ความคิดเห็นที่ 1 แท่งหินโมโนลิธ จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 13:31:09

ความคิดเห็นที่ 2 HAL ครับ จากคุณ : SkaPara เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 17:00:27

ความคิดเห็นที่ 3 นึกถึงเพลงนี้ครับ Also sprach Zarathustra  ของ ริชาร์ด สเตราท์ มีคลิปเพลงนี้มาฝากด้วยเด้อ จากคุณ : 311025 เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 19:08:16

ความคิดเห็นที่ 4 star child ครับ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 21:24:31

ความคิดเห็นที่ 5 ลิงถือกระดูกอยู่หน้าแท่งหินแล้วเปิดเพลงของเสตราท์ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 23:28:35

ความคิดเห็นที่ 6 สำหรับผม แรกสุดที่นึกถึงก็คงเป็น แท่งหินโมโนลิท ครับ เป็นจินตนาการที่สุดยอดจริงๆ ลำดับถัดไปก็คงเป็น Hal 9000 คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ก็เป็นไอเดียที่โดดเด่นมากในสมัยนั้น ลองดู link ข้างล่างนี้เป็นเว็บอธิบายไอเดียเกี่ยวกับ Space Oddyssey by Kublick http://www.kubrick2001.com/index.html แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 52 21:58:32 จากคุณ : demerzel เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 52 21:56:02

ความคิดเห็นที่ 7 Monolith จากคุณ : King Leonidas เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 17:25:59

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นกี่ทีก็รู้สึกว่า "ลุงอาเธอร์แกคิดได้ไงเนี่ย" ทุกทีเลย ปล. แล้วเวลาอ่านชุด 2001 นี่ก็ต้องมานั่งคิดว่า ตกลงนี่เป็นเหตุการณ์ที่ลุงเค้าคิดเอง หรือว่าเป็นเหตุการณ์จริง เพราะเค้าเอามาผสมกันได้เหมือนจริงมากๆ อย่างเวลาพูดถึงคาร์ล ซาเก้น อะไรแบบนี้ ที่สับสนน้อยที่สุดก็คงจะเป็น 2001 เพราะลุงเค้าเขียน 196x ก่อนที่มนุษย์จะเหยียบดวงจันทร์ในปี 1969 (จำได้เพราะเป็นชื่อตอนของสตาร์เกทด้วยน้า) จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:52:47

ความคิดเห็นที่ 9 นีล อาร์มสตรอง โพล่งขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเหยียบก้าวแรกของเขาบนดวงจันทร์  "That's one small step for man, one giant leap for mankind. ก้าวเล็กๆ ของมนุษย์, แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ"  กลายเป็นประโยคอมตะสำหรับยุคอวกาศ  ประโยคนี้ก็เอามาจาก 2001 Space Oddysey นี่เอง ป.ล. มีความคิดที่ว่า การเหยียบดวงจันทร์ในปี '69 ของ Apollo11 นั้นเป็นเรื่องแหกตาของอเมริกา ที่จ้าง Stanley Kublick ผู้กำกับ 2001 จัดฉากขึ้น แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเรื่องนี้ จากคุณ : demerzel เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 21:02:21

ความคิดเห็นที่ 10 -นึกถึงหมอน ดูแล้วง่วงทุกที อิอิ จากคุณ : ด้วงแว่น เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 12:02:57

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ นอนแบบนี้หรือครับ อุอุอุอุอุอุอุอุอุ จากคุณ : King Leonidas เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 52 03:32:22

ความคิดเห็นที่ 12 .....................แล้ว ด้วงแว่น ก็กลายเป็น................!?!? จากคุณ : King Leonidas เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 52 03:36:13

ความคิดเห็นที่ 13 -อ้าว ไหงทำกันได้ จากคุณ : ด้วงแว่น เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 19:59:37

ความคิดเห็นที่ 14 ใกล้จะถึงปี 2010 แล้วนะครับ เสียดายที่ อาร์เธอร์ ซี คล๊าก แกอยู่ไม่ถึง จากคุณ : demerzel เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 52 21:35:28

ความคิดเห็นที่ 15 จะหา 2010 ฉบับ DVD ที่มีซับไทย ได้ที่ไหนมั่งเนี้ยะ จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 52 10:30:18

ความคิดเห็นที่ 16 2010 ตอนนี้มีแบบ Blu-ray วันก่อนไปเจอแผ่นนี้ ก็ถามคนขายว่ามีแบบดีวีดีไหม คนขายบอกมี รีบเดินไปหยิบ อ่ะ กลายเป็น 2001 ซะชิบ จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 14:41:34

ความคิดเห็นที่ 17 คิดว่าภาคสุดท้าย.....spoil ไม่น่าเปลี่ยนพระเอกเลย ซีเรียสนะเนี่ย จากคุณ : I Love someone on internet เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 23:59:35

ความคิดเห็นที่ 18   แท่งหินดำ มีที่มานะ อาร์เธอร์ ซี คล๊ากไม่ได้คิดเอง เราเคยพูดที่ห้องหว้ากอ โดนด่าซะเละ โดนหาลบหลู่ศาสนา ลองคิดดูเองก็แล้วกันว่า อาร์เธอร์ ซี คล๊าก ได้ไอเดียแท่งหินดำมาจากที่ไหน ดูจากสัดส่วนของแท่งหินดำ จากคุณ : แมงกะชอนหุ้มเกราะ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 52 15:25:26 A:unknown X:202.44.32.9 TicketID:117832

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่รู้อ่ะ บอกได้ป่าว แต่ถ้าให้เดาตามความรู้ของเรา มันคือแท่งหินธรรมอาสนะของพระพุทธเจ้าอ่ะ ตอนเราเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ที่มหาลัย อาจารย์บอกว่า พุทธศาสนาในช่วงแรกพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ใช้รูปปั้นเป็นตัวแทนของท่าน ดังนั้น ในงานศิลป์ช่วงแรกๆ ศิลปินจะสื่อถึงพระพุทธองค์โดยการวาดแท่งหินที่ท่านใช้นั่งแสดงธรรมมาเป็นสัญลักษณ์ แต่เมื่อตอนหลังที่วัฒนธรรมกรีกโรมันแผ่ขยายมาถึงอินเดีย ทำให้มีวัฒนธรรมที่นิยมการจำลองรูปเหมือนจริง จึงได้เกิดการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 10:51:25

ความคิดเห็นที่ 20 ลืมไป จริงๆจะเข้ามาคุยว่า เพิ่งอ่าน 2010 จบก็คิดได้ว่า มันจะปี 2010 แล้วสินะเนี่ย ประเทศชาติบ้านเมืองยังไม่ไปถึงไหนกันเลย มีเรื่องนึงที่อ่าน 2010 ทั้งไทยทั้งอังกฤษแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยเก็ทจนต้องไปเปิดวิกิ ก็คือ อีตา Walter Curnow เนี่ยแหละ แกเป็นคนน่ารักดี แต่งงๆว่าแกชอบผู้ชายหรือผู้หญิง สรุปว่าในวิกิเค้าบอกว่าเป็นไบฯ ส่วนตอนนี้กำลังเริ่มอ่าน 2061 เพิ่งอ่านได้แค่ Author's Note เอง แต่ฮาดีอ่ะ ชอบที่เค้าบอกว่า ตอนแรกว่าจะไม่เขียนจนกว่า Galileo จะถูกส่งขึ้นไปศึกษาข้อมูลดาวพฤหัสให้ได้มากกว่านี้ แต่เนื่องจากอุบัติเหตุยานชาแลนเจอร์ ทำให้โครงการต่างๆต้องชะงักลง โดยเฉพาะ Galileo ที่คงจะต้องเลื่อนไปอีกถึงเจ็ดปี เค้าก็เลยบอกว่า "I decide not to wait." มันได้อารมณ์คนเขียนมากๆเลย ู^-^ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 10:57:54

ความคิดเห็นที่ 21 แง้ว คคห.18ไม่เห็นเข้ามาตอบเค้าเลย หลอกให้คุยแล้วจากไป จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 22:47:03

ความคิดเห็นที่ 22 อ่าน 2061 มาถึงตอนที่เค้าบรรยายว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน มีช่วงนึงที่อ่านแล้วขนลุก ตรงที่เค้าบอกว่า "พอถึงปี 2000 โลกทั้งใบก็กลายเป็นโลกใบเดียวกัน คนสามารถโทรหากันได้ทุกที่ทั่วโลกด้วยอัตราค่าโทรท้องถิ่น" แล้วก็มานั่งคิดว่า ตอนนี้ีปี 2009 เข้าไปแล้ว มันยังไม่เป็นอย่างนั้นเลย (และคงจะไม่เป็นด้วย ถ้ายังมีการแบ่งแยกทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้) จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 52 17:03:24

ความคิดเห็นที่ 23 เดี๋ยวนี้ก็โทรระหว่างประเทศได้ในราคาใกล้เคียงกับโทรในประเทศแล้วนี่ครับ  ผ่าน VoIP   บางระบบ ยังโทรหากันฟรีซะด้วยซ้ำ จากคุณ : demerzel เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 52 22:22:03

ความคิดเห็นที่ 24 แต่มันไม่ official นี่คะ อย่างที่โทรตปท. 7 บาท 9 บาท มันก็คุณภาพไม่ดีเท่าโทรทางไกลปกตินาทีละหลายสิบบาท นอกจากนี้ บุ๊กจังยังคิดถึงเรื่องอย่างอื่นด้วย เช่นระบบโครงสร้างการโทรคมนาคมที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นที่ฮ่องกง ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้าน เค้าก็จะเสียค่าเช่าโทรศัพท์เป็นเดือนไปเลย โทรเท่าไหร่ก็ได้ เข้ามือถือก็ได้ ตราบใดที่โทรแค่ในท้องถิ่น ในขณะที่แคนาดาเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นคนโทรหรือคนรับ ก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน ดังนั้นการเชื่อมต่อและใช้มาตรฐานเดียวกันถึงได้เป็นไปได้ยากถ้าหากการเมืองและเศรษฐกิจยังไม่ได้เป็นระบบเดียวกัน ขอนอกเรื่องนิดนึงตรงที่ว่า บุ๊กจังว่า ถ้าคนไทยเสพสื่อบันเทิงที่เป็นไซไฟมากกว่านี้ก็คงจะดี เพราะจริงๆแล้วไซไฟด้านนึงก็คือการนำเสนอปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอดีต แต่ทำให้อ่านง่ายและน่าสนใจ ซึ่งมันก็จะเป็นการทำให้คนอ่านได้ฉุกคิดถึงปัญหานั้นๆไปโดยไม่รู้ตัว หรือบางทีไซไฟก็สอดแทรกความรู้เรื่องการปกครองแบบต่างๆ (เช่นในสถาบันสถาปนา) หรือสังคมอุดมคติ (เหมือนในสตาร์เทรค) ซึ่งอย่างน้อย ถ้าคนได้อ่านได้ดูอะไรที่นอกเหนือไปจากชีวิตประจำวันที่อยู่ใกล้ตัวบ้าง ก็จะทำให้มองเห็นโลกได้กว้างขึ้น บุ๊กจังชอบ spot อันหนึ่งของ discovery channel ที่เค้าสัมภาษณ์นักบินอวกาศ ซึ่งบุ๊กจังจำชื่อไม่ได้ แต่คิดว่าเป็นคนญี่ปุ่น เค้าบอกว่าพออยู่บนกระสวย มองลงมาเห็นโลกสีฟ้ากลมสวยเป็นดวงเดียว ณ ขณะนั้นโลกได้กลายเป็นโลกใบเดียว ไม่มีพรมแดนหรือความขัดแย้ง ซึ่งถ้าคนอื่นได้เห็นอย่างเค้าบ้าง ความขัดแย้งก็คงจะลดน้อยลง สงครามก็คงจะน้อยลง แล้วคนก็จะหันมารักษ์โลก รักษ์ธรรมชาติมากขึ้น ^-^ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 52 23:57:56 จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 52 23:57:10

ความคิดเห็นที่ 25 มาดันฮับ กระทู้ยิ่งน้อย จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:49:23

ความคิดเห็นที่ 26 HAL 9000 เนี่ย ถ้าคิดไปคิดมา มันเหมือนมีวิญญาณเลยเนอะ จากคุณ : AtiWich (TOK99) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 21:37:52

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่มีก็เหมือนมีเนอะ แต่น่าเสียดายที่ไม่มี HAL10000 ออกมา คุณคลาร์กไม่น่าฆ่าดร.จันทราใน 2061 เลย สงสัยขี้เกียจคิดพล็อตต่อ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 08:26:05

ความคิดเห็นที่ 28 มาดันฮับ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 22:37:52

ความคิดเห็นที่ 29 ดันนนนนนนนนนนน จากคุณ : thanapatpp เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 13:22:37

ความคิดเห็นที่ 30 คุณบุ๊คจังคงเคยได้ยินที่ว่า 'No one realy die in sci-fi'   ไม่แน่ ถ้า คล๊ากยังมีชีวิตมาเขียนต่อ เขาอาจดึงเอาดร.จันทรา มามีบทบาทอีกก็ได้ ขนาด แฟรงค์ พูล หลุดเข้าไปในหลุมดำยังฟื้นขึ้นมาได้ จากคุณ : demerzel เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 16:03:43

ความคิดเห็นที่ 31 ู^ นั่นสิ บุ๊กจังก็ว่างั้น แบบว่าเปิดอ่าน 3001 มาแล้วแบบ เอ่อ...อยากจะให้กลับมาก็กลับมาได้เนอะเนี่ย ^-^ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 22:43:49