้วรีบวิ่งกลับบ้านมานั่งแต่งเพลง มันจึงเต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านแห่งวัยหนุ่มฉกรรจ์ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเศร้าเชิงโศกนาฏกรรมของเหล่าวัยรุ่นแฝงอยู่ อย่างเช่นในเพลงฮิตเพลงแรกๆ ของ Pink Floyd อย่าง See Emily Play แม้ See Emily Play จะมีเนื้อเพลงและท่วงทำนองที่เข้าถึงง่าย แต่นั่นก็ไม่ใช่แนวเพลงที่แท้จริงของบาร์เร็ตต์ เพลงส่วนใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ยุ่งเหยิง เนื้อเพลงบางเพลงแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ และสื่อสารกับคนหมู่มากไม่ได้ ด้านท่วงทำนองก็หลอกหลอนและกดดัน อันเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางแบบไซคีเดเลิก (Psychedelic) ที่ Pink Floyd ดำเนินมาข้ามทศวรรษ ...หลายสิ่งเหล่านี้ที่ออกมาจากบาร์เร็ตต์นั้น มีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือ ยาเสพติด บาร์เร็ตต์นั้นเป็นศิลปินประเภท “เล่นยาไป แต่งเพลงไป” และนั่นเองก็เป็นเหตุแห่งความล่มสลายในชีวิต เมื่อสติสัมปชัญญะของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว (ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งในคอนเสิร์ตที่บาร์เร็ตต์ออกไปยืนหน้าเวทีเฉยๆ โดยไม่แม้แต่ขยับปาก) ประกอบกับอีโก้ที่ล้นปรี่และอารมณ์อันเกรี้ยวกราด ทำให้สมาชิกที่เหลืออัปเปหิบาร์เร็ตต์ออกจากวงในที่สุด (บ้างก็ว่าบาร์เร็ตต์ขอลาออกเองเนื่องจากมีส่วนร่วมเพียงเพลงเดียวในอัลบั้มชุดที่สอง) หลังจากนั้น Pink Floyd ก็รับตัว เดวิด กิลมอร์ (David Gilmour) เข้ามาในวง โดยแนวเพลงของวงก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากสมัยของบาร์เร็ตต์ ด้วยอิทธิพลและอำนาจเผด็จการของ โรเจอร์ วอเตอร์ส (Roger Waters) โทนของเพลงออกไปในทางจริงจัง เคร่งเครียด และอาจพูดให้สุดโต่งที่สุดด็คือมัน “แปลกแยก” แล้วประวัติศาสตร์แห่งการปะทะกันด้วยเรื่องของ “อีโก้” ก็ซ้ำรอย เมื่อกิลมอร์และสมาชิกคนอื่นๆ ทนความบ้าอำนาจของวอเตอร์สไม่ไหว จนในที่สุดวอเตอร์สก็เดินออกจากวงไป และ Pink Floyd ยุคที่สามก็เริ่มต้นขึ้นโดยปราศจากร่างเงาของวอเตอร์ส วอเตอร์สและกิลมอร์ไม่มองหน้ากันเป็นสิบปี จนด้วยเพราะความชราภาพ, อีโก้ที่ลดถอย หรือจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ Pink Floyd เพิ่งจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนเวทีคอนเสิร์ต LIVE8 เมื่อปีที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็น “การหวนคืนครั้งประวัติศาสตร์” ทางด้านบาร์เร็ตต์ หลังออกจาก Pink Floyd เขาออกอัลบั้มเดี่ยวมา 2 ชุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย และจากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไป ตามฉายาที่คล้อยหลังว่า “อัจฉริยะในเงามืด” แต่ใช่ว่าบาร์เร็ตต์จะมีความสำคัญในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งวงในตำนานอย่าง Pink Floyd เท่านั้น บาร์เร็ตต์ยังมีฐานะเป็น “แรงบันดาลใจ” ของวงด้วย เพราะชีวิตอันดำมืดและบาดแผลทางจิตใจอันบาดลึกของเขานั่นเองที่ Pink Floyd ใช้สร้างสรรค์อัลบั้มอย่าง Dark Side of the Moon (1973) และ The Wall (1979) นอกจากนั้นแล้วบาร์เร็ตต์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังอย่าง เดวิด โบวี่ ที่นำเอาเพลง See Emily Play ไปคัพเวอร์เมื่อปี 1973 รวมไปถึง แกรม ค็อกซอน อดีตมือกีต้าร์วง Blur Syd Barrett  เสียชีวิตเมื่อวันศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2549 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:04:18

ความคิดเห็นที่ 21 Aqua Necklace ร่างต้น Anjuro "Angelo" Katagiri จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:05:46

ความคิดเห็นที่ 22 ที่มา Wiki บอกว่ามาจาก ศิลปิน - Michael Eugene Archer หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ  D'Angelo สองอัลบั้มแรกของเขา (Brown Sugar และ Voodoo) ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง และได้รับคำชื่นชมว่าเป็น "two of the most excellent and singular R&B albums of the past 15 years” อัลบั้ม Voodoo ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best R&B Album และ Best Male R&B Vocal Performance แนวเพลง - R&B / neo soul เพลงแนะนำ - Untitled (How Does It Feel) อัลบั้ม Voodoo (2000) http://www.youtube.com/watch?v=4D99Vamt4ZU จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:06:44

ความคิดเห็นที่ 23 ส่วนตัวผมเอง คิดว่า น่าจะได้ชื่อมาจาก Angelo Buono & Kenneth Bianchi (1977-1978) เพราะตัวละครเป็นฆาตกรเหมือนกัน  และฆ่าโดยการทำให้ “หายใจไม่ออก” เหมือนกัน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:07:55

ความคิดเห็นที่ 24 Angelo Buono และ Kenneth Bianchi คู่หูฆาตกรต่อเนื่องที่ได้รับฉายาว่า The Hillside Strangler วิธีการที่ทั้งสองใช้คือ หลอกล่อหญิงสาวที่ถูกใจ – ข่มขืน – ทรมาน - ฆ่าด้วยการรัดคอ – ทำลายหลักฐาน - นำศพไปฝัง แองเจโล ไม่เคยไว้ใจหรือชื่นชมเพศหญิง ในความคิดของแองเจโล ผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำบัดทางเพศ ระบายอารมณ์ในรูปแบบและเวลาที่เขาต้องการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงที่เขาระบายอารมณ์ทางเพศนั้น จึงมีทั้งลูกสาวตนเอง แฟนของลูกชาย (บางครั้งเขาก็ทำกับลูกชายด้วย) ฯลฯ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสมองเขาถึงเกลียดผู้หญิง แต่เขามีปัญหาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่หย่ากันเมื่ออายุสิบสี่ แม่ทำหน้าที่เลี้ยงดูต่อ เพื่อนบ้านมักนินทาว่าแม่เขาเป็นโสเภณี ถึงขนาดจ่ายค่าซ่อมบ้านด้วยนาผืนน้อยแก่ช่างที่ซ่อมบ้าน บางครั้งเธอก็พาแองเจโลไปกินข้าวกับผู้ชายคนใหม่ของเธอ และปล่อยให้เขารอในรถขณะที่เธอส่งเสียงร้องดังกระเส่าในบ้านคนแปลกหน้า มีคนเคยได้ยินเขาเรียกแม่ตัวเองด้วยศัพท์ทางเพศที่หยาบคายอย่างที่สุดมาแล้ว แองเจโลมีเมียสามคน ลูกชายเจ็ด ลูกสาวสาม เขาแยกกับภรรยาคนแรกตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง แล้วแต่งงานครั้งที่สอง มีลูกห้าคน หลังอยู่มานานเจ็ดปี เธอลาออกเนื่องจากทนระบบการเลี้ยงด้วยลำแข้งไม่ไหว แองโจโลแต่งงานครั้งที่สามกับหญิงม่ายลูกสอง มีลูกกับเธออีกสอง ไม่นานนักเธอก็หอบลูกหนีเพราะรู้ว่าเขาไปมีอะไรกับลูกสาวในปี 1975 ในระหว่างนั้นอง ประวัติอาชญากรรมของแองโจโลได้ถูกรวบรวมหนาปึกในแฟ้มตำรวจ รวมกับประวัติจำคุก แต่ทั้งหมดเป็นแค่คดีเล็กๆ น้อย อย่างมากแค่ไปขโมยรถ โทษสูงสุดที่เขาเคยได้รับคือภาคทัณฑ์โดยให้ไปติดคุกเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ตลอด 3 ปี ในปี 1975 แองเจโลเปิดร้านขายอุปกรณ์บนถนนโคโลราโด มีลูกค้าที่เป็นเด็กผู้หญิงมากมายมาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย ไม่ใช่พวกเธอมาเพราะสนใจฝีมือ แต่เธอหลงใหลในความโหด ไร้มารยาท ความโหดเหี้ยม และการบริการทางเพศที่สุดแสนไม่เหมือนใคร ด้วยเหตุนี้ร้านเขาจึงได้รับความรุ่งเรืองถึงสูงสุด เคนเนท เบียงซี หรือเคนนี่ หนุ่มหล่อวัยยี่สิบหก เป็นชายประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  เป็นคนหลงตัวเอง ภูมิใจในความฉลาดเทียมๆ และฝันเฟื่องถึงชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผู้หญิงและเงินเป็นฟ่อน แต่ในขณะที่ฝันเขากลับไม่มามองชีวิตจริงคือเป็นคนขี้เกียจ เคนนนี่ไม่เคยวิ่งเข้าหาโอกาสที่มาหาตัวสักนิด คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพระคุณของประชาชน อยากเป็นจิตแพทย์ แต่แทนที่จะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย กลับใช้วิธีถ่ายเอกสารปริญญาคนอื่นและใส่ชื่อของตนเองลงไป นอกจากนี้เคนนี่เป็นนักโกหกตัวยง เขาสามารถสร้างเรื่องในอากาศ แล้วนำมาเล่าเป็นตุเป็นตะด้วยใบหน้าจริงจังจนคนหลงเชื่อ เคนนี่ไม่ใช้หลานแท้ๆ ของแองเจโล เขาเป็นลูกโสเภณีที่ถูกทอดทิ้ง ป้าของแองเจโล รับเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่เป็นทารก ดังนั้นเคนนี่จึงนับเป็นญาติกับแองเจโล มีกฎของครอบครัวของแองเจโลว่า "เคนนี่ไม่เคยทำผิด" แม่บุญธรรมไม่เคยเห็นความผิดของลูกเลี้ยงแม้แต่ครั้งเดียว เขาขี้โกหกเพราะคนอื่นสอน แม้ถูกไล่ออกก็แก้ตัวว่าเพราะคนทั้งโรงเรียนไม่ดี เคนนี่เป็นเด็กมีปัญหาตั้งแต่เกิดจริงๆ อารมณ์ร้าย ขี้โกหก จนแม่เลี้ยงถูกแนะนำให้พาเคนนี่ไปหาจิตแพทย์ แต่เธอปฏิเสธด้วยความโกรธ ต่อมาภายหลังเธอถูกแนะนำไปหาจิตแพทย์เช่นกัน แต่มันก็สายไปแล้วสำหรับเคนนี่ เมื่อโตเป็นหนุ่ม เคนนี่จึงไม่สามารถแยกความจริงและความเท็จออกจากกัน แม้มีอายุยี่สิบหกแล้วแต่สมองเท่ากับเด็กตัวเล็กๆ หกขวบ ความเป็นหนุ่มหล่อนี้ทำให้เขาได้แต่งงานเมื่ออายุเพียงสิบแปด แต่ก็หย่าเกือบทันที เพราะเขาต้องการผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน แต่ขี้เกียจสันหลังยาว นิสัยอีกอย่างหนึ่งของเคนนี่คือการไม่รู้จักยอมรับผิด ถนัดแต่รับชอบ หากล้มเหลว เขาพร้อมโยนความผิดให้ทุกอย่างรอบกาย และเมื่อชีวิตในนิวยอร์กไม่เป็นดั่งฝัน เขาโทษว่านิวยอร์กเป็นเมืองชั่ว ไม่เหมาะกับคนดีอย่างเขา เคนนี่จึงอพยพไปอยู่กับแองเจโลที่ลอสแองเจลิสในปี 1976 นอกจากความสนใจในวิชาจิตวิทยา เคนนี่ยังฝันเป็นตำรวจ เขาคลั่งไคล้เครื่องแบบ แต่คนที่ขี้เกียจสันหลังยาวและความผิดปกติทางจิตคงไม่มีวันสอบผ่านการทดสอบของกรมตำรวจได้แน่ เขาจึงหาอาชีพที่ใกล้เคียงกับบุคคลในเครื่องแบบมากที่สุดนั้นคือเป็นยาม เคนนี่สมัครเป็น รปภ. เฝ้าห้างสรรพสินค้า แต่เป็นรปภ. ที่ชอบหยิบฉวยสินค้าที่เผลอ และใช้ประโยชน์จากอาชีพในการลงมือฆาตกรรม ซึ่งส่งผลให้ทั้งคู่ถกจับ แองเจโล บัวโน  ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีการลดหย่อน เคนนี่  ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน แต่มีสิทธิลดหย่อนได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:08:44

ความคิดเห็นที่ 25 ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง The Hillside Strangler (2004) คะแนนจาก IMDB : 5.3/10  -  807 votes Director: Chuck Parello Writers: Stephen Johnston / Chuck Parello Cast : Nicholas Turturro - Angelo Buono  C. Thomas Howell - Kenneth A. Bianchi Rampage: The Hillside Strangler Murders (2006) คะแนนจาก IMDB : 4.0/10   440 votes Director: Chris Fisher Writers: Chris Fisher  / Aaron Pope Cast : Tomas Arana - Angelo Buono / Clifton Collins Jr. - Kenneth Bianchi ละครที่เกี่ยวข้อง The Case of the Hillside Stranglers (1989) โดยสร้างบทละครจากหนังสือ Two of A Kind: The Hillside Stranglers โดย Darcy O'Brien จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:09:17

ความคิดเห็นที่ 26 แสตนด์ Aqua Necklace – แสตนด์ในรูปลักษณ์ของของเหลว (น้ำ) ไม่สามารถควบคุมน้ำได้อย่าง GEB (ตัวละครในภาค 3) แต่สามารถควบคุมของเหลวชนิดอื่นๆ เช่น นม / เลือด ได้  รวมทั้งยังแฝงร่างอยู่ในของเหลวต่างๆได้อีกด้วย รูปแบบการโผล่มาฆ่า คุณ Caragio ให้ข้อมูลว่า ได้อิทธิพลมาจากเรื่อง IT ของเฮีย Stephen King http://www.youtube.com/watch?v=DAJK5iVsios ที่มา วง AQUA – วงแดนซ์จากเดนมาร์ก ที่เราๆท่านๆรู้จักกันจากเพลงที่ร้องว่า........ I’m a Barbie Girl~in a Barbie World~!........ เมื่อปี 1997  (และ AF เอามาร้องในคอนเสิร์ต week dance ที่ผ่านมา) เดิมใช้ชื่อวงว่า JOYSPEED แต่เปลี่ยนเป็น AQUA ตามโปสเตอร์ AQUARIUM ในห้องแต่งตัว แม้ว่า Aqua จะแยกวงในปี 2001 และมีเพียง 2 อัลบั้ม  Aquarium (1997) / Aquarius (2000) แต่มียอดขายรวมถึง 33 ล้านแผ่น  ซึ่งทำให้เป็นวงดนตรีของเดนมาร์กที่ประสบความสำเร็จที่สุด แนวเพลง – Pop, Eurodance, Hi-NRG (หรือเรียกง่ายๆว่า Bubble Gum) ............... แก้ไข ข้อความ "น่าจะมาจาก" แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 52 09:02:45 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:10:23

ความคิดเห็นที่ 27 เพลงแนะนำ – Turn back time อัลบั้ม Aquarium (1998) ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Sliding Doors (1998) (ชอบมากครับเรื่องนี้) http://www.youtube.com/watch?v=H8EKyuoXvAk&feature=PlayList&p=77EF95FCCC012F8B&playnext=1&playnext_from=PL&index=30 เรื่องย่อ : เมื่อเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแปรเปลี่ยนชีวิตของหญิงสาว คนหนึ่งจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรื่องราวของ เฮเลน (Gwyneth Paltrow) ประชาสัมพันธ์สาวซึ่งถูก บริษัทไล่ออกจากงาน ขณะที่เธอเตรียมขึ้นรถไฟใต้ดิน กลับบ้าน ชะตาชีวิตของเธอก็ถูกแยกเป็นสองทาง ทางชีวิตแรก...เฮเลนขึ้นรถไฟใต้ดินไม่ทัน เธอจึงขึ้นแท็กซี่ กลับ และ พบว่า เจอรี่ แฟนหนุ่มของเธอกำลังอาบน้ำอยู่ลำพัง อีกหนึ่งทาง... เธอก้าวขึ้นรถไฟคันนั้นทัน และ ตรงดิ่งกลับมาพบว่า แฟนหนุ่มกำลังนอกใจเธออยู่ ทางชีวิตทั้งสองของเฮเลน จะลงเอยอย่างไร... Director - by Peter Howitt Writer – Peter Howitt Starred - Gwyneth Paltrow / John Hannah / John Lynch / Jeanne Tripplehorn / Virginia McKenna. คะแนน IMDB : 6.8/10  - 22,190 votes จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:11:28

ความคิดเห็นที่ 28 The Hand ร่างต้น - Okuyasu Nijimura  คู่หูคู่ลุยของโจสุเกะ เป็นน้องชายของ Keicho Nijimura (แสตนด์ Bad Company) ในตอนแรกนั้นถือเป็นศัตรูกัน แต่หลังการต่อสู้ โจสุเกะได้ช่วยเหลือโอคุยาสึเอาไว้ ทำให้ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วพี่น้องนิจิมูระไม่ได้มีเจตนาร้าย และกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด โอคุยาสึยอมรับว่าตัวเองไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก แต่ก็พร้อมจะสู้เพื่อปกป้องเพื่อพวกพ้องเสมอๆ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:12:44

ความคิดเห็นที่ 29 แสตนด์ The Hand – มือขวาของสแตนด์สามารถลบสสารใดๆก็ได้ออกไปจากโลกนี้ ตามที่ร่างต้นต้องการ  ซึ่งมักจะใช้ลบช่องว่างของอากาศออกเพื่อเคลื่อนย้ายตัวเองได้อย่างรวดเร็ว  ตัวโอคุยาสึเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสสารที่ถูกลบนั้นหายไปอยู่ที่ไหนกันแน่   ถ้าหากโอคุยาสุฉลาดกว่านี้อีกหน่อย The Hand จะเป็นหนึ่งในแสตนด์ที่อันตรายที่สุด (ความสามารถคล้าย Cream ของ Vanilla Ice) ที่มา Wiki บอกว่า มาจาก ศิลปิน – The Band (1967–1976, 1983–1999) วงสัญชาติแคนาดา ชื่อวงมาจาก การที่ได้เป็นวง (Band) เล่น backup ให้ Bob Dylan จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:13:58

ความคิดเห็นที่ 30 ทางวงได้รับการบรรจุใน Canadian Music Hall of Fame ในปี 1989 และ Rock and Roll Hall of Fame ในปี 1994  และเมื่อปี 2004 นิตยสาร Rolling Stone จัดให้วงอยู่ในลำดับที่ 50 ของ the 100 Greatest Artists of All Time และในปี 2008 ทางวงได้รับรางวัล Grammy สาขา Lifetime Achievement อีกด้วย แนวเพลง - Rock, Americana, Country เพลงแนะนำ - The Weight อัลบั้ม Big Pink (1968) เป็นเพลงที่ถูกเลือกประกอบภาพยนตร์หลายเรื่องมาก ได้แก่ Hope Floats / Igby Goes Down (cover version โดยวง Travis) / The Big Chill / Easy Rider / Girl Interrupted / Patch Adams / 1408 และ Starsky & Hutch http://www.youtube.com/watch?v=XY_5JOEmFK0 ในทีวีก็ไม่เว้นครับ ประกอบเรื่อง The Sopranos / My Name Is Earl / Sports Night เป็นเพลงโฆษณา Diet Coke / Cingular / AT&T Wireless และ  American telecommunications company จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:14:19

ความคิดเห็นที่ 31 แต่ผมว่าน่าจะมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Hand (1981)   ที่ Remake มาจาก The Beast with Five Fingers (1946) กำกับโดย William Oliver Stone หรือ Oliver Stone นั่นเอง......ใช่ครับ คนเดียวกับที่กำกับ Platoon (1986) Born on the Fourth of July (1989) JFK (1991) Natural Born Killers (1994) Nixon (1995) Alexander (2004) ได้รับรางวัลออสการ์มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกจากเรื่อง Midnight Express (1978) ในสาขารางวัลดัดแปลงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และอีก 2 ตัวในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Platoon และเรื่อง Born on the Fourth of July คะแนนจาก IMDB : 4.9/10  - 1,921 votes Director  – Oliver Stone Writers: Marc Brandell (novel)  Oliver Stone (screenplay) Genre - Drama | Horror | Thriller Cast :  Michael Caine - Jonathan Lansdale เรื่องย่อ : เนื้อหาก็ตรงตามชื่อเรื่องครับ ว่าด้วยเรื่องของมือปีศาจนั่นเอง ตัวเอกของเรื่องก็คือ โจนาธาน แลนส์เดล (Michael Caine) นักเขียนการ์ตูนที่ต้องมาประสบอุบัติเหตุสยองจนทำให้มือขวาขาดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา และ ใช่ครับ เขาพิการ และมันก็ส่งผลให้ชีวิตเขาเริ่มเข้าข่ายเลวร้าย งานเขียนก็ทำไม่ได้ ชีวิตเขาแทบไม่เหลืออะไร แต่ เรื่องที่น่าแปลกก็เริ่มต้น เพราะมือขวาที่ขาดกระเด็นไปนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย หายังไงก็ไม่เจอ ตอนแรกก็เหมือนจะไม่มีอะไรครับ แต่สักพักคนที่เขารู้จักก็เริ่มหายไปทีละคนๆ เขาเลยเริ่มตามล่าหาความจริง จนได้เงื่อนงำที่เหลือเชื่อว่า ไอ้มือข้างที่หายไปนั้น อาจจะมีชีวิตขึ้นมาก็ได้! จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:14:55

ความคิดเห็นที่ 32 Bad Company ร่างต้น - Keicho Nijimura  พี่ชายของโอคุยาสุ ที่เที่ยวเอา “ธนู” ไปยิงชาวบ้านไปทั่ว เพื่อสร้างผู้ใช้แสตนด์ที่สามารถฆ่าพ่อตัวเองได้  (พ่อพี่น้องคู่นี้ เป็นลูกสมุน DIO เมื่อ DIO ตาย ก้อนเนื้อของ DIO ที่ถูกฝังในร่างก็กลายพันธุ์รวมกับร่างของพ่อ ทำให้กลายเป็นตัวประหลาดอมตะ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:16:23

ความคิดเห็นที่ 33 แสตนด์ Bad Company – เป็นแสตนด์กองทัพทหารจิ๋ว ซึ่งประกอบด้วย หน่วยทหารราบ (สไตล์อเมริกัน) 60 นาย / หน่วยพลร่ม / M16 rifle / กับระเบิด / รถถัง 7 คัน / เฮลิคอปเคตอร์ติดมิสไซล์ 4 ลำ และหน่วย Navy Seal! จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:17:07

ความคิดเห็นที่ 34 ที่มา ศิลปิน – วง Bad Company  วงร็อค supergroup จากอังกฤษ เป็นวงที่ประกอบด้วยอดีตสมาชิกของวงเจ๋งๆ ได้แก่ Free (Paul Rodgers, Simon Kirke), Mott the Hoople (Mick Ralphs) และ King Crimson (Boz Burrell)  <ชื่อ King Crimson คุ้นๆไหมครับ ^_^) และผู้จัดการวง Bad Company คือ Peter Grant ที่เป็นผู้ทำให้ Led Zeppelin < Zeppelin ก็คุ้นๆเนอะ> ดังระเบิดมาแล้ว อัลบั้ม Bad Company (1974) เคยขึ้นถึงอันดับ 1 Billboard's Pop Albums chart (North America) แนวเพลง - Hard rock, blues-rock เพลงแนะนำ - Can't Get Enough อัลบั้ม Bad Company (1974)  ขึ้นถึงอันดับ 5 ใน Billboard's Pop Albums chart (North America) .ผมรู้จักวงนี้ก็จากเพลงนี้ละครับ http://www.youtube.com/watch?v=z4sKdiWlLR8 Bad Company ยังเป็นชื่อของภาพยนตร์ถึง 14 เรื่องอีกด้วย 1. Bad Company (1925 film), a film from 1925 directed by Edward H. Griffith and written by John C. Brownell 2. Bad Company (1931 film), directed by Tay Garnett and written by Jack Lait 3. Bad Company (1946 film), directed by Paul Barrelet and written by R. Wakeley 4. Bad Company (1972 film), written and directed by Robert Benton 5. Bad Company (1980 film), directed by Peter Wronski and written by Paul Eichgrun 6. Bad Company (1986 film), written and directed by Jos&eacute; Santiso 7. Bad Company (1992 film), directed by Julian Richards 8. Bad Company (1995 film), directed by Damian Harris and written by Ross Thomas 9. Bad Company (2002 film), directed by Joel Schumacher 10. Les Mauvaises fr&eacute;quentations (En. Bad Company), a film from 1963 written and directed by Jean Eustache 11. Mabudachi (En. Bad Company), a Japanese film from 2001 written and directed by Tomoyuki Furumaya 12. Mauvaises fr&eacute;quentations (En. Bad Company), a French film from 1999 directed by Jean-Pierre Am&eacute;ris 13. The Bay Boy (US: Bad Company), a film from 1984 written and directed by Daniel Petrie 14. The Nature of the Beast (Eur. Bad Company), a film from 1995 written and directed by Victor Salva จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:18:00

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ CARAGIO ให้ข้อมูลว่า รูปร่างของแสตนด์ได้อิทธิพลมาจาก เรื่องสั้นของ Stephen Edwin King หรือเจ้าพ่อหนังเขย่าขวัญ Stephen King ที่ชื่อว่า Battleground  (เป็นเรื่องสั้นที่พิมพ์ในปี 1975 และถูกนำมารวมเล่มใน Night Shift (1978)  และ Plot ลูกที่มีพ่อกลายพันธุ์ ก็มาจากเรื่องสั้นที่ชื่อ Gray Matter (1978) รวมในหนังสือ Night Shift เช่นกัน ที่เป็นเรื่องของเด็กคนนึงที่พ่อกินเบียร์หมดอายุเข้าไป เลยกลายเป็นตัวประหลาดไม่มีวันตาย http://www.youtube.com/watch?v=TWdROqVsW3E เรื่องสั้นใน Night Shift  ประกอบด้วย "Jerusalem's Lot", "Graveyard Shift", "Night Surf", "I Am the Doorway", "The Mangler", "The Boogeyman", "Gray Matter", "Battleground", "Trucks", "Sometimes They Come Back", "Strawberry Spring", "The Ledge", "The Lawnmower Man", "Quitters, Inc.", "I Know What You Need", "Children of the Corn", "The Last Rung on the Ladder", "The Man Who Loved Flowers", "One for the Road", "The Woman in the Room" (ชื่อคุ้นๆใช่ไหมครับ เพราะแต่ละเรื่องนี่ถูกนำมาดัดแปลงทั้งเป็นการ์ตูน และภาพยนตร์) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:19:30

ความคิดเห็นที่ 36 Echoes ร่างต้น - Koichi Hirose เพื่อนสนิทของโจสุเกะและโอคุยาสึ ตอนแรกนั้นเป็นคนขี้กลัว และไม่กล้าคบกับโจสุเกะ แต่พอเรียนรู้กันแล้วก็เป็นเพื่อนกันอย่างสนิทใจ ความสามารถสแตนด์ของโคอิจิตื่นขึ้นจากการถูกนิจิมูระ เคโจยิงด้วยธนู และยังสามารถพัฒนาได้ถึง 3 ร่างด้วยกัน เช่นเดียวกับตัวโคอิจิเองที่ในภายหลังก็ค่อยๆเป็นคนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:20:57

ความคิดเห็นที่ 37 แสตนด์ Echoes – มี 3 ร่าง (ACT) และเรียกใช้ได้ทีละร่างเท่านั้น ACT 1 – รูปร่างคล้ายเต่าหางยาว และมีล้อ  สามารถบินได้ / สามารถเขียน “เสียง” รูปแบบต่างๆ แล้วไปแปะบนวัตถุ ซึ่งเสียงนั้นจะดังขึ้นเรื่อยๆ  จนกว่า ACT 1จะลบเสียงนั้นออก ACT 2 – สามารถปั้น “เสียง” จากปลายหาง  และวัตถุจะได้รับผลที่เกิดตามแต่ชนิดของเสียงที่ปั้นขึ้น ACT 3 – มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ บินไม่ได้ ระยะจู่โจมสั้นลง แต่รวดเร็วขึ้น สามารถ “หยุด” (FREEZE) อะไรก็ได้ในระยะ 2 เมตร ซึ่งวัตถุนั้นจะ “หนัก” มากจนเคลื่อนไปไหนไม่ได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:23:19

ความคิดเห็นที่ 38 ที่มา Echoes เป็นเพลงของ Pink Floyd อัลบั้ม Meddle (1971) มีความยาวถึง 23.30 นาที แต่เดี๋ยวก่อน นี่ยังไม่ใช่เพลงที่ยาวที่สุดของ Pink Floyd เป็นเพียงอันดับ 3 เท่านั้น เพลงที่ยาวที่สุดคือ Shine on your Crazy Diamond 26.01 อันดับ 2 คือ Atom Heart Mother 23.44 http://www.youtube.com/watch?v=uLJ_QVfT_wM สำหรับ Echo มีอีกชื่อนึงที่น่าสนใจครับ นั่นคือ วง Echo & the bunnymen  จากเมือง Liverpool ซึ่งเป็นวงที่อยู่ในยุคเดียวกันกับ The Smiths, The Cure, , XTC, Housemartins (ซึ่งต่อมากลายเป็น The Beautiful South), Jesus and Mary Chain, New Order เป็นวงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับวงดนตรี Alter/Brit วงแรกๆของไทยอย่าง CRUB ด้วย แนวเพลง – British Rock, Post-punk, alternative rock เพลงแนะนำ – The Killing moon อัลบั้ม Ocean Rain (1984) เคยขึ้นอันดับ 9 ใน UK Singles Chart http://www.youtube.com/watch?v=t5QfFQA4Tgc จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:25:38

ความคิดเห็นที่ 39 Red Hot Chili Pepper ร่างต้น Akira Otoishi – นักกีตาร์ / หัวขโมย  ที่ใช้ความสามารถแสตนด์ขโมยทุกอย่าง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:26:47

ความคิดเห็นที่ 40 แสตนด์ Red Hot Chili Peppers – แสตนด์ไฟฟ้า สามารถเปลี่ยนวัตถุที่สัมผัสให้เป็นกระแสไฟได้ ยิ่งใกล้แหล่งไฟฟ้ามากยิ่งมีพลัง-ความเร็วมาก  ในทางกลับกันหากขาดไฟฟ้า ก็จะค่อยๆหมดพลัง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:27:57

ความคิดเห็นที่ 41 ที่มา ศิลปิน - Red Hot Chili Peppers คือ วง American funk rock จาก Los Angeles, California ฟอร์มวงในปี 1983  ออกอัลบั้มมาแล้วทั้งหมด 9 ชุด (ไม่รวมรวมฮิต / แสดงสด) เป็นวงที่สมาชิกมีเอกลักษณ์ จดจำง่ายมาก คือ นักร้องชอบถอดเสื้อ โชว์รอยสัก และมือเบสชอบแก้ผ้า อัลบั้ม Californication (1999) เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของวง โดยขายได้ 15 ล้านแผ่นทั่วโลก และเพลง Scar Tissue ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rock Song ในปี 2000 ส่วนอัลบั้ม Stadium Arcadium ได้รางวัล Grammy 2007 ถึง 3 รางวัล - Best Rock Album - Best Rock Song = Dani California - Best Rock Performance by a Duo or Group with Vocal แนวเพลง - Alternative rock, funk rock เพลงแนะนำ – ไม่รู้ว่าจะเลือกเพลงไหนดี เอาเป็นเพลงที่ผมชอบสุดๆละกันครับ Under the bridge อัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik (1991) http://www.youtube.com/watch?v=E1N_JDqHOZ8 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:28:43

ความคิดเห็นที่ 42 The Lock ร่างต้น - Tamami Kobayashi แสตนด์ – The Lock ความ สามารถนี้ต้องทำให้เป้าหมายรู้สึกผิด และจะเกิดกุญแจล็อคที่หัวใจ ยิ่งรู้สึกผิดมาก กุญแจก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น และหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ และนำสภาพจิตใจไปสู่การฆ่าตัวตาย ที่มา .หาไม่เจอครับ....ใน Wiki มันลิงค์ไปที่เพลง The Rock อัลบั้ม Quadrophenia (1973) ของ วง The Who  (ประมาณว่า พิมพ์ผิด L เป็น R) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:30:05

ความคิดเห็นที่ 43 ไหนๆก็มาแล้ว มารู้จัก The Who เลยละกัน The Who เป็นวงดนตรีร็อกจากอังกฤษ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ได้รับการยอมรับ และมีอิทธิพลต่อวงการดนตรี อย่ากมาก ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นบุกเบิกของกีต้าร์ พาวเวอร์ คอร์ดและร็อคโอเปร่า และการแสดงสดสุดมันส์ (พีท ทาวเซนด์ มักจะพังกีต้าร์ทิ้งหลังเล่นดนตรีจบ) สมาชิกสำคัญในวงประกอบด้วย พีท ทาวเซนด์ (กีตาร์), โรเจอร์ ดาลเทรย์ (ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา), จอห์น เอนทวิสเทิล (เบส) และ คีธ มูน (กลอง) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:32:02

ความคิดเห็นที่ 44 The Who มีแนวทางการเขียนเพลงที่เป็นเอกลักษณ์สุดๆ อย่างในอัลบั้ม Tommy (1969) เป็นอัลบั้มที่เล่าเรื่องราวของ Tommy เด็กชายที่หูหนวก ตาบอดและเป็นใบ้ ซึ่งกลายเป็นผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนา (Messianic Judaism) โดยผูกเป็นเรื่องทั้งอัลบั้ม  ซึ่งได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เพลงในปี 1975 คะแนนจาก IMDB : 6.2/10 -  7,493 votes Director – Ken Russel Writers- Ken Russel , Pete Townshend Cast : Oliver Reed / Ann-Margret / Roger Daltrey / Elton John / Eric Clapton / John Entwistle / Tina Turner / Keith Moon / Paul Nicholas / Jack Nicholson (ว้าว!) เรื่องย่อ : เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่แม่กับพ่อเลี้ยงช่วยกันฆ่าพ่อ และบังเอิญเด็กเห็นฉากฆาตกรรมตลอด แต่ก็เพราะเป็นเด็กจึงถูกข่มขู่และให้ท่องจำว่า ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ตอนที่เจอเรื่องโหดๆ แบบนี้ทำให้ Tommy วัย 6 ขวบกลายเป็นเด็กพิการ คือ หูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้ ตั้งแต่เป็นเด็กจนเป็นหนุ่ม Tommy ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้คนมาช่วยเหลือ ปลดปล่อยเขาออกจากโรคมืด และแม้จะมีความพยายามที่จะรักษาสารพัดจะนึกได้ก็ไม่สำเร็จ แม้เขาจะเสียประสาทสัมผัส แต่กลับมีความสามารถสูงส่งในการเล่นเกม Pin ball แข่งขันจนได้เป็นแชมป์ระดับโลก สุดท้ายแฟนๆ ของเขาที่มีอยู่ทั่วไปและรู้เบื้องหลังชีวิตของ Tommy ได้ร่วมกันทำพิธีมิซาให้ ทำให้เขาได้รับการปลดปล่อยจากความพิการทั้งมวล และแน่นอนสองฆาตรกรย่อมได้รับกรรมสนองไป วงได้เข้าสู่ Rock and Roll Hall of Fame ในปี 1990 / UK Music Hall of Fame ในปี 2005 / เป็นวงแรกที่ได้รับรางวัล Freddie Mercury Lifetime Achievement ในงาน Live Music Award ในปี 2006 / ได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award จาก the British Phonographic Industry  ในปี 1988 และจาก the Grammy Foundation ในปี 2001 ทาวเซนด์ และ ดาลเทรย์ ยังได้รับรางวัล Kennedy Center Honors ในงาน the 31st annual awards ceremony เมื่อปี 2008 ซึ่ง The Who เป็นวงร็อควงเดียวเท่านั้นที่ได้รางวัลนี้ หากยังนึกถึงวงนี้ไม่ออก เพลง Behind blue eyes ถูกนำมา cover หลายต่อหลายครั้งโดย Bryan Adams, Sheryl Crow, Testudo, Ian Stuart Donaldson, Jon English, Suzanne Vega, Silvertide and The Chieftains และ Limp Bizkit อัลบั้ม Results May Vary (2003) แนวเพลง - Rock, hard rock, pop, art rock เพลงแนะนำ – My Generation (1965) จากอัลบั้มชื่อเดียวกัน  (อยู่ในอันดับ 11 จาก 500 Greatest Song of All Time ของนิตยสาร Rolling Stone http://www.youtube.com/watch?v=YdRs1gKpeGg จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:33:44

ความคิดเห็นที่ 45 Surface ร่างต้น - Toshikazu Hazamada  เพื่อนร่วมโรงเรียนของ Josuke จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:35:18

ความคิดเห็นที่ 46 แสตนด์ Surface – เป็นแสตนด์ที่คนทั่วไปจับต้องได้  ลักษณะเหมือนตุ๊กตา  หากผู้ใดสัมผัสตุ๊กตา  ตุ๊กตาก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนคนนั้นชนิดเหมือนเป๊ะ  มีจุดสังเกตเดียวคือ รอยน็อตบนหน้าผาก  และผู้ที่สัมผัสนั้นจะถูกควบคุมเหมือนตุ๊กตาชักใย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:36:56

ความคิดเห็นที่ 47 ที่มาของแสตนด์ ศิลปิน - Surface แนวเพลง - Contemporary R&B, Pop, Post-disco เพลงแนะนำ – The First Time  อัลบั้ม 3 Deep (1990) ติดอันดับ 1 Billboard Hot 100 ในปี 1991 อยู่ 2 สัปดาห์ http://www.youtube.com/watch?v=-gBP63bev30&feature=related แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 52 21:37:37 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:37:21

ความคิดเห็นที่ 48 Surface จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:40:03

ความคิดเห็นที่ 49 Love Deluxe ร่างต้น - Yukako Yamagishi สาวผู้หลงรัก Koichi และใช้กำลังบังคับให้ Koichi รักตอบด้วยเส้นผมของเธอ (ฟังดูเหมือนหนังสยองขวัญชอบกล) และเป็นผู้ที่ทำให้ Koichi ตัดผม + Ehchoes พัฒนาเป็น ACT 2 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:41:19

ความคิดเห็นที่ 50 แสตนด์ - Love Deluxe  แสตนด์เส้นผม Yukako  สามารถบังคับ-ยืดผมของเธอให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้  / นำผมไปต่อกับศีรษะของเป้าหมายและบังคับจากระยะไกล จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:42:55

ความคิดเห็นที่ 51 ที่มาของชื่อแสตนด์ Love Deluxe  เป็นอัลบั้มที่ 4 ที่ออกมาเมื่อปี 1992 ของวงจากอังกฤษนามว่า SADE ชื่อวงมาจากนักร้องนำ คือ Helen Folasade Adu หรือ Sade (อ่านว่า ชา-เด) สาวลูกครึ่งชาวอังกฤษไนจีเรียน (ซี่งเป็นคนเดียวที่ปรากฏบนหน้าปกอัลบั้ม) Love Deluxe เคยขึ้นถึงอันดับ 2 U.S. Billboard Top R&B/Hip-Hop Albums ยอดขายเฉพาะในอเมริกาสูงถึง 4 ล้านชุด แนวเพลง - Soul, jazz, R&B, quiet storm, soft rock, funk, easy listening, adult contemporary เพลงแนะนำ – No Ordinary Love อัลบั้ม Love Deluxe (1992) เป็นซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้ม และได้รางวัล Grammy Best R&B Performance by a Duo or Group with Vocals ในปี 1994 และปรากฏในภาพยนตร์ Indecent Proposal (1993 – Robert Redford VS Demi Moore สมัยยังสาวสุดๆ) วง Deftone เคยนำมา cover ในปี 2005 อยู่ในอัลบั้ม B-Sides & Rarities และ Richard Marx ก็นำมา cover ในอัลบั้ม Sundown (2008) http://www.youtube.com/watch?v=Qrro8vHSgG4 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:44:54

ความคิดเห็นที่ 52 Pearl Jam ร่างต้น - Tonio Trussardi  พ่อครัวหนุ่มที่มุ่งมั่นในการทำอาหารเพื่อคนกิน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:46:10

ความคิดเห็นที่ 53 ที่มา Nicola Trussardi (1942-1999)  แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียน (อ่านว่า ทรอส-ซา-ติ) เริ่มต้นการทำธุรกิจจากโรงงานผลิตถุงมือของครอบครัว พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆเพิ่มเติมเรื่อยมา จนในปี 1973 ได้ออกแบบแบรนด์โลโก้ที่เป็นรูปสุนัข Greyhound และหันมาผลิตเสื้อผ้า และเปลี่ยนเป็น Fashion House ในที่สุด บริษัทแฟชั่นของ Trussardi มีชื่อเสียงอย่างมาก และได้ถูกว่าจ้างให้ออกแบบสินค้าหลายประเภท เช่น รถยนตร์อัลฟ่า โรมีโอ / โทรศัพท์ / เฮลิคอปเตอร์ / ออกแบบภายในให้กับสายการบินของอิตาลี / ชุดนักกีฬาของทีมชาติอิตาลีเพื่อเข้าแข่งกีฬาโอลิมปิค ที่กรุงโซล ในปี 1998 Trussardi เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนตร์ในปี 1999 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:47:51

ความคิดเห็นที่ 54 แสตนด์ Pearl Jam -  แสตนด์รูปร่างคล้ายหัวหอมหลายตัว มีพลังในการทำให้อาหารสามารถรักษาโรคที่ลูกค้าเป็นอยู่ให้หายเป็นปลิดทิ้ง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:48:38

ความคิดเห็นที่ 55 ที่มา Pearl Jam คือ วงอเมริกันร็อคจากซีแอทเทิล ...ใช่แล้วครับ ซีแอทเทิล....ที่มาของ Seattle Sound หรือ GRUNGE นั่นเอง!!! GRUNGE ผมไม่อธิบายดีกว่าว่ามันเป็นยังไง  สิ่งที่อธิบายได้ดีที่สุดคือ เสียงของมันเอง วงที่เป็น GRUNGE และมาจาก Seattle ได้แก่ NIRVANA / Pearl Jam / Alice in Chains / Mad Season / Melvins / Mudhoney / Sound Garden เป็นต้น  ที่เมืองไทยเรียกเพลงประเภทนี้ว่า Alternative และกระแสอัลเตอร์ ก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วคล้ายกับกระแส เกาหลี fever ในช่วงนี้ทีเดียว โดยมี NIRVANA เป็นหัวหอก เพลงประจำชาติอัลเตอร์คือ Smell Like Teen Spirit (หรือ NOBODY ในยุคนี้นั่นเอง) สมาชิกในวง Pearl Jam ประกอบด้วย เอดดี เวดเดอร์ (ร้องนำ กีตาร์), เจฟฟ์ อเมนต์ (กีตาร์เบส), สโตน กอสซาร์ด (กีตาร์ริทึ่ม), และไมค์ แม็กครีดี (กีตาร์ลีด) ส่วนมือกลองล่าสุดคือ แม็ตต์ คาเมรอน อดีตสมาชิกวงซาวด์การ์เดนที่มาร่วมวงตั้งแต่ปี 1998 อัลมบั้มแรกของวง “TEN (1991)” ถือเป็นอัลบั้มที่เปิดตัววง และ sound ของวงในแนวเพลงกระแสหลักได้อย่างสวยงาม และเป็นหนึ่งในวงที่จุด GRUNGE ให้ปะทุขึ้นในโลก   แต่ทางวงได้แสดงท่าทีต่อต้านอุตสาหกรรมดนตรีในขณะนั้น ด้วยการไม่ทำ Music Video / ต่อต้าน Ticketmaster  อย่างไรก็ตาม ทางวงทำยอดขายได้ถึง 30 ล้านชุดเฉพาะในอเมริกา อัลบั้ม Ten ขึ้นอันดับสูงสุดคือ อันดับ 2 ใน Billboard Top 200 เพลงแนะนำ – Jeremy อัลบั้ม Ten (1991)  เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจากข่าวนักเรียนฆ่าตัวตายต่อหน้าเพื่อนร่วมห้อง เพลงนี้ได้รับรางวัลจาก 1993 MTV VIDEO MUSIC AWARDS ทั้งหมด 4 รางวัล ได้แก่ Video of the Year / Best Group Video / Best Metal-Hard Rock Video / Best Direction (ปีเดียวกัน Nirvana ได้รางวัล Best Alternative Video จากเพลง In Bloom) http://www.youtube.com/watch?v=WezGcUA9WjM จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:49:29

ความคิดเห็นที่ 56 .....ขอพักก่อนนะครับ เดี๋ยวมาต่อตอนจบ.... จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 21:53:14

ความคิดเห็นที่ 57 เอ้า งั้นขอปาดตอนพักละกันครับ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้วโดยเฉพาะ Rock และก็ชอบ JOJO ด้วย ดูแล้วจขกท ก็น่าจะชอบฟังเพลงเหมือนกัน ผมดีใจทุกครั้งที่เห็นชื่อแสตนด์เป็นวงร็อคหรือเพลงของวงนั้นๆ เช่นพวก Queen , Pink Floyd จากคุณ : scozember เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:05:36

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่รู้จะกล่าวคำอันใดได้ นอกจากคำว่า " สุดยอดจริงๆ " จากคุณ : Story of Winter เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:07:04

ความคิดเห็นที่ 59 เมพขริงๆ เพิ่งอ่านภาค 4 ไป ชอบมากครับ แต่หาซื้อภาคแรกๆ ไม่ได้เลย ไปถามที่ไหนก้บอกว่าเลิกพิมพ์แล้ว เสียดายจริงๆ ที่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ช้าไป จากคุณ : คำขอสุดท้ายของนายดนัย เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:08:08

ความคิดเห็นที่ 60 จะมาบอกว่าชอบภาคสี่ที่สุดแล้วก็ชอบทั้งโจสุเกะและCrazy Diamond มากสุดด้วยครับ จากคุณ : Zellyka เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:25:09

ความคิดเห็นที่ 61 Pearl Jam นี่ฮาสุดๆเลย กินจนพุงแตก จากคุณ : zhangyongxiang เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:28:51

ความคิดเห็นที่ 62   ชอบแสตนด์ของพ่อครัวอ่ะ ทำให้เราอยากกินชีสก่ะมะเขือเทศ จากคุณ : I Love T_p เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 22:30:59

ความคิดเห็นที่ 63 ข้าน้อยขอคาระวะ สแตนด์จากภาค 4 Diamond Is Unbreakable (ชื่อของสแตนด์มาจากชื่อของวงดนตรี/ชื่อเพลง) ภาคนี้มี Stand ไม่มากไม่น้อย 25 ร่างต้น  28 ความสามารถ  23 Stand 1 ฝูง (500 ตัว) กับอีก  1 กองร้อย กับ 1 วิญญาณ Higashikata Josuke (ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ) : Crazy Diamond Katagiri Anjuuro "Angelo" (คาตากิริ แองเจลโล่ ฆาตกรอำมหิต) : Aqua Necklace Nijimura Okuyasu (นิจิมุระ โอคุยาสึ) : The Hand Nijimura Keicho (นิจิมุระ เคโจ) : Bad Company (กองร้อยขนาดจิ๋ว) Hirosue Koichi (ฮิโรสุเอะ โคอิจิ) : Echoes (ACT_1 , ACT_2 ,ACT_3) Otoshi Akira (โอโตชิ อากิระ) : Red Hot Chili Pepper Kobayashi Tamami (โคบายาชิ ทาตามิ) : The Lock Hazamada Toshikazu (ฮาซามาดะ โทชิคาสึ) : Surface Yamagishi Yukago (ยามางิชิ ยูคาโกะ) : Love Deluxe Tonio Trussardi (พ่อครัวอาหารฝรั่งเศส) : Pearl Jam Tsuji Aya (ทสึจิ อายะ) : Cinderella Shizuka Joestar (ชิซุกะ โจสตาร์ ทารกล่องหนลูกบุญธรรมของโจเซฟ) : Achtung Baby Kishibe Rohan (คิชิเบะ โรฮัง) : Heaven's Door Bug Eys and Other Rat (หนู มี2ตัว ความสามารถเดียวกัน) : Ratt Yanguu Shigekyo "Fatty" (ยังงู ชิเงเคียว หรือ ชิเงจี้) : Harvest (มี 500 ตัว) Kira Yoshikage (คิระ โยชิคาเงะ) : Killer Queen มี 3 ความสามารถ Shoju Yoshikage (โชจู โยชิคาเงะ) : Atom Heart Fater Ooyanaki Ken (โอยานากิ เค็น) : Boy II Men Mikitaka (มิกิทากะ มนุษย์ต่างดาว) : Earth Wind and Fire Fungami Yuuya (ฟุงงามิ ยูยะ) : Highway Star Erba Gatta (เออร์บา กัตตะ -แมว-) : Stray Cat Kanedaichi Toyohiro (คาเนไดจิ โทโยฮิโร่ -ชื่อจริงไม่เคยถูกเปิดเผย-) : Superfly (หอเหล็กจ่ายกระแสไฟฟ้า) Miyamoto Terunosuke (มิยาโมโต้ เทรุโนะสุเกะ) : Enigma บุรุษลึกลับ Kinoto Masazo (คิโนโตะ มาซาโซะ) : Cheap Trick  พรายกระซิบ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 52 23:39:09 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 52 23:30:41 จากคุณ : kdd เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 23:19:36

ความคิดเห็นที่ 64 รอ Queen,Cheap Trick กับ Highwaystar ครับ วงโปรดเพลงโปรด กับCinderella - dont know what you got Ratt Round&Round  ด้วย แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 03:21:54 จากคุณ : Aya+EVE เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 03:19:11

ความคิดเห็นที่ 65 เคยอ่านเจอจากที่หนึ่งนะครับ   ว่าฉายาของ คาตางิริ อันจูโร่  ไม่ใช่แองเจโล่    แต่เป็น Al Jereau นักร้อง   (ไม่ยืนยันนะ) ความเห็นส่วนตัว  Aqua Necklace ไม่น่าจะมาจากวง Aqua นะครับ   เพราะแสตนด์ตัวนี้น่าจะมีก่อนวงนี้นะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 03:20:42

ความคิดเห็นที่ 66 โหวตครับ ~ ! ดันขึ้นไปเลย ความรู้ดนตรีแน่นดีครับ ~ (ผมรอโจรูโน่ โจบาน่าของผมอยู่นะ ~ 555) แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 05:39:11 จากคุณ : มณีเล้ง เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 05:32:03

ความคิดเห็นที่ 67 ตรงค.17 โจทาโร่ บอกว่าแข็งแกร่งและอ่อนโยนครับ ไม่ใช่ละเอียดอ่อนนะ ส่วนเรื่องละเอียดซับซ้อน(แม่นยำ)ต้องสตาร์แพลตตินั่มอยู่แล้ว จากคุณ : joseptjostar เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 07:45:00

ความคิดเห็นที่ 68 มาต่อกันที่ตอนจบ นะครับ Achtung Baby ร่างต้น - Shizuka Joestar เป็นทารกเพศหญิง ที่คุณปู่ Joseph พบโดยบังเอิญ และรับเป็นบุตรบุญธรรม  ซึ่งทำให้บ้านแตกอีกครั้ง เพราะคุณย่าดันไปคิดว่าคุณปู่ไปไข่ทิ้งไว้อีกแล้ว (ฮา) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:37:49

ความคิดเห็นที่ 69 แสตนด์ Achtung Baby – ความสามารถคือ ทำให้ตนเอง และสิ่งแวดล้อมทุกชนิดที่สัมผัส / อยู่รอบๆ ล่องหนได้ (ACHTUNG เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า ระวัง) ที่มา Achtung Baby คือชื่ออัลบั้มชุดที่ 7 (1991) ของยอดวงจาก Irish “U2” เป็นอัลบั้มที่ผสมแนวดนตรีหลากหลายแนวเข้าด้วยกัน ทั้ง Alternative / Electro Dance / Industrial นับเป็นอัลบั้มที่เปลี่ยนแนวทางของวงมากที่สุดนับจากชุด The unforgettable fire อัลบั้มชุดที่ 4 (1984) และเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดอีก 1 ชุดของทางวง  และ Rolling Stone จัดให้อยู่ในอันดับที่ 62 ของ The 500 Greatest Albums of All Time ในปี 2003 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:38:52

ความคิดเห็นที่ 70 U2 ได้รับรางวัล Grammy ถึง 22 รางวัล (มากที่สุด!!!!)  (เท่ากับ Stevie Wonder) ปี 1988 Album of the Year – Joshua Tree Best Rock Duo or Group with Vocal – Joshua Tree ปี 1989 Best Rock Duo or Group with Vocal - Desire Best Performance Music Video - Where the Streets Have No Name ปี 1993 Best Rock Duo or Group with Vocal – Achtung Baby ปี 1994 Best Alternative Music Album - Zoorapa ปี 1995 Best Long Form Music Video - Zoo TV: Live from Sydney ปี 2001 Best Rock Duo or Group with Vocal – Beautiful Day Song of the Year – Beautiful Day – Beautiful Day Record of the Year – Beautiful Day – Beautiful Day ปี 2002 Best Rock Album  - All That You Can't Leave Behind Best Rock Duo or Group with Vocal – Elevation Best Pop Duo or Group with - Stuck In A Moment You Can't Get Record of the Year – Walk on ปี 2005 Best Short Form Music Video - Vertigo Best Rock Song - Vertigo Best Rock Duo or Group with Vocal – Vertigo ปี 2006 Album of the Year - How to Dismantle an Atomic Bomb Song of the Year - Sometimes You Can't Make It on Your Own Best Rock Duo or Group with Vocal - Sometimes You Can't Make It on Your Own Best Rock Song - City of Blinding Lights Best Rock Album - How to Dismantle an Atomic Bomb นอกจากด้านดนตรีแล้ว Bono (Paul David Hewson) ยังมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในฐานะนักเคลื่อนไหวทางสังคมคนสำคัญอีกด้วย ทั้งในด้านการเมือง สิทธิมนุษยชน สันติภาพ  ความยากจน เพลงแนะนำ – One อัลบั้ม Achtung Baby (1991) เพลงนี้มีนัยถึง การรวมประเทศของเยอรมัน / การพยายามรักษาวงเอาไว้ จากความแตกแยกภายในที่เกิดขึ้นจาก EGO ของแต่ละคน http://www.youtube.com/watch?v=wq4Jh39KJ8U จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:39:55

ความคิดเห็นที่ 71 Heaven's Door ร่างต้น - Rohan Kishibe นักเขียนการ์ตูนอัจฉริยะ ผู้สร้างผลงานเจ้าหนู Pinkdark อันโด่งดัง Rohan ยังเป็นชื่อของอาณาจักรที่ปรากฏในหนังสือนิยายของ J.R.R.Tolkien “Era of Middle Earth” หรือ Lord of The Ring นั่นเองงงง Pink Dark น่าจะมาจาก Pink Floyd + Dark side of the moon (ชื่ออัลบั้ม) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:42:57

ความคิดเห็นที่ 72 แสตนด์ - Heaven's Door  แสตนด์ลายเส้น  ที่เป็นรูปตัวเอกของการ์ตูนที่กำลังเขียนอยู่  ผู้ที่เห็นลายเส้นนั้นจะถูกทำให้กลายเป็นหนังสือ ซึ่ง Rohan สามารถอ่านประวัติ / ลบ-เขียน ข้อความเพิ่มเติม ซึ่งจะกลายเป็นความทรงจำของคนๆนั้น / ฉีกหน้ากระดาษออกได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:43:26

ความคิดเห็นที่ 73 ที่มา Heaven's Door  มาจากชื่อเพลง Knockin' on Heaven's Door ของ Bob Dylan ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ปี 1973 เรื่อง Pat Garrett & Billy the Kid (อ่านประวัติ Billy the Kid ได้จาก http://www.cowboythai.com/forum/index.php?topic=1331.0) เวอร์ชั่นดั้งเดิมเป็นแนว acoustic folk song แต่เพลงนี้ถูกนำไป Cover มากมายหลายหลาก เวอร์ชั่นที่ได้รับความนิยมมมากคือเวอร์ชั่น British blues โดย Eric Clapton และ American hard-rock โดย Guns N' Roses เพลงนี้ Bob ออกเล่นร่วมกับ the Grateful Dead (ชื่อคุ้นๆใช่ไหมครับ) ในช่วงที่ออกแสดงร่วมกันในปี 1987 ศิลปินคนอื่นๆที่เอาเพลงไปนี้ไปเล่น ได้แก่ Herbert Grigor,The Animals, Wyclef Jean, Grateful Dead, Bon Jovi, Avril Lavigne, Mad Zize, Aerosmith, The Sisters of Mercy, Bryan Ferry, Meir Ariel, The Alarm, Dan Kleederman Television, Mark Knopfler, Bruce Springsteen, Heaven, The Lost Dogs, Grzegorz Halama, Luciano, Jah Cza, Randy Crawford, Babyface, Beau Jocques, Chaozz, Roger McGuinn,Cold Chisel, Zé Ramalho, Sandy Denny, Antony and the Johnsons, Warren Zevon, Roger Waters, Bob Marley, Angela Aki and Tomoya Nagase, Ladysmith Black Mambazo, Dolly Parton, etc เนื้อหาของเพลงเป็นเรื่องของ นายอำเภอที่กำลังจะตาย และรอบข้างเริ่มมืดลงเหมือนตัวเองกำลังจะได้ไปเคาะประตูสวรรค์ นอกจากถูกนำไป cover แล้ว ยังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ / ละครอีกหลายเรื่อง ได้แก่ Pat Garrett & Billy the Kid  - 1973 by Bob Dylan Renaldo & Clara – 1978 by Bob Dylan & Roger McGuinn Lethal Weapon 2 – 1989 by  Randy Crawford, Eric Clapton & David Sanborn Days of Thunder – 1990 by Guns N’Roses Rush – 1991 by Bob Dylan Lawn Dogs – 1997 by Bob Dylan The Dybbuk of the Holy Apple Field – 1997 by Roger Waters Knockin'on Heaven's Door – 1997 by Selig Windstruck – 2007 by Youme Be Cool - 2005 by Bob Dylan Six Feet Under (episode 60, "All Alone") - 2005 by Bob Dylan ER (episode 260, "Darfur") – 2006 by Scoob Serious Salvador (Puig Antich) - 2006 by Bob Dylan จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:44:40

ความคิดเห็นที่ 74 Bob Dylan คือใคร Bob Dylan นักร้อง นักแต่งเพลงเพื่อชีวิตชาวอเมริกัน เกิด 24 พ.ค.1941 ที่เมืองดูลูท รัฐมินเนโซตา ชื่อจริง รอเบิร์ต ซิมเมอร์แมน (Robert Zimmerman) ส่วนชื่อ บ็อบ ดีแลน เปลี่ยนตามนามของ ธอมัส ดีแลน (Thomas Dylan) กวีเอกชาวเวลส์ ดีแลนได้ชื่อว่าเป็นผู้ฟื้นฟูดนตรีพื้นบ้าน เขียนเนื้อเพลงได้ลุ่มลึก โดยอาศัยดนตรีจังหวะร็อกแอนด์โรลผสมผสานกับแนวคันทรี เป็นเอกลักษณ์ของดนตรีอเมริกันในทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคแห่งการประท้วงของคนหนุ่มสาว ที่เรารู้จักคำบุปผาชนกับฮิปปี้นั่นเอง ดีแลนเริ่มเส้นทางดนตรีด้วยการเรียนหีบเพลงปากกับเปียโนเมื่ออายุ 10 ขวบ และหัดเล่นกีตาร์เอง ขณะเรียนชั้นมัธยมในปลายทศวรรษ 1950 เขาชอบเพลงของ แฮงค์ วิลเลียมส์ และลิตเทิล ริชาร์ด พร้อมฝึกดนตรีร็อกแอนด์โรล ต่อมาเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมินเนโชตา ก็เลิกเล่นกีตาร์ไฟฟ้า มาสนใจอะคูสติกกีตาร์ ร้องเพลงแนวคันทรี ตระเวนไปตามที่ต่างๆ ทำให้ต้องลามหาวิทยาลัย มาใช้ชีวิตกับการเดินทางไปตามสถานบันเทิงหลายแห่งในหลายรัฐ ค.ศ.1960 ดีแลนย้ายไปนิวยอร์ก ได้พบ วูดดี กัทรี นักดนตรีคันทรีที่เขาถือเป็นแบบอย่าง กับศิลปินหญิง โจแอน เบซ ผู้ช่วยให้เขาก้าวหน้าทางดนตรี ดีแลนยึดอาชีพร้องเพลงตามคลับแนวคันทรีในย่านกรีนิชวิลเลจ ร้องทั้งผลงานแต่งเอง และบัลลาดของกันทรีที่แต่งขึ้นในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ค.ศ.1929-1933 เพลงที่ดีแลนเขียนขึ้นช่วง ค.ศ.1962-1964 และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Blowin’ in the Wind แจ้งเกิดในผลงานชุดที่ 2 ของเขาคือ The Freewheelin” Bob Dylan(1963) และเพลง The Times They Are A-Changin(1964) ในอัลบั้มชื่อเดียวกัน ได้กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของขบวนการเรียกร้องสิทธิของพลเมือง ปี 1965 ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเขาทิ้งแนวเพลงประท้วง เลิกใช้เครื่องดนตรีอะคูสติก มาเป็นงานอีกแนวหนึ่ง ที่มีเนื้อหาให้ความคิดใคร่ครวญ และแสดงความสะเทือนใจอย่างมีพลัง ได้รับคะแนนเต็มให้เป็นศิลปินร็อกระดับแนวหน้า ค.ศ.1966 เมื่อสุขภาพดีขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์ งานเพลงของเขาเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มามีท่วงทำนองปลีกวิเวก เนื้อหาแนวคันทรีของท้องทุ่งภาคตะวันออก หาฟังได้ในชุด Nashville Skyline(1969) ในช่วงปี 1970-1980 ดีแลนมีผลงานเพลงที่ได้รับความสนใจจากมากมาย ในชุด Blood on the Tracks (1975) และ Infidels (1983) ผลงานหลายชุดมียอดจำหน่ายสูง ไม่ว่าจะแนวร็อก พื้นบ้าน หรือเพลงร้องในโบสถ์ ค.ศ.1998 ดีแลนคว้าแกรมมี่ 3 รางวัล รวมทั้งอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี คือ Time Out Of Mind นับถึงปัจจุบัน บ็อบ ดีแลนมีผลงานมาแล้ว 46 ชุด ชุดล่าสุด คือ Together Through Life (2009) และในสัปดาห์แรกที่ออกจำหน่ายก็ขึ้นถึงอันดับ 1 ใน Billboard 200 และ UK Chart ด้วย เท่ากับว่าบ็อบ เป็นศิลปินที่อายุมากที่สุดที่มีอัลบั้มอันดับ 1 ใน Billboard บ็อบ ถูกจัดอันดับโดย TIME ให้เป็น 1 ใน Time 100: The Most Important People of the Century  และถูกขนานนามว่า  "master poet, caustic social critic and intrepid, guiding spirit of the counterculture generation”  และในปี 2004 เขาอยู่ในอันดับ 2 จากการจัดอันดับของ Rolling Stone "Greatest Artists of All Time" ขอเลือกเอาเวอร์ชั่น Guns N’Roses มาให้ฟังครับ (ด้วยความชอบส่วนตัว 55) ถูกบรรจุในชุด Use your Illusion II (1991) http://www.youtube.com/watch?v=6JgIIGgxymU จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:45:03

ความคิดเห็นที่ 75 Ratt ร่างต้น – หนู  (มี 2 ตัว) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:48:56

ความคิดเห็นที่ 76 แสตนด์ Ratt – รูปร่างเหมือนเครื่องจักร สามารถยิงเข็มออกมา เป้าหมายที่โดนจะถูกหลอมร่าง แต่ยังไม่ตายทันที ยกเว้นอวัยวะสำคัญจะถูกทำลาย ที่มา Ratt – วง Heavy Metal จาก San Diego สหรัฐอเมริกา ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980 VH1 จัดให้วงนี้อยู่ในอันดับ 79 ของ "100 Greatest Artists of Hard Rock" Ratt เริ่มต้นได้อิทธิพลของ Hard Rock จากวงอย่าง Aerosmith (เอ๊ะ...!?) / KISS (เอ๋.....!?) ต่อมา ได้อิทธิพลจาก Heavy Metal ของ Van Halen และ Judas Priest แนวเพลงของวงถูกเรียกรวมกับวงอื่นๆในยุคนั้นว่า Glam Metal หรือ Hair Band  ที่สมาชิกวงไว้ผมยาว-ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง-ขึ้นหน้าหนึ่งสยามดารา เอ้ย หนังสือ tabloid – แต่งหน้าขึ้นเวที – มีเครื่องประดับเยอะแยะ เช่น Kiss / Alice Cooper / T.Rex (เจ้าของเพลง กูตาลาลา-ซือตาลาลา.....20 Century Boy) เป็นต้น RATT มีอัลบั้มทั้งหมด 8 ชุด (1983-1999) และอัลบั้มล่าสุดของวง มีกำหนดออกในปี 2009 นี้ เพลงแนะนำ – Round and Round อัลบั้ม Out of the Cellar (1984) LETS ROCKKK~!!!!!! http://www.youtube.com/watch?v=vuWD7VrHquU จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:50:52

ความคิดเห็นที่ 77 Harvest ร่างต้น - Shigekiyo Yangu เพื่อนร่วมโรงเรียนของ Josuke แสตนด์ Harvest – แสตนด์รูปร่างคล้ายแมลง มีทั้งหมดประมาณ 50 ตัว คอยทำหน้าที่หาเศษเงิน / ของมีค่ารวบรวมมาให้ร่างต้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:52:10

ความคิดเห็นที่ 78 ที่มา วงดนตรีในยุคที่ อ.Araki เขียนนั้น มี อยู่ 3 วงที่ใช้ชื่อ Harvest คือ 1. Harvest วงดนตรีเพื่อศาสนาจาก Texus (Christian band) ก่อตั้งโดย Jerry Williams ในปี 1977 2. Red Harvest วง Norwegian industrial metal จาก Oslo ก่อตั้งในปี 1989 อัลบั้ม Sick Transit Gloria Mundi (2002) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Norwegian Grammy  / alternative Grammy ในสาขา "Best Metal Album" 3. King Harvest  วง American rock ในช่วงทศวรรษ 1970 ผมเลือก King Harvest ละกัน เพราะดูท่าแล้ว อ.น่าจะฟังเพลงจากฝั่งอเมริกามากกว่า แนวเพลง – Rock / Pop Rock เพลงแนะนำ – Dancing in the Moonlight อัลบั้ม King Harvest (1973) น่าจะคุ้นหูกัน เพราะวง Top Loader เอามา Cover ในอัลบั้ม Onka's Big Moka (2000) http://www.youtube.com/watch?v=2VEC5rXOXvU จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:53:24

ความคิดเห็นที่ 79 Cinderella ร่างต้น - Aya Tsuji เจ้าของร้านเสริมสวย Cinderella ในเมือง Morioh แสตนด์ - Cinderella  มีความสามารถเปลี่ยน “อวัยวะ” ของเป้าหมาย เพื่อเปลี่ยนโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น แต่คงระยะไว้ได้แค่ 30 นาที หากนานกว่านั้นจะต้องใช้ลิปสติกทาเพิ่มให้คงสภาพเอาไว้ หากไม่ทำตามเงื่อนไข ร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่คาดคิด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:55:07

ความคิดเห็นที่ 80 ที่มา วง Cinderella  สัญชาติอเมริกัน แนวเพลง - Hard rock, heavy metal, blues rock การทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของวงในปี 1986 ได้ออกแสดงร่วมกับ Poison โดยเป็นวงเปิดให้กับ Loudness จากญี่ปุ่น (ว้าว) / 1987 เป็นวงเปิดให้กับ Van Halen (สมัย David Lee Roth) และ Bon Jovi หลังจากนั้นก็เดินหน้าลุยคอนเสิร์ตของตัวเอง ทางวงมีอัลบั้มออกมา 4 ชุด คือ Night Songs (1986) - ได้ 3 Platinum Long Cold Winter (1988) - ได้ 3 Platinum Heartbreak Station (1990) – เปลี่ยนแนวมาเน้น Blues มากขึ้น ทำให้ความนิยมลดลง Still Climbing (1994) – ชุดสุดท้ายของวง และเป็นอีกหนึ่งวง Hard Rock ที่พ่ายแพ้ให้กับกระแสของ NIRVANA เพลงแนะนำ – Nobody’s fool อัลบั้ม Night Songs (1986) http://www.youtube.com/watch?v=QI_BGBZ41mw จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 08:55:49

ความคิดเห็นที่ 81 Atom Heart Father ร่างต้น -Yoshihiro Kira  พ่อของคิระ โดยปรากฏตัวในสภาพวิญญาณ ในภาพถ่าย ความสามารถ - สแตนด์วิญญาณในรูปถ่าย ซึ่งสามารถโจมตีผู้ที่ถูกถ่ายรูปจากในรูป และสิ่งที่เกิดในรูป จะเป็นจริงภายนอกรูปถ่าย (กล้อง โพลาลอยด์) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:00:14

ความคิดเห็นที่ 82 ที่มา Atom Heart Father มาจาก Atom Heart Mother ชื่ออัลบั้มชุดที่ 4 ของ Pink Floyd ในปี 1970 ติดอันดับ 1 UK Chart ด้วย หน้าปกอัลบั้ม เป็นรูปวัว โดยไม่มีข้อความอะไรทั้งสิ้น ทางวงกล่าวว่า ไม่ต้องการให้มีอะไรมาจำกัดแนวเพลงของวง (ที่ขณะนั้น เป็นแนว psychedelic space rock)แม้แต่หน้าปกอัลบั้ม  จึงออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งรูปวัว ได้อิทธิพลมาจาก Cow-wallpaper ของ Andy Warhol ปกอัลบั้มนี้ ปรากฏในภาพยนตร์ของ Stanley Kubrick เรื่อง A Clockwork Orange ในฉากที่เป็นร้านขายแผ่นเสียง Stanley Kubrick  (1928-1999) เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ทรงอิทธิพลชาวอเมริกัน-อังกฤษ นักเขียนบท ผู้สร้าง และนักถ่ายภาพ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:02:50

ความคิดเห็นที่ 83 Stanley Kubrick   เป็นผู้กำกับที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ผลงานของเขา เป็นทั้งงานช่าง และงานศิลป์ เพราะเขาให้ความสำคัญ ทั้งสองด้านอย่างจริงจัง และเขามุ่งสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ มากกว่าที่จะมุ่งสร้างงาน ออกมาจำนวนมาก ๆ เมื่อคูบริกเสียชีวิตในปี 1999 ขณะมีอายุได้ 70 ปี เขาได้ทิ้งผลงานหนังระดับคลาสสิคไว้ 11 เรื่อง ตลอดจนผลงานในช่วงแรก ๆ อีก 4 เรื่อง ซึ่งมีความน่าสนใจ และเป็นแรงส่งให้เขา พัฒนางานชิ้นต่อ ๆ มาได้อย่างประณีต และเต็มไปด้วยจินตนาการ ในฐานะที่เป็นนักสร้างหนัง ที่มีอิทธิพลสูงสุดคนหนึ่ง ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 หนังของคูบริก มีส่วนเป็นอย่างยิ่ง ในการก่อร่างสร้างตัว ของหนังสมัยใหม่ ทั้งในแง่ของเนื้อหา และรูปแบบ ตอนที่เขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ถ่ายภาพ คนเร่ขายหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง ในวันถัดจากที่ รูสเวลท์ ถูกฆ่าตาย พรสวรรค์ที่ฉายออกมา ในการถ่ายทอดบรรยากาศ และความรู้สึกได้อย่างแหลมคม ทำให้นิตยสาร Life รีบคว้าตัวเขาไปเป็นช่างภาพทันที ช่วงนั้น เขาเก็บเงินส่วนตัว ทำหนังสั้นแนวอาชญากรรม สองเรื่อง คือ Killer’s Kiss (1955) และ The Killing (1956) ซึ่งทั้งสองเรื่อง มีความเด่นอยู่ที่ การถ่ายทำในแบบขาวดำ ที่ทำให้หนังดูขรึม และมุมกล้องที่ดูดิบ ๆ หนังสองเรื่องนี้ ยังเป็นเหมือนประตู ให้เขาก้าวเข้าสู่วงการนักทำหนัง ซึ่งต่อมา เขาสามารถก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ด้วยผลงานเรื่อง Paths of Glory (1957) ที่นำแสดงโดย เคิร์ค ดั๊กลาส หลังจากนั้น เขาร่วมงานกับดั๊กลาสอีกครั้งใน Spartacus (1960) โดยในเรื่องนี้ เขาถูกดึงให้เข้ามากู้สถานการณ์ หลังจากหนังประสบปัญหาหนัก เมื่อเริ่มต้นถ่ายทำไปได้ไม่นาน นับจากนั้น ตำนานของคูบริกก็เริ่มต้นขึ้น เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นทั้งบ้านและสตูดิโอ ในการทำหนังแต่ละเรื่อง เขามักจะเขียนบทเอง ดูแลการผลิตเอง กำกับเอง และทำงานคลุกคลี กับนักแสดงอย่างใกล้ชิด เขามักจะขลุกอยู่ในห้องตัดต่อเป็นเดือน ๆ และทุ่มเวลาปรับปรุงงาน จนแทบจะนาทีสุดท้าย ก่อนที่จะส่งฟิล์มเข้าโรงหนัง เขาทำหนังหลากหลาย ทั้งนำเอาหนังเก่ามาสร้างใหม่อย่าง Lolita (1962), หนังเหนือจริง เกี่ยวกับความหวาดผวาเรื่องการทิ้งระเบิด ใน Dr. Strangelove (1964), หนังอีพิคระดับคลาสสิค 2001: A Space Odyssey (1968), หนังจิตวิทยาอย่าง A Clockwork Orange (1971) และยังเคยทำหนังย้อนยุค ที่สวยงามอย่าง Barry Lyndon (1975) ด้วย ในปี 1980 เขามีผลงานที่สร้างจาก นิยายสยองขวัญของ สตีเฟ่น คิง เรื่อง The Shining ซึ่งกลายเป็นหนังสยองขวัญคลาสิคเรื่องหนึ่ง จนถึงทุกวันนี้ ต่อมา เขาสร้างหนังเกี่ยวกับ สงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อ Full Metal Jacket (1987) แล้วใช้เวลาสองปีถัดมา ฝากผลงานชิ้นสุดท้าย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวและความว่างเปล่าของชีวิตคู่ ใน Eyes Wide Shut (1999) หนังของ คูบริก มีเสน่ห์ และดูมีอำนาจลึกลับและมืดดำ คล้ายกับภาพเขียนที่มีชีวิต รางวัลที่ได้รับ Oscar สาขา Best Visual Effects จากเรื่อง  2001: A Space Odyssey (1968) ลูกโลกทองคำ Best Motion Picture - Drama จากเรื่อง Spartacus (1961) Bafta - Best British Film ปี 1964 จาก Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb - Best Film ปี 1964 จาก Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb - Best Direction ปี 1975 จาก Barry Lyndon - Britannia Award - 1999 Excellence in Film - Academy Fellowship ปี 2000 Lifetime Achievement อ้อ อัลบั้มชุดนี้มี ทั้งหมด 5 เพลง Atom Heart Mother เป็นเพลงแรก และเป็นเพลงบรรเลงครับ ทั้งเพลงยาว 23.44 นาที http://www.youtube.com/watch?v=N89gb2KcdSc&feature=related จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:04:56

ความคิดเห็นที่ 84 Boy II Man ร่างต้น - Ken Oyanagi เด็กชาย ที่ถูกธนูยิง และมีรูที่แก้ม แสตนด์ - Boy II Man  มีความสามารถในการดูดพลังแสตนด์ของเป้าหมายมาเป็นของตัวเอง แต่มีเงื่อนไขคือ ต้องเป่ายิ้งฉุบ ให้ชนะ 3 ใน 5 ครั้ง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:05:58

ความคิดเห็นที่ 85 ที่มา มาจาก Boyz II Men วงเสียงดีจาก Philadelphia แนวเพลง – R&B / Soul ถ้าดูจากยอดขาย วงนี้จัดว่าเป็นวง R&B ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล (กว่า 60 ล้านชุด) มีเพลงฮิตอันดับ 1 ถึง 3 เพลง End of the Road (1992) / I'll Make Love to You (1994) / One Sweet Day (อยู่ในอัลบั้ม Day dream ของ Mariah Carey) (1995) เป็นเพลงที่ทำสถิติติดอันดับ 1 Bill Board นานที่สุดถึง 16 สัปดาห์ และอยู่ในอันดับ 29 ของ Billboard's Hot 100 All-Time Top Songs BoyZ II Men ออกอัลบั้มมาแล้ว 9 ชุด ดังนี้ Cooleyhighharmony (1991) / Cooleyhighharmony (Expanded Edition) (2009) II (1994) Evolution (1997) Nathan Michael Shawn Wanya (2000) Full Circle (2002) Throwback, Vol. 1 (2004) The Remedy (2006) Motown: A Journey Through Hitsville USA (2007) Love (2009) เพลงแนะนำ – ไปลองฟังกันดีกว่าว่า เพลงอันดับ 1 Billboard นาน 4 เดือน มันเจ๋งยังไง http://www.youtube.com/watch?v=z5h4eoczBe4 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:06:45

ความคิดเห็นที่ 86 Earth Wind and Fire ร่างต้น - Mikitaka Hazekura  ชายหนุ่มที่อ้างว่าตัวเองเป็น มนุษย์ต่างดาว และแพ้เสียงไซเรน แสตนด์ - Earth Wind and Fire  สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งของอะไรก็ได้ เช่น รองเท้าผ้าใบ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:07:56

ความคิดเห็นที่ 87 ที่มา Earth Wind and Fire  เป็นวงจาก Chicago แนวเพลง  - R&B, Funk, Soul (ดนตรีของวงประกอบด้วย African music, Latin music, Funk, Soul, Jazz, Pop, rock และประเภทอื่นๆอีก รวมทั้งโดดเด่นในการประสานเสียงร้อง และเครื่องเป่า) วงได้รับรางวัล Grammy ถึง 10 ครั้ง / American Music Awards 4 ครั้ง ถูกบรรจุใน Rock and Roll Hall of Fame และ Vocal Group Hall of Fame มียอดขายว่า 90 ล้านชุดทั่วโลกและ ติดอันดับ 7 ของศิลปินอเมริกันที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล และติดอันดับ 60 ของ VH1's list of the 100 Greatest Artists of Rock & Roll เพลงแนะนำ – Shining Star อัลบั้ม That’s the way of the world (1975) อันดับ 1  Billboard Pop Album / Black Album http://www.youtube.com/watch?v=7XIMuUBVuWM That’s the way of the world ยังเป็นชื่อภาพยนตร์ในปี 1975 อีกด้วย  และแน่นอน เพลงประกอบโดย Earth Wind and Fire จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:10:39

ความคิดเห็นที่ 88 Highway Star ร่างต้น - Yuya Fungami หนุ่มแว๊น ประจำเมือง ที่ได้รับบาดเจ็บจากรถคว่ำ และใช้แสตนด์เพื่อดูโพลังชีวิตมารักษาตัว แสตนด์ - Highway Star  แสตนด์ระยะไกล  มีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นเป็นเยี่ยม  เมื่อต้องติดตามเป้าหมาย ร่างจะแยกเป็นชิ้นๆ มีความเร็วถึง 60 กม./ชม.  สามารถดูดพลังชีวิตจากเป้าหมาย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:11:52

ความคิดเห็นที่ 89 ที่มา ชื่อนี้ช่างขลังนัก Highway Star เป็นชื่อเพลงในอัลบั้ม Machine Head (1972) ของวง Deep Purple มีช่วง Guitar Solo / Organ Solo ที่สุดยอด รวมถึงพลังเสียงที่สุดยอดเข้าปอีก (อวยเข้าไป 555) เพลงนี้แค่ดนตรี ฟังยังไงก็นึกถึง รถเครื่องแรงๆ เหยียบมิด พุ่งทะยานฝุ่นตลบ (อีกเพลงที่ให้อารมณ์เดียวกันคือ Burn (1974)) เพลงนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ  โดยในปี 1971 มีนักข่าวถามวงว่า แต่งเพลงกันยังไง  Richie Blackmore ก็หยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาดีดท่อนริฟ ที่มีแต่ "G" วนไปวนมา จนนักร้องนำ Ian Gillan ด้น  (improvise) เนื้อร้องลงไป จนกลายเป็นเพลงและเล่นกันในคืนนั้นเลย วง Deep Purple เป็นวงร็อคจากอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1968 (ช่วงเดียวกับ Led Zeppelin และ Black Sabbath (นี่มันแสตนด์ของโปรูโป้นี่นา)) รวมยอดขายถึงปัจจุบัน วงมียอดขายถึง 100 ล้านชุดทั่วโลก วงดนตรีที่เบื้องต้นรู้จักว่าเป็นวง Hard Rock จากอังกฤษวงนี้ ไปๆมาๆกลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีสไตล์ Heavy Metal ไป วงนี้มีประวัติก่อตั้งเมื่อปี 1968 แต่สาวลงได้ถึงปี 1964 ตอนนั้น Ian Gillan นักร้องร่วมวงกับ Graham Dimmock กีต้าร์ Roger Glover เล่นเบสส์ กับเพื่อนๆอีกหลายคนในนามวง Episode Six ซึ่งออก Singles มาหลายแผ่นแต่ไม่โด่งดัง ต่อมาปี 1967 ฟอร์มวง The Flower Pot Men and their Garden ขึ้นมา ตระเวนเล่นดนตรีไปเรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่งได้นักกีตาร์มืออาชีพมาร่วมงาน นั่นคือ Ritchie Blackmore เพิ่งกลับจากเยอรมัน และวงดนตรีระดับโลกนาม Deep Purple จึงกำเนิดขึ้นมา แต่ผลงานเพลง อัลบั้มแรกชื่อ “ Shades of Deep Purple ” คิดว่าไม่ค่อยจะรู้จักกันแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศบ้านเกิด แต่พอมีชื่อบ้างในสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นยังไปหยิบเอาเพลงคนอื่นมาเล่น เช่น เพลง " Hush " ของ Joe South ชุดที่สอง “ The Book of Taliesyn ” ก็เหมือนกัน ชุดที่สาม “ Deep Purple ” ออกมาปี 1969 ชุดที่สี่ “Deep Purple In Rock” ออกในปี 1970  มีเพลงติดหู คือ เพลง “Speed King” ขึ้น Intro เนิบๆ ด้วยออร์แกน ก่อนจะลากเสียงยาวๆ แล้วกระตุกอารมณ์ด้วยจังหวะมันส์ๆ Riff กีต้าร์และเบสส์ชวนหลงใหล เสียงร้องสุดเจ๋งแบบขาดลอยของ Ian Gillan กลางๆ เพลงมีปะทะกันระหว่างกีต้าร์โซโลกับออร์แกน อัลบั้มนี้มี Ritchie Blackmore เล่นกีต้าร์ John Lord ออร์แกน Roger Glover กีต้าร์เบสส์ Ian Paice เล่นกลอง เพลงในชุดนี้ที่ดังสุดๆ ใครๆ ก็ฟัง และมีคนแกะเพลงไปเล่นเยอะมากก็คือ เพลง " Child in Time " เพลงนี้ใครก็จำ Riff ได้เพราะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เทคนิคกีต้าร์ Power Chord ฝีมือโซโลกีต้าร์ของ Blackmore ท็อปฟอร์มที่สุดในเพลงนี้ เพราะขึ้นอย่างนุ่มนวลละมุนละมัย จบลงอย่างเร้าใจและล่องลอย แทร็กนี้ยาว 10 นาที 14 วินาที  ร้องเยี่ยมสุดๆเพราะเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก ช่วงแผดเสียงก็สูงลิบ ชนิดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จึงกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในโลก ส่วนการเรียบเรียงเสียงประสานเยี่ยมมากไม่มีที่ติ ปีถัดมา( 1971) ออกอัลบั้มใหม่ “Fireball” กระชากใจคอฮาร์ตร็อคอีกตามเคย เพลงติดหูคนฟังเพราะขึ้น กลองตีได้เร้าอารมณ์มาก มี Riff เจ๋งๆ ด้วย ในเดือนมีนาคมปี 1972 วง Deep Purple ปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาชื่อ “ Machine Head ” ชุดนี้ดังสุดๆสามารถชิงออกอากาศวิทยุได้บ่อยที่สุด ชุดนี้มีเพลงดังเยอะเป็นต้นว่า Highway Star, Smoke on the Water, Space Truckin หรือ Maybe I'm a Leo เพลง “Highway Star” กลายเป็นเพลงประดาบของมือกีต้าร์โซโล  ส่วน “Smoke on the Water” เป็น Riff ระดับตำนานเลยทีเดียว! เพลงนี้ทำให้มือกีต้าร์ต้องเรียนรู้เทคนิคการเล่นแบบ Power Chord คือจับคู่สาย หรือนิ้วกดทับสายกีต้าร์ไม่ครบตัวโน๊ตประจำคอร์ด เนื้อเพลงนี้แต่งมาจากเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 1971 ที่เมือง Montreux ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองอยู่ห่างจากโลซานน์ประมาณ 45 นาที ป๋าไปมาเหมือนกันเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2549 เสียดายถ้าไปช้าอีกเดือนจะมีโอกาสได้ชมอดีตสมาชิก Led Zeppelin ไปเล่นโชว์ในงานมหกรรมดนตรี Jazz ที่เมืองนี้ ตอนนั้นวง Deep Purple ไปยืมสตูดิโอเคลื่อนที่ของ The Rolling Stone เพื่อบันทึกเสียง โดยตั้งแคมป์ที่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Montreux Casino ขณะเดียวกันมีคอนเสิร์ต Frank Zappa กับ The Mothers of Invention วงดนตรีคู่ชีพ ปรากฏว่ามีเด็กมือบอนจุดไฟเล่นพุ่งไปกระทบเพดานเกิดไฟลุกไหม้โรงละครทำให้ด้านประตูทางเข้าเสียหายหนัก รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ดนตรีเสียหายด้วย บังเอิญสมาชิกวงมองจากโรงแรมเห็นควันไฟล่องลอยไปเหนือทะเลสาบเจนีวา จึงเป็นที่มาของคำว่า “Smoke on the Water” ผลจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นก็เผ่นกันกระเจิง และไม่ได้อัดเสียงด้วยต้องไปหาที่ใหม่แทน อัลบั้มของ Deep Purple ประกอบด้วย 1.  Shades of Deep Purple (1968) 2.  The Book of Taliesyn (1968) 3.  Deep Purple (1969) 4.  Deep Purple in Rock (1970) 5.  Fireball (1971) 6.  Machine Head (1972) 7.  Who Do We Think We Are (1973) 8.  Burn (1974) 9.  Stormbringer (1974) 10. Come Taste the Band (1975) 11 .Perfect Strangers (1984) 12. The House of Blue Light (1987) 13. Slaves & Masters (1990) 14. The Battle Rages On (1993) 15. Purpendicular (1996) 16. Abandon (1998) 17. Bananas (2003) 18. Rapture of the Deep (2005) I’m a Highway Starrrrrrr!~!!! Original http://www.youtube.com/watch?v=KgZSnAkQc4c Buckcherry Cover Version เป็นเพลงหลักของ 2009 NASCAR on TNT Summer Series http://www.youtube.com/watch?v=BfQz4iknDxY จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 09:12:46