ความคิดเห็นที่ 1 FEMTO ร่างต้น : Griffith Stand : FEMTO เอ้ย ไม่ใช่ Griffith เป็นนามสกุลของชาว เวลส์ (Welsh) มาจาก Gruffudd จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:23:42

ความคิดเห็นที่ 2 Griff (หรือ Gruff) อาจหมายถึง "strong grip" Udd หมายถึง  "chief" / "lord" นามสกุลนี้ ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ ถูกบันทึกในปี 1925 โดยใช้ว่า "Gryffyth" จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:23:59

ความคิดเห็นที่ 3 FEMTO เป็นส่วนหนึ่งของ หน่วยอนุพันธ์เอสไอ (SI derived units) เป็นหน่วยซึ่งมีหน่วยฐานหลายหน่วยมาเกี่ยวข้องกัน เช่น หน่วยของอัตราเร็วเป็น เมตรต่อวินาที ซึ่งมีเมตรและวินาที เป็นหน่วยฐาน หน่วยอนุพันธ์มีหลายหน่วยซึ่งมีชื่อและสัญลักษณ์ที่กำหนดขึ้นโดยเฉพาะ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:24:34

ความคิดเห็นที่ 4 ซึ่ง FEMTO คือ คำอุปสรรค หรือ คำนำหน้าหน่วย (prefix) ใช้นำหน้าหน่วย เพื่อทำให้หน่วยที่ใช้เล็กลงหรือใหญ่ขึ้น และแนะนำให้ใช้เป็นขั้นละ 1,000 เท่า FEMTO = 10 ยกกำลัง -15 = 0.000 000 000 000 001 (หนึ่งส่วนพันล้านล้าน) หากเทียบความหมายของ Griffith – FEMTO แล้ว จะเห็นว่า มันความหมายตรงกันข้ามเลย ผู้นำ = + FEMTO = 10 ยกกำลัง -15 การเขียนที่ถูกคือ femto-   ตัวย่อ f จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:25:36

ความคิดเห็นที่ 5 โดยทั่วไปจะใช้คำอุปสรรคนำหน้าตัวหน่วยเอสไอ ที่เห็นเป็นประจำ คือหน่วยกิโลเมตร ที่ใช้วัดระยะทางโดยทั่วไป เช่น 5 กิโลเมตร หมายถึง 5 พันเมตร (five thousand metres) หรือ ความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร หมายถึง 600 ในพันล้านเมตร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การพูดถึงเวลา จะไม่ใช้หน่วยเอสไอ แต่จะใช้คำแปลของหน่วยแทน เช่น 5,000,000,000 ปี จะไม่พูดว่า 5 จิกะปี แต่จะพูดว่า 5 พันล้านปี หรือ five Billion years และนอกจากนี้ ในการพูดถึงอุณหภูมิ ในทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ไม่ยอมรับการใช้หน่วยเอสไอกับอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส (ในหน่วยองศาเซลเซียส จะใช้คำแปลมาช่วยเหมือนการบอกจำนวนเวลา) แต่ยอมรับการใช้หน่วยเอสไอกับหน่วยอุณหภูมิแบบเคลวิน สำหรับ SI นั้น  หมายถึง ระบบหน่วยระหว่างประเทศ (International System of Units) หรือ ระบบเอสไอ (SI) คือ ระบบหน่วยมาตรฐานที่องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO หรือ International Organization for Standardization) กำหนดขึ้นให้ทุกประเทศใช้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้การใช้หน่วยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:26:15

ความคิดเห็นที่ 6 หน่วยฐานเอสไอ (SI base units) เป็นหน่วยหลักของระบบเอสไอ มีทั้งหมด 7 หน่วย 1. กิโลกรัม (kg) มวล หน่วยของมวลซึ่งเท่ากับมวลต้นแบบระหว่างชาติของกิโลกรัม (ทรงกระบอกแพลตินัม-อิริเดียม) เก็บไว้ที่ Bureau International des Poids et Mesures (BIPM) , Sèvres, Paris (1st CGPM (1889) , CR 34-38) 2. วินาที (s)  เวลา หน่วยของช่วงเวลา 9,192,631,770 เท่าของคาบการแผ่รังสีที่เกิดจากการเปลี่ยนสถานะระดับไฮเพอร์ไฟน์ของสถานะพื้นของอะตอมซีเซียม-133 ที่อุณหภูมิ 0 เคลวิน (13th CGPM (1967-1968) Resolution 1, CR 103) 3. เมตร (m) ความยาว หน่วยของความยาวที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศ ในช่วงเวลา 1⁄299,792,458 วินาที (17th CGPM (1983) Resolution 1, CR 97) 4. แอมแปร์ (A) กระแสไฟฟ้า หน่วยของกระแสไฟฟ้าคงตัวซึ่งเมื่อให้อยู่ในตัวนำตรงและขนานกัน 2 เส้น ที่มีความยาวไม่จำกัดและมีพื้นที่หน้าตัดน้อยจนไม่ต้องคำนึงถึง และวางห่างกัน 1 เมตรในสุญญากาศแล้ว จะทำให้เกิดแรงระหว่างตัวนำทั้งสองเท่ากับ 2 × 10−7 นิวตันต่อความยาว 1 เมตร (9th CGPM (1948) Resolution 7, CR 70) 5. เคลวิน (K) อุณหภูมิอุณหพลวัต หน่วยของอุณหภูมิอุณหพลวัติ (หรืออุณหภูมิสัมบูรณ์) มีค่าเท่ากับ 1⁄273.16 ของอุณหภูมิอุณหพลวัติของจุดร่วมสามสถานะของน้ำ (13th CGPM (1967) Resolution 4, CR 104) 6. โมล (mol) ปริมาณของสาร หน่วยของปริมาณของสารซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบมูลฐานที่มีจำนวนเท่ากับจำนวนของอะตอมคาร์บอน-12 ปริมาณ 0.012 กิโลกรัม (14th CGPM (1971) Resolution 3, CR 78) (องค์ประกอบมูลฐาน ซึ่งอาจเป็นอะตอม, โมเลกุล, ไอออน, อิเล็กตรอน, หรือ อนุภาค) มีค่าประมาณ 6.02214199 × 1023 หน่วย (เลขอาโวกาโดร) 7. แคนเดลา (cd) ความเข้มของการส่องสว่าง หน่วยของความเข้มส่องสว่างในทิศที่กำหนดของแหล่งกำเนิดที่แผ่รังสีของแสงความถี่เดียวที่มีความถี่ 540 × 1012 เฮิรตซ์ และมีความเข้มของการแผ่รังสีในทิศทางนั้นเท่ากับ 1⁄683 วัตต์ต่อสเตอเรเดียน (16th CGPM (1979) Resolution 3, CR 100) http://www.youtube.com/watch?v=PK-w0QUq_Hk จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:26:32

ความคิดเห็นที่ 7 VOID God Hand พี่ใหญ่   ข้อสังเกต : VOID มีนิ้วมือข้างละ 6 นิ้ว จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:28:00

ความคิดเห็นที่ 8 ปาดครับ โหวตให้ครับ จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:28:12

ความคิดเห็นที่ 9 VOID เป็นชื่อของนิยายวิทยาศาสตร์ “Destination: Void” ของ Frank Herbert เมื่อปี 1966 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:28:42

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องย่อ : ในอนาคต  มนุษย์พยายามพัฒนา AI ซึ่งประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อมาก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โครงการดังกล่าวดำเนินการบนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งการส่งผ่านเสียงจากที่ตั้งโครงการทดลอง Puget Sound ที่เรียกว่า "rogue consciousness!" ก่อให้เกิดการทำลายล้าง-สังหารหมู่ เรียกว่าฆ่าล้างเกาะเลยทีเดียว ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน (ในนิยาย) โครงการมาทดลงบนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นการทดลองครั้งที่ 7 แล้ว ซึ่งการทดลองแต่ละครั้ง นักวิทยาศาสตร์จะสร้างกลุ่มร่างโคลนขึ้น  โคลนเหล่านี้จะถูกแยกเลี้ยงดู และปลูกฝังให้เชื่อว่า พวกเขาเป็นลุกเรือของยานอวกาศที่จะทำการสร้างอาณานิคมบนดาวเคราะห์ ในระบบสุริยจักรวาลอื่น  ยานอวกาศจะใช้เวลา 100 ปี ในการเดินทางไปยังระบบดังกล่าว และลูกเรือจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอยู่ในภาวะจำศีล นอกจากลูกเรือ 6 คนแล้ว บนยานจะบรรทุกร่างโคลนอีกกว่า 1000 ร่าง เพื่อเป็นพลเมืองในอาณานิคม หรือมาทดแทนลูกเรือที่อาจเสียชีวิตจากกการเดินทาง หน้าที่ของลูกเรือคือดูแลร่างโคลนเท่านั้น  การควบคุมยานเป็นหน้าที่ของ “สมองมนุษย์” ที่มีแต่สมอง เรียกว่า "Organic Mental Core (OMC)" แต่ OMC เกิดไม่สามารถสั่งการได้  ลูกเรือจึงต้องหาวิธีเพื่อความอยู่รอด จะหันยานกลับ หรือ สร้าง สมอง ขึ้นมาใหม่ แต่การหันกลับนั้นโอกาสแทบจะเป็น 0 โคลนแต่ละร่างถูกอบรม-คัดเลือกมาอย่างดีในทางจิตวิทยา เพื่อสนับสนุนโคลนร่างอื่นๆ รวมทั้งความสามารถพิเศษที่จะช่วยให้มีโอกาสทำงานสำเร็จด้วย Raja Flattery คือร่างโคลนที่เป็นบาทหลวงและนักจิตวิเคราะห์ ค้นพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว และยานที่ออกไปก่อนหน้า ตกทุกลำ  เขาเข้าใจบททดสอบนี้ว่า มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความกดดันสูง เพื่อที่จะให้อัจฉริยะแก้ไขปัญหาให้ได้ และสามารถสร้างสภาพที่ปลอดภัย สำหรับมนุษย์ ขึ้นได้ เนื่องจากมนุษย์เองไม่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ว่าขึ้นเองบนโลกได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:29:03

ความคิดเห็นที่ 11 นิยายของ Frank Herbert ที่ดังอีกเรื่องคือ DUNE (1965) ได้รางวัล  Hugo Award ปี 1966 และ  the inaugural Nebula Award for Best Novel ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 ครั้ง คือ เวอร์ชั่นปี 1984 ของ David Lynch (จำหนอนทรายยักษ์ได้ไหมครับ) และปี 2000 ของ John Harrison นอกจากนี้ DUNE ยังส่งอิทธิพลทั้งต่อนิยาย  ดนตรี ภาพยนตร์  ทีวี เกม และการ์ตูนอีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:29:34

ความคิดเห็นที่ 12 หนอนทรายยักษ์ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:29:53

ความคิดเห็นที่ 13 SLAN God Hand sadomasochist เพศหญิง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:30:28

ความคิดเห็นที่ 14 Slan เป็นชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ของ A. E. van Vogt ชาวแคนาดาในปี 1946 และเป็นชื่อของ “สุดยอดสิ่งมีชีวิต” ในเรื่องด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:30:49

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องย่อ : Slan คือ มนุษย์ที่วิวัฒนาการไปอีกขั้นแล้ว ซึ่งตั้งชื่อตามผู้สร้างคือ Samuel Lann Slan มีความสามารถในการอ่านจิต และมีความฉลาดขั้นสุดยอด ร่างกายแข็งแกร่ง  ความเร็วเป็นเลิศ หากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย Slan จะรักษาอาการเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ Slan มี 2 ประเภท คือ ประเภทที่มี tendrils สามารถอ่านใจของมนุษย์ธรรมดา และสามารถสื่อสารทางโทรจิตกับ Slan อื่นได้  พวกนี้มีร่างกายสีทอง  จึงแยกออกจากมนุษย์ทัวไปได้ง่ายและถูกไล่ล่าจนเกือบสูญพันธุ์ อีกประเภทหนึ่งคือ ที่ไม่มี tendrils  จะไม่มีความสามารถทางโทรจิต  มีแต่ความสามารถในการซ่อนความคิดไม่ให้ Slan พวกแรกอ่านใจได้ ตัวละครสำคัญคือ Kier Gray เป็นผู้นำของมนุษย์ที่ต้องการกำจัด Slan ให้หมดไป เรื่องเริ่มที่ Jommy Cross อายุ 9 ปี (ประเภทแรก) เดินทางเข้าเมืองพร้อมกับมารดา แต่ถูกพบตัว และมารดาถูกสังหาร  Jommy จึงต้องหาทางหนี ให้พ้นการตามล่า นอกจากนี้ Jommy ยังเป็นความหวังสุดท้ายในการรักษาเผ่าพันธุ์ Slan ให้รอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์  ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้ากับ Kier และทำให้ Jommy รู้ความลับว่า Kier คือ Slan เช่นกัน Slan ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ในชื่อ สะแลน มนุษย์อนาคต (Slan) แปลโดย ศุภกร 247 หน้า สนพ.บำรุงสาส์น พิมพ์ 2523 http://www.youtube.com/watch?v=uMODHu76O0U&feature=related จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:31:55

ความคิดเห็นที่ 16 UBIK God Hand แว่นดำ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:32:23

ความคิดเห็นที่ 17 Ubik เป็นชื่อนิยายวิทยาศาสตร์ของ Philip K. Dick ในปี 1969 ในปี 2005 Time magazine ยกย่องให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิยายภาษาอังกฤษ 100 เรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยตีพิมพ์นับตั้งแต่ปี 1923   เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผู้มีพลังจิต (อีกแล้ว) ซึ่งเนื้อเรื่องจะสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์จริง กับเหตุการณ์ในจิต ซึ่งเกี่ยวพันกับอิทธิพลของเทคโนโลยี (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Ubik) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:32:45

ความคิดเห็นที่ 18 Ubik มาจาก ยูบิควิตัส (Ubiquitous) เป็นคำภาษาลาตินมีความหมายว่าทุกหนทุกแห่ง ส่วนเทคโนโลยียูบิควิตัสนั้นมีความหมายถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะ (intelligent technology) เทคโนโลยีการสื่อสารในทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการสื่อสารในรูปแบบใหม่ที่สามารถอำนวยประโยชน์ให้มนุษย์ทำการสื่อสารได้ไม่เพียงแต่กับมนุษย์ด้วยกันเองหากแต่ยังสามารถทำการสื่อสารกับสิ่งของในสภาพแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นฝาผนัง ห้องนอน สินค้า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้นว่า ตู้เย็นฝังไมโครชิปขนาดจิ๋วที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจะบอกกับเราว่ามีของอะไรในตู้เย็นที่ใกล้จะหมดลงและสามารถสั่งของมาเพิ่มได้ทันทีที่ของในตู้เย็นหมด ก็อกน้ำพร้อมจะให้บริการน้ำไหลเพียงแค่นำมือไปรองไว้ใต้ก็อกน้ำ เตาไฟฟ้าสามารถจำแนกภาชนะเครื่องครัวออกจากมือมนุษย์หรือสิ่งของอื่นๆโดยจะเริ่มทำงานเมื่อมีการนำหม้อหรือกะทะไปวางบนเตาและจะหยุดทำงานเมื่อเราวางมือหรือสิ่งของอื่นลงเหนือเตาฯลฯ เริ่องราวที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยี ICT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology)รวมทั้งการพัฒนาระบบการชี้เฉพาะด้วยคลื่นความถี่วิทยุ RFID (RadioFrequency Identification )ที่ปัจจุบันพัฒนาจนมีขนาดเล็กลงกว่าเมล็ดข้าวสามารถแทรกลงระหว่างชั้นของเนื้อกระดาษหรือฝังในเนื้อสัตว์ได้ จึงมีการนำระบบนี้มาใช้กันในงานหลายประเภทเช่น บัตรประจำตัว ฉลากสินค้า บัตรเอทีเอ็มฯลฯ ชิวิตมนุษย์ในโลกยุคใหม่จะผสานกันกับเทคโนโลยีๆจะผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชิวิตมนุษย์โดยที่เราอาจไม่ได้รู้สึกตัวเลย (http://www.stou.ac.th/study/sumrit/6-51(500)/page1-6-51(500).html) ภาพยนตร์อย่าง Blade Runner, Total Recall, A Scanner Darkly ,Minority Report และ Next ก็มาจากผลงานของ Philip K. Dick เช่นกัน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:39:32

ความคิดเห็นที่ 19 CONRAD God Hand แห่งโรคระบาด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:40:00

ความคิดเห็นที่ 20 Conrad มาจาก “...And Call Me Conrad”  ชื่อนิยายเรื่องแรกของ Roger Zelazny  ในปี 1966 เนื้อเรื่อง เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามนิวเคลียร์  โลกเหลือประชากรเพียง 4 ล้านคน  เต็มไปด้วยพวกกลายพันธุ์ และดินแดนส่วนใหญ่ของโลกถูกครอบครองโดยมนุษย์ต่างดาว  ตัวเอก Conrad Nomikos อยู่ตรงกลางระหว่างฝ่ายปฏิวัติที่ต้องการจัดการมนุษย์ต่างดาว กับความรู้สึกที่ว่าต้องปกป้องมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้น  ซึ่งเขาต้องหาคำตอบว่าทำไม (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/...And_Call_Me_Conrad) Zelany เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์และนิยายแฟนตาซีชาวอเมริกัน. เขาเคยได้รับรางวัลเนบิวลาสามครั้ง และรางวัลฮิวโกหกครั้ง ซึ่งสองครั้งในนั้น เป็นนิยายเรื่อง Lord of Light (ค.ศ. 1968) และ ...And Call Me Conrad (ค.ศ. 1966) (ซึ่งภายหลังตีพิมพ์ในชื่อ This Immortal) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:41:31

ความคิดเห็นที่ 21 รางวัลฮิวโก (อังกฤษ: The Hugo Award, Science Fiction Achievement Award) เป็นรางวัลสำหรับนักเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์และแฟนตาซีซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติตามชื่อ ฮิวโก เจิร์นสแบค ผู้ก่อตั้งนิตยสารนิยายไซไฟในยุคแรกๆ คือ Amazing Stories มีการมอบรางวัลครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 รางวัลนี้มีการมอบให้ทุกปี โดย The World Science Fiction Society (WSFS) โดยพิจารณาการเสนอชื่อ และลงคะแนนนิยมในงาน World Science Fiction Convention (Worldcon) ซึ่งสมาชิกจะพิจารณาจากผลงานที่ปรากฏในปีก่อนหน้าที่จะมีงาน ทั้งนี้สมาชิกสามารถเลือก "ไม่ลงคะแนน" ให้กับผลงานใดเลยก็ได้ ในบางปีจึงไม่มีการมอบรางวัลเนื่องจากไม่มีผลงานที่โดดเด่นเพียงพอ ในประเทศไทยก็มีนักเขียนไทยที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโกนี้ คือ คุณสมเถา สุจริตกุล จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:41:56

ความคิดเห็นที่ 22 สมเถา สุจริตกุล เป็นวาทยากร คีตกร นักประพันธ์เพลงคลาสสิค ผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนที่มีชื่อเสียงเป็นสากลคนหนึ่งของเมืองไทย สมเถาเป็นบุตร ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย และนางถ่ายเถา สุจริตกุล มีน้องสาวชื่อเปรมิกา สุจริตกุล โตในหลายประเทศในยุโรป ศึกษามัธยมศึกษาจากวิทยาลัยอีตัน สหราชอาณาจักร แล้วสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เข้าศึกษาวิชาดนตรีควบคู่กับ วรรณคดีอังกฤษ จนสำเร็จปริญญาตรีและโท (เกียรตินิยม) เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิอุปรากรกรุงเทพฯ ด้านดนตรี สมเถาเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิอุปรากรกรุงเทพฯ และคีตกรของวงดุริยางค์สยามฟิลฮาร์โมนิก มีผลงานดนตรีมากมาย ที่ทำชื่อเสียงได้แก่งานประพันธ์บทเพลงในโอเปร่าร่วมสมัย เช่น มัทนพาธา, ไอดา, อโยธยา และ แม่นาก สมเถาใช้นามปากกาว่า SP Somtow ในการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีกลิ่นอายเป็นเอเซีย ผลงานของสมเถาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ และได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมายในต่างประเทศ ผลงานที่สำคัญได้แก่ "มาริสาราตี" Jasmine Nights, Aquilard กับ Absent Thee From Felicity Awhile (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล John W.Campbell และรางวัล Hugo), Starship&Haiku (ได้รับรางวัล Locus Award), เรื่องสั้น The Dust (ได้รับรางวัล Edmund Hamilton Memorial Award ในปี 2525), เรื่องสั้นชุด Inquestor เรื่องศูนย์การค้าในอวกาศ Mallworld, ชุด Aquiiad, นวนิยายเรื่อง Starship&Haiku, รวมเรื่องสั้นชุด Fire From The Wine-Dark Sea, นวนิยายเรื่อง The Darkling Wind (ติดอันดับ Locus Bestseller) นอกจากนี้สมเถายังมีผลงานเขียนแนวอื่น ๆ ได้แก่ นวนิยายสำหรับวัยรุ่นเรื่อง The Fallen Country, Forgetting Places ซึ่งเป็นหนังสือยอดเยี่ยมที่วัยรุ่นนิยมสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา, นวนิยายประเภทเขย่าขวัญ เรื่อง Vampire Junction, นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง The Shattered Horse, เรื่อง The Bird Catcher "เหมือนนกไร้รังเร่"(ได้รับรางวัล World Fantasy Award ปี 2545) ผลงานเขียนของสมเถา สุจริตกุล ฉบับแปลเป็นภาษาไทย ทั้งหมดเป็นฝีมือการแปลของ คุณถ่ายเถา สุจริตกุล คุณแม่ของคุณสมเถาเอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:44:17

ความคิดเห็นที่ 23 สังเกตไหมครับว่า ชื่อ God Hand ทุกตัว มาจากชื่อที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร๋ แต่ ชื่อฝ่ายพระเอก กลับมาจาก ชื่อที่เกี่ยวพันทางศาสนา God Hand เป็น ปิศาจ แต่ Guts เป็นคน แหม้...ช่างลักลั่นย้อนแย้งยิ่งนัก จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:44:40

ความคิดเห็นที่ 24 รูปร่างและเครื่องแต่งกาย / theme ของเหล่า God Hand ได้อิทธิพลมาจากตัว Cenobite ของ Clive Barker ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:44:58

ความคิดเห็นที่ 25 Clive Barker คือใคร? http://www.clivebarker.com/ http://en.wikipedia.org/wiki/Clive_barker Clive Barker เป็นนักเขียน ผู้กำกับ และศิลปินด้าน visual artist ชาวอังกฤษ โดยผลงานของเขาเป็นที่รู้จักในงานด้านสยองขวัญและแฟนตาซี  งานสร้างชื่อของเขาคือภาพยนตร์เรื่อง Hellraiser นั่นเอง ภาพยนตร์ที่เขากำกับ (1973) Salome (1978) The Forbidden (1987) Hellraiser (1990) Nightbreed (1995) Lord of Illusions (2009) Tortured Souls: Animae Damnatae ภาพยนตร์ที่เขาอำนวยการสร้าง (1988) Hellbound: Hellraiser II (1992) Hellraiser III: Hell on Earth (1992) Candyman (1998) Gods and Monsters (2006) The Plague (2008) The Midnight Meat Train (2008) Born (pre-production) (2009) Clive Barker Presents Hellraiser (pre-production) (2009) Dread จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:45:18

ความคิดเห็นที่ 26 KUSHAN จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:45:46

ความคิดเห็นที่ 27 Emperor Ganishka จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:46:21

ความคิดเห็นที่ 28 คือ King Kanishka  / พระเจ้ากนิษกะ  กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรคูชาน ในราชวงศ์กุษาณะ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:47:05

ความคิดเห็นที่ 29 ราชวงศ์กุษาณะ  ประกอบด้วย(http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/dhammathai/buddhism/india/chapter05_3.php.htm) ๑. พระเจ้ากุชุละกัทพิเสส เริ่มพ.ศ.๕๕๘-๖๐๘ รวม ๕๐ ปี ๒. พระเจ้าเวมะกัทพิเสส เริ่มพ.ศ.๖๐๘-๖๒๑ รวม ๑๓ ปี ๓. พระเจ้ากนิษกะมหาราช เริ่มพ.ศ. ๖๒๑-๖๔๔ รวม ๒๓ ปี พ.ศ.๖๒๐ เมื่อกษัตริย์วงศ์กรีก-อินเดียของพระเจ้ามิลินท์เสื่อมลงโดยกษัตริย์วงศ์กรีกองค์สุดท้ายที่ปกครองคันธาระและอินเดียเหนือ นามว่า เฮกมีอุส (Hermaeus) ต่อมาอินเดียก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง ชนชาติในทวีปเอเซียกลางคือพวกสกะและพวกตาต ก็ยกทัพข้ามแม่น้ำสินธุหลายครั้งและเกิดการรบพุ่งหลายครั้งหลายครา พุทธศานาที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็อ่อนแอลง หลังจากนั้นพวกสกะซึ่งเป็นเผ่าเร่ร่อนจากเอเซียกลางก็เข้าโจมตีอินเดียสามารถยึดครองได้สำเร็จ แล้วสถาปนาอาณาจักรใหม่เรียกว่า อาณาจักรกุษาณ (Kusana) พระมหากษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์นี้คือ พระเจ้ากัทพิเสส (King Kadphises) หรือกุชุลกะสะ ชนเผ่านี้นักปราชญ์หลายท่าน สันนิษฐานว่าเป็นพวกเชื้อสายมองโกลผสมกรีก บางตำนานเรียกว่าพวกยูเอจิ (Yuehchi) บางตำนานเรียกพวกสกะ (Sakas) เดิมอาศัยอยู่เอเชียกลางและแถบเตอรกีสถานของจีน (ปัจจุบันเรียกว่า ซินเกียงของจีน) พระเจ้ากัทพิเสส เป็นผู้นำเผ่าสกะที่เข้มแข็งเข้ารุกรานอินเดีย โดยเฉพาะคันธาระ ปัญจาป ตักสิลา โดยเฉพาะในส่วนเหนือ เมื่อมาอยู่ในอินเดียได้คบหากับชาวอินเดีย จึงเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเห็นได้จากการพบเหรียญตราของพระองค์ที่ค้นพบ ณ เมืองตักกศิลาโดยจารึกว่า "กุชุล กสฺส กุสาณ ยวุคส ธรฺมทิทศ" ซึ่งแปลว่า ของพระเจ้ากุชุละ กสะราชาแห่งกุษาณะผู้ดำรงมั่นอยู่ในธรรม จนถึงสมัยพระเจ้ากณิษกะพระนัดดา พระเจ้ากนิษกะ หรือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช (Kanishka) เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งอาณาจักรกุษาณะในเอเชียใต้ ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 2 ทรงมีชื่อเสียงจากความสำเร็จด้านการทหาร การปกครอง และฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังทรงเป็นผู้กำหนดมหาศักราชขึ้นด้วย ที่สำคัญคือ ทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งเปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภ์ของนิกายหินยาน ราชธานีของพระองค์คือเมืองเปษวาร์ในประเทศปากีสถานปัจจุบัน พระเจ้ากนิษกะเป็นนัดดาของพระเจ้ากัทพิเสส ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรกุษาณะ ได้ครองราชย์ในปี พ.ศ. 621 พระองค์มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามากจนได้รับขนานนามว่า "พระเจ้าอโศกองค์ที่ 2" และทรงแผ่อาณาจักรกว้างไกลครอบคลุม คันธาระ แคชเมียร์ สินธุ และมัธยประเทศ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน เติร์กเมนิสถาน และบางส่วนของอินเดีย) ในสมัยนี้พุทธศาสนามหายานแผ่ไปสู่เอเชียกลางและจีนอย่างรวดเร็ว วรรณคดีภาษาสันสกฤตได้เจริญรุ่งเรืองแทนภาษาบาลี พระภิกษุที่มีความรู้ในยุคนี้คือ ท่านปารศวะ ท่านอัศวโฆษ ท่านวสุมิตร เป็นต้น ในด้านการแกะสลักพุทธศิลป์คันธาระ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยพระเจ้ามิลินท์ ก็มีความเจริญอย่างขีดสุดในสมัยพระองค์ พระองค์ทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์วิหารอย่างมากมาย พระเฮี่ยนจังพระสงฆ์ชาวจีนผู้จาริกสู่อินเดียเมื่อราว พ.ศ. 1100 เมื่อจาริกถึงเมืองปุรุษปุระ เมืองหลวงของพระองค์จึงกล่าวว่าพระเจ้ากนิษกะ ทรงสร้างวิหารหลังหนึ่ง ทรงให้นามว่า "กนิษกะมหาวิหาร" แม้ว่าพระวิหารจะทรุดโทรมลงแล้ว แต่พระวิหารมีศิลปะที่งดงามยากที่จะหาที่ใดเหมือน และยังมีพระภิกษุอาศัยอยู่บ้าง ทั้งหมดเป็นพระนิกายหินยานหรือเถรวาท พระเจ้ากนิษกะครองราชย์อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 621 - พ.ศ. 644 รวมระยะเวลา 23 ปี ตามการค้นคว้าในปัจจุบัน เชื่อกันว่าพระพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์เริ่มเกิดมีขึ้นเป็นครั้งแรกในแคว้นคันธารราฐ ในรัชกาลของพระเจ้ากนิษกะ วงศ์กุษาณะ ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ และเป็นฝีมือของช่างกรีก-โรมัน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:47:35

ความคิดเห็นที่ 30 พระเจ้ากนิษกะ ยังได้ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ (The Fourth Council) (http://www.geocities.com/sakyaputto/councils.htm) สาเหตุผลของการสังคายนา : ประสงค์จะบันทึกคัมภีร์ฝ่ายสัพพัตถิกวาท เป็นภาษาสํสกฤต และทำให้พุทธศาสนาแบบมหายานมั่นคง เวลาที่ทำ : ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ โดยมีพระเข้าร่วมกว่า ๕๐๐ รูป สถานที่ทำ : เมืองชาลันธร แคว้นกัสมีระ ตอนเหนือของประเทศอินเดีย การสังคายนาครั้งนี้ เนื่องจากเป็นครั้งแรกของฝ่ายมหายานจึงมีผล ดังนี้ :- ๑. มีการเขียนคำอธิบายพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาเป็นภาษาสํสกฤตปิฎกละ ๑๐๐,๐๐๐ โศลก โดย ความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ และการแนะนำของพระปารศวะมหาเถระ ๒. มีการประสานความคิดระหว่างนิกายต่างๆ ทั้ง ๑๘ นิกายแล้วจารึกอักษรคัมภีร์ทางศาสนาเป็นสํสกฤต ครั้งแรก ปรากฏว่าหลวงจีนยวนฉ่าง ได้กล่าวถึงการสังคายนาครั้งนี้ว่าได้มีการจารึกพระธรรมลงแผ่นทองเหลือง และเก็บไว้ในหีบทำด้วยศิลา เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นอันดีในพระเจดีย์แม้ว่าทางฝ่ายเถรวาทจะไม่บันทึกถึงการสังคายนาครั้งนี้ แต่ประวัติศาสตร์โดยทั่วไปก็จารึกไว้ จึงเป็นสังคายนาที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่พุทธศาสนิกฝ่ายอุตรนิกาย ๔. พระเจ้าวาสิฎฐกะ เริ่มพ.ศ. ๖๔๔-๖๖๗ รวม ๒๓ ปี ๕. พระเจ้าหุวิชกะ เริ่มพ.ศ. ๖๖๗-๖๙๐ รวม ๒๓ ปี ๖. พระเจ้ากนิษกะที่ ๒ เริ่มพ.ศ. ๖๙๐-๗๐๒ รวม ๑๒ ปี ๗. พระเจ้าวาสุเทวะที่ ๑ เริ่มพ.ศ. ๗๐๒-๗๑๙ รวม ๑๗ ปี ๘. พระเจ้าพระเจ้ากนิษกะที่ ๓ เริ่มพ.ศ.๗๑๙ - (ไม่อาจระบุเวลา) ๙. พระเจ้าวาสุเทวะที่ ๒ (ไม่อาจระบุเวลา) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:47:58

ความคิดเห็นที่ 31 อาณาจักรคูชาน (Kushan) ในศตวรรษที่ 1-3 ซึ่งคลุมเนื้อที่บริเวณซึ่งปัจจุบันเป็น อินเดียตอนเหนือ ปากีสถานและอัฟกานิสถาน อาณาจักรนี้นับถือพระพุทธศาสนา อาณาจักรนี้ตรงกับสมัยคริสเตียนยุคต้นๆ ต่อมาอิทธิพล ของอาณาจักรคูชาน (Kushan) เริ่มเสื่อมถอย ในศตวรรตที่ 4 พวกคูชานชา (Kushansha) ก็เข้ามามีบทบาท นอกจากนี้ก็มีพวกเฮปทาไลท์ (Hephthalites) หรือที่รู้จักกันคือพวกฮั่น (White Huns) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เร่ร่อนบริเวณเอเชียกลาง เข้ามามีอิทธิพลแทนในราวศตวรรตที่ 5 กลุ่มนี้อยู่กระจัดกระจายจากปากีสถาน อัฟกานิสถานรวมไปจนถึงภาคคะวันตกของจีน ( ซินเกียง ) หลังจากนั้นประมาณ ห้าร้อยปีกว่า พวกเติร์ก (Turks) ก็เข้ามามีอิทธิพลแทน ในปีคริสศตวรรษที่ 975 ถึง 1187 ก็มีกลุ่มใหม่ที่มาจากตะวันออกกลาง เป็นอาณาจักรทื่เรียกว่ากาสนาวิด (Ghaznavid Empire) ซึ่งเป็นพวก มุสลิมนิกายซุนี (Sunni Muslim) เข้ามาปกครองแถบนี้ อาณาจักรนี้ ปกครองครอบคลุมตะวันออกกลาง, เปอร์เซีย, อัฟกานิสถาน และอินเดียตอนเหนือ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:48:16

ความคิดเห็นที่ 32 ดูสิครับ  เอาอีกแล้ว “....พระเจ้ากนิษกะทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งเปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราช...”  แต่เอามาเขียนเป็น “สาวกผู้ยิ่งใหญ่” ซะยังงั้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:48:30

ความคิดเห็นที่ 33 SILAT จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:49:11

ความคิดเห็นที่ 34 SILAT เป็นชื่อของ Pancak Silat หรือ ปันจักสิละ  ศิลปะการป้องกันตัวนั่นเอง (http://www.pencaksilatthailand.com/about%20us.htm) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:49:36

ความคิดเห็นที่ 35 สิละ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวในอดีตที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชนชาวมลายูพื้นที่เอเซียอาคเนย์ รวมทั้งชาวไทยในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 30 ประเทศ สิละ เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เน้นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม ประหนึ่งการแหวกว่ายของมัจฉาขณะต่อสู้กับปกปักษ์ หรือ เสมือนหนึ่งการเคลื่อนไหวของดอกอินทนิน ซึ่งลอยอยู่บนระลอกคลื่นคอยหาจังหวะประชิดตัว ใช้มือหรือเท้าเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่าง รวดเร็ว ปานสายฟ้าแลบ ท่ามกลางการโหมกระชั้นของจังหวะดนตรี สิละ เป็นตำนานการต่อสู้ของชาวหมู่เกาะสุมาตรา มากกว่า 400 ปี มีเรื่องเล่าขานสิบต่อกันมาว่า สมัยหนึ่งสามสหายเชื้อสาย สุมาตราได้ไปศึกษาวิทยายุทธขณะที่อยู่ในสำนักวิทยายุทธนั้นสหายคนหนึ่งชื่อ ฮามินนุดดิน ได้สังเกตุเห็นลีลาการเคลื่อนไหวของดอก บอเมอร์ หรือดอกอินทนิน ที่หล่นลงไปท่ามกลางสระน้ำตก มีระลอกคลื่นหมุนเวียนทำให้ดอกบอมอร์ลอยกลับไปกลับมาประหนึ่งมีชีวิต ฮามินนุดดิน จึงได้นำลีลาลอยของดอกบอมอร์มาประยุกต์สอนร่ายรำให้แก่เพื่อน และช่วยกันคิดวิธีเคลื่อนไหวของแขนขา เพื่อป้องกัน ฝ่ายศัตรูถ่ายทอดเป็นวิชาสีละ สืบต่อกันมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:49:54

ความคิดเห็นที่ 36 ตัวละคร SIlat  แม้ชื่อตัวเองจะเป็นศิลปะป้องกันตัวอยู่แล้ว แต่กลับใช้วิชาที่เรียกว่า ศิลปะการต่อสู้ แบบ Kalarippayattu   ว่ากันว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่ที่สุดวิชาหนึ่งของโลก (อาจเป็นต้นกำเนิดของกังฟูด้วยซ้ำ)   เป็นศิลปะการต่อสู้ชองชาว Dravidian ทางตอนใต้ของอินเดีย ที่ใช้ความอ่อนตัวของร่างกาย kalari  แปลว่า กายกรรม payattu  แปลว่า การต่อสู้ / การใช้กำลัง เป็นที่นิยมในอินเดีย  ศรีลังกา และบางส่วนของมาเลเซีย สัมภาษณ์อาจารย์ http://www.youtube.com/watch?v=6sh7x3-VXh0 วิธีฝึก http://www.youtube.com/watch?v=ztsUSsfQYe0&NR=1&feature=fvwp (ZAFINA นักสู้สาวใน Tekken6 ก็ใช้วิชานี้ครับ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:51:10

ความคิดเห็นที่ 37 การใช้อาวุธ http://www.youtube.com/watch?v=Mbz8UdVcjNc&feature=related จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:51:25

ความคิดเห็นที่ 38 อาวุธที่ Silat ใช้ในเรื่องได้แก่ Chakram (มีดวงแหวน) Katar (ขอเรียกว่า สนับมีด) Urumi (ขอเรียกว่า แส้ดาบ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:51:46

ความคิดเห็นที่ 39 TAPASA Bodyguard ของ Silat จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:52:36

ความคิดเห็นที่ 40 มาจาก TAPAS หรือ ตบะ ตบะ แปลว่า ความเพียรอันเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส ตบะ ในที่ทั่วไปหมายถึงการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้กิเลสเบาบางหดเหี้ยนหมดไป ด้วยการทำพิธีกรรม หรือด้วยการทรมานกายแบบต่างๆ เช่นบูชาไฟ ยืนขาเดียว ทาตัวด้วยฝุ่น เป็นต้น เรียกว่าบำเพ็ญตบะ เรียกผู้บำเพ็ญตบะว่า ดาบส ซึ่งแปลว่า ผู้บำเพ็ญตบะคือเผาผลาญกิเลส ตบะ ในพระพุทธศาสนาใช้หมายถึงธรรมต่างๆ ที่มุ่งกำจัดเผาผลาญอกุศลวิตก (ความตรึกที่เป็นบาปอกุศล)เป็นหลัก เช่น ปธาน (ความเพียร) ขันติ (ความอดทน) ศีล (การรักษากายวาจา) อุโบสถกรรม (การรักษาอุโบสถศีล) การเล่าเรียนปริยัติ การถือธุดงค์ การบำเพ็ญสมณธรรม และเรียกการประพฤติปฏิบัติธรรมเหล่านี้ว่า บำเพ็ญตบะ เช่นกัน ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้ ๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลง ติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖ (อินทรีย์สังวร) ๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง ๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:53:04

ความคิดเห็นที่ 41 BAKIRAKA จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:53:25

ความคิดเห็นที่ 42 น่าจะมาจาก Barakah Barakah / Baraka‎ เป็นภาษาอารบิก หมายถึง การอวยพร / พรจากพระเจ้า Barakah เป็นชื่อของ Al-Said Barakah สุลต่านที่ปกครองอียิปต์ในช่วง 1277 -1279 Barakah ยังเป็นที่มาของชื่อ Barack Obama อีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:55:01

ความคิดเห็นที่ 43 DAIVA THE PARAMILITIA SENAAII จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:55:19

ความคิดเห็นที่ 44 Daiva = Daeva = เทวา นั่นเอง เมื่อ Daiva เห็นเศษผ้าคลุมของกัซ แล้วพูดออกมาว่า “โดลกา” สนพ. แปลว่า “เทพคลั่ง” ซึ่งผมคิดว่า “ไม่เหมาะ” ครับ เนื่องจาก โดลกา = Durga  ความหมายทางฮินดู หมายถึง มหาเทพเทวี Durga (the Goddess Durga)   หรือ พระแม่ทุรคา หรือ พระแม่ทุรกา   ดังนั้น น่าจะใช้คำว่า “มหาเทพ” มากกว่า http://www.siamganesh.com/durga.html จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:55:57

ความคิดเห็นที่ 45 พระแม่ทุรคา เป็นอีกปางหนึ่งของ พระแม่อุมาเทวี ที่อวตารมาปราบอสูรชื่อ มหิษาสูร นับว่าเป็นปางที่สำคัญและยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าปาง พระแม่กาลี มีความเหี้ยมหาญ แข็งแกร่ง มีพละกำลังมาก แต่ไม่ดุร้ายน่ากลัวเท่ากับปางพระแม่กาลี เมื่อบูชาพระแม่ทุรคาอย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะประทานพรด้านความกล้าหาญ ชนะศัตรูรอบทิศ การมีบริวาร มีความยุติธรรม ตลอดจนการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง วิธีแยกความแตกต่างระหว่าง พระแม่อุมา กับ พระแม่ทุรคา พระแม่อุมาเทวี กับ พระแม่ทุรคาเทวี มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทำให้มีผู้สับสน เข้าใจผิด หรือมองสลับกันเสมอๆ โดยเฉพาะในงานภาพเขียน รูปบูชาของอินเดีย มักจะมีการวาดให้คล้ายๆกัน จึงขอแนะนำข้อสังเกตเบื้องต้นง่ายๆ ดังนี้ - พระแม่อุมา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ เสือ (ส่วนน้อยจะเป็นสิงโต) - พระแม่ทุรคา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ สิงโต (ส่วนน้อยจะทรงพาหนะเสือ) แต่ถ้าหากในรูปภาพนั้นไม่ได้ทรงพาหนะใดๆ ให้สังเกตที่ พระกร-พระหัตถ์ (แขนและมือ) ที่ทรง ศาสตราวุธ (อาวุธ) ดังนี้ - พระแม่อุมา มักมี 4-8 พระกร หากปรากฎคู่กับพระศิวะไม่ค่อยมีศาสตราวุธใดๆ จะเป็นลักษณะประทานพรหรืออุ้มพระพิฆเนศและพระขันทกุมาร - พระแม่ทุรคา มักมีมากกว่า 8,10,12,16 พระกรขึ้นไป ทรงศาสตราวุธครบถ้วน และมักจะมีอสูรที่ชื่อ มหิษาสูร ที่กำลังถูกพระแม่ทุรคาใช้ ตรีศูล (อาวุธสามง่าม) หรือ ดาบ แทงอยู่ด้วย จิตรกรไม่นิยมวาดให้พระทุรคาปรากฎคู่กับพระศิวะ 3 ปางสำคัญแห่งพระแม่ปารวตี (อุมาเทวี) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:56:23

ความคิดเห็นที่ 46 สำหรับคำอ่านชื่อของพวก Kushan ชื่อหน้าคือ ภาษาสันสกฤต ในวงเล็บคือ คำอ่านในการ์ตูนครับ Kushan = กุษาณ (คูชาน) Ganishka = กนิษกะ (กนิชกะ) Silat = ศิรัต (ชีรัท) Rakshasa =  รากษส (รัคชาส) DAIVA THE PARAMILITIA SENAAII = ปรมฤษี สัญญาณิเทวะ (บารามาริชา เซนยานีไดบา) Pishacha  = ปิศาจ ( บิชาจา)  แปลในการ์ตูนว่า ทหารสัตว์อสูร Makara = มกร (มาคาล่า) หรือก็คือมังกรนั่นแหละครับ แต่เป็นมังกรแบบดั้งเดิมแบบฮินดูแบบที่เป็นพาหนะให้พระพิรุณในตำนานของฮินดู ในภาษาบาลี คำว่ามังกรแปลว่า "ผู้ส่ายปากในการจับสัตว์" ซึ่งบางครั้งในภาษาสันสกฤตหมายถึงจระเข้ได้ด้วย  แปลในการ์ตูนว่า ช้างทะเล แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 19:57:37 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:57:09

ความคิดเห็นที่ 47 Makara จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:58:56

ความคิดเห็นที่ 48 Dhaka = ทาคะ (ดากะ) นักบวชชายในนิกายตันตระที่ทำหน้าที่ส่งวิญญาณให้กับผู้ตาย ถ้าเป็นผู้หญิงเรียกว่าทาคินี กล่าวกันว่ามีมนตราที่ร้ายกาจมาก แปลในการ์ตูนว่า ทหารอสูร ที่มา: http://74.125.153.132/search?q=cache:X-iv5B6wAfEJ:fantastica.exteen.com/20071208/berserk+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E2%80%8B+%E2%80%8B%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B0&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 19:59:23

ความคิดเห็นที่ 49 สาวก / สมาชิกกองพันเหยี่ยวใหม่ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:02:33

ความคิดเห็นที่ 50   มีสาระแบบนี้ขอปาดนิดนึง^^ จากคุณ : Sabara เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:24:04

ความคิดเห็นที่ 51 เช่นเคย กิ๊ฟ + เซฟ + โหวต จากคุณ : i am tabo เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:37:13

ความคิดเห็นที่ 52 ผมนึกว่า กานิชกะ มาจาก คเณช ซะอีก ^^ ... จากคุณ : ~cenobite+ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:41:35

ความคิดเห็นที่ 53 ZODD / Nosferatu Zodd จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:44:17

ความคิดเห็นที่ 54 Nosferatu เป็นคำที่มาจากภาษาโรมาเนีย (Romanian) มีความหมายเดียวกันกับคำว่า Vampire แต่ที่มายังไม่แน่ชัดว่า Nosferatu นั้นมีความหมายใช้แทน Vampire ตั้งแต่เมื่อไหร่  อย่างไรก็ตาม คำนี้เป็นที่แพร่หลายจากนิยายของ Bram Stoker ในปี 1897 ที่มีชื่อว่า Dracula Stoker เชื่อว่า Nosferatu แปลว่า "not dead" ในภาษาโรมาเนีย และตั้งใจให้มีความหมายว่า undead คำว่า Nosferatu  หากแปลตามรากศัพท์โรมาเนียแล้ว แปลได้ว่า  "the devil" และ "the insufferable one" และหากแปลตามความหายของภาษากลุ่ม Transylvanian-gypsy จะได้ว่า nos - "he is" fen  - "man" ratti - "of blood" จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:44:56

ความคิดเห็นที่ 55 Nosferatu กับภาพยนตร์ Nosferatu, eine Symphonie des Grauens Nosferatu: A Symphony of Horror Nosferatu: A Symphony of Terror Nosferatu ชื่อข้างต้น คือ ชื่อ ภาพยนตร์แวมไพร์สัญชาติเยอรมัน ของ F. W. Murnau ในปี 1922  นำแสดงโดย Max Schreck  ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Dracula ของ Bram Stoker โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต  ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อไม่ให้ตรงกับนิยาย โดยเปลี่ยน "vampire" เป็น "Nosferatu" และ "Count Dracula" เป็น "Count Orlok" จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:45:23

ความคิดเห็นที่ 56 Count Orlok จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:46:23

ความคิดเห็นที่ 57 ส่วน Zod เป็นชื่อของ General Zod (DC Comics) ศัตรูที่โด่งดังที่สุดตัวหนึ่งของ Superman  ปรากฏตัวครั้งแรกใน Adventure Comics #283 (เมษายน 1961), สร้างสรรโดย Robert Bernstein และ George Papp General Zod หรือ Dru-Zod เป็นชาวดาวคริปตัน และมีพลังเช่นเดียวกับ Superman (ผมไม่ขอเล่ารายละเอียดนะครับ เพราะจักรวาลการ์ตูนฝรั่งมันง๊ง-งง) ปี 2009 นี้ General Zod ถูกจัดอันดับอยู่ที่ ลำดับ 30 ของ ตัวร้ายตลอดกาล http://www.youtube.com/watch?v=PWrgZjhlpIQ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:47:33

ความคิดเห็นที่ 58 GRUNBELD จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:48:01

ความคิดเห็นที่ 59 น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Baron Simon Grundel-Helmfelt (1617–1677) จอมพลชาวสวีเดน เข้าร่วมรบในสงคราม 30ปี ในปี 1641 แบะสร้างชื่อให้กับตนเองจากการรบ ณ Breitenfeld ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินในปี 1646 และเปลี่ยนชื่อจาก Grundel  เป็น Grundel-Helmfelt ดำรงยศพันเอกหน่วยทหารปืนใหญ่ในปี 1649  และเป็นนายพล คุมทหารราบในปี 1655 ได้รับการแต่งตั้งเป็น Governor มือง Riga (เมืองหลวงของแลตเวีย) ในปี 1656 และในปีนั้น เขาสามารถต้านทานการบุกของ tsar Alexej ที่มีกองทัพถึง 90,000 นาย ต่อมาได้เป็น Governor-General ของเมือง Ingria (พื้นที่แถบตะวันออกของทะเลบอลติก) ในปี 1659. เขากลับมายัง Stockholm ในปี 1676 และได้เป็น Commander in chief ของกองทัพสวีเดน ในช่วงสงคราม Scanian War   Helmfelt มีชื่อเสียงจากความสามารถในการรบที่สามารถเอาชนะข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าได้ อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิตในการรบที่ Landskrona ในปี 1677 http://www.youtube.com/watch?v=kOWiEJ7Q2jQ&feature=related จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:48:28

ความคิดเห็นที่ 60 RAKSHASA จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:48:58

ความคิดเห็นที่ 61 Rakshas คือ ปิศาจ หรือวิญญาณร้าย ในตำนานของฮินดูและพุทธ หรือ รากษส หรือ ยักษ์ร้าย ยักษ์เลว ผีเสื้อยักษ์ รากษส จึงเป็นยักษ์พวกหนึ่งนั่นเอง บางแห่งว่า รากษสนั้น พระพรหมได้สร้างขึ้นให้รักษาท้องน้ำ ในลิลิตนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ทรงอธิบายเรื่องรากษสไว้ ว่า " เกศินีรากษสี ผุ้เป็นมเหสีพระวิศระวัส เป็นมารดาของทศกัณฑ์" และทรงอธบายต่อไปว่า นครลงกาของทศกัณฑ์ นั้นแต่เดิมมาพระวิศวกรรมเป้นผู้สร้างให้พวกรากษสอยู่ ภายหลังพวกรากษสได้ทิ้งร้างไป พวกต้นตระกูลของทศกัณฑ์จึงได้เข้าไปยึดครองแทน พวกรากษสได้ไปตั้งถิ่นฐานอยุ่ที่อื่น นี่ก็แสดงว่า เดิมพวกรากษสก็คือพวกที่อยู่ตามน้ำนั้นเอง อย่างเช่น นางผีเสื้อสมุทรตัวหนึ่งของสุนทรภู่ ก็คงจะเป็นรากษสนั่นเอง ในชาดกทางพุทธศาสนา มีอยู่หลายเรื่องที่กล่าวถึงรากษสว่า เป็น ยักษ์อาศัยอยู่ในน้ำ เช่น สระ เป็นต้น ใครเผลอลงไปก็ถูกพวกรากษสจับกินเสีย (รายละเอียดเพิ่มเติม ตาม Mr.Terran ไปเลยครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8167026/X8167026.html) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:49:57

ความคิดเห็นที่ 62 MOZGUS จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:50:27

ความคิดเห็นที่ 63 น่าจะเพี้ยนมาจาก Morgus the Magnificent หรือ Momus Alexander Morgus เป็นตัวละครในละครทางโทรทัศน์ ของอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 1950-1980  โดยทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ โดยมีบุคลิกแบบ “นักวิทยาศาสตร์บ้า” จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:51:20

ความคิดเห็นที่ 64 สำหรับภาคตัวร้ายก็หมดเท่านี้ครับ หากท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติม ก็เสริมเข้ามาได้เลยนะครับ พบกันใหม่ ในภาคเสริมครับ .......................... สวัสดีครับ คุณ bigwores / คุณ Sabara / คุณ i am tabo / คุณ ~cenobite+ (ตัวจริงมาเองเลย เหอะๆ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 20:56:26 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 20:53:21

ความคิดเห็นที่ 65 สุดยอดเลย โพสก่อน ไว้ตามอ่านให้หมดทีหลัง จากคุณ : totetote เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 21:04:14

ความคิดเห็นที่ 66 BERSERK นี่การ์ตูนในอุดมคติเลยค่ะ ขอบคุณ จขกท.มากมาย -/\- จากคุณ : i am tabo เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 21:05:01

ความคิดเห็นที่ 67 ปาด TAPAS น่าจะหมายถึงดาบส ดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตบะคือเผากิเลส, ผู้บำเพ็ญพรตเพื่อเผากิเลส ได้แก่ ฤษี ถ้าเป็นสตรี ใช้ว่า ดาบสินี เช่น อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ทีุ่เคยเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า (ข้อมูลจาก wiki) ชื่อพวกก็อดแฮนด์มาจากนิยายวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับโลกอนาคต หรือว่าเบอร์เซิร์กจริงๆแล้วเป็นการ์ตูนไซไฟ ก็อดแฮนด์เป็นคนจากอนาคตที่เข้ามาแทรกแซงโลกในอดีต ปีศาจในเรื่องเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม เวทย์มนต์ในเรื่องคือการใช้นาโนแมชชีน จากคุณ : Nocturne เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 21:10:21

ความคิดเห็นที่ 68 ^ ^ เหอะๆ ถ้ากลายเป็น Sci-fi จริงนี่ หงายหลังตึงกันทั่วโลกแน่ครับ (>_<)b .......................... สวัสดีครับ คุณ totetote คุณ i am tabo ...แหะๆ ไม่เป็นไรครับ ผมก็ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน (^_^)v จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 21:16:56

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : CrazyMc เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 22:00:21

ความคิดเห็นที่ 70 DAIVA THE PARAMILITIA SENAAII = ปรมฤษี สัญญาณิเทวะ (บารามาริชา เซนยานีไดบา) ผมเคยอ่านเป็น ปารมิตา เสนานี แต่ผมชอบคำแปลบาลีสันสกฤต ของคุณ blame me มากๆ นับถือๆ เห็น backgorund ที่เอามาลง ตกลงนี่มัน manga หรือมหากาพย์กันแน่ หุๆ จากคุณ : จาน ชาม ช้อน ส้อม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 22:34:03

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณครับ ให้ใจไปแล้วน้า จากคุณ : soulmachine เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 22:59:58

ความคิดเห็นที่ 72   จะติดตามภาคเสริม^^ จากคุณ : Sabara เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 23:18:41

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ รอภาคเสริมอยู่นะครับ จากคุณ : BERSERK_KIT เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 23:32:01

ความคิดเห็นที่ 74 สุดยอดมากครับ จากคุณ : zars เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 00:16:00

ความคิดเห็นที่ 75 ีรอภาคเสริมเหมือนกันค่ะ มันเป็นมากกว่าการ์ตูนอีกนะเเนี่ย (ที่จริงรู้สึกตั้งนานแล้วแหละ 555+) จากคุณ : Matriarchal Miaw เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 00:59:13

ความคิดเห็นที่ 76 เยี่ยม ขอบคุณมากครับ จากคุณ : buddhi เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 01:40:03

ความคิดเห็นที่ 77 แม่จ้าว ละเอียดยิบ กิฟท์ โหวต จากคุณ : knine2five เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 08:06:15

ความคิดเห็นที่ 78 วิชาการ เต็มพิกัด จากคุณ : Sniperboy2002 เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 08:45:52

ความคิดเห็นที่ 79 ข้อมูลสุดยอดเลยครับ จากคุณ : SamuDi Knight เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 11:05:06

ความคิดเห็นที่ 80 สุดยอดดดด จากคุณ : ตัวตลกจมูกแดง เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 12:32:47

ความคิดเห็นที่ 81 สุดยอด ค้นคว้าจริง ๆ ครับ จากคุณ : Labura เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 13:24:08

ความคิดเห็นที่ 82 รายละเอียดน่ากลัวมาก เอาไป 1 จึ๊ก จากคุณ : Story of Winter เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 14:03:07

ความคิดเห็นที่ 83 การตูนไม่ได้สักแต่ว่าเขียนจริงๆ นะนี่ ทั้งคนเขียนคนอ่าน ต้องหาข้อมุลพอๆ กัน ถึงจะเสพย์ได้ถึงแก่น~ จากคุณ : Reko-J เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 14:20:45

ความคิดเห็นที่ 84 หนุกๆๆ  ตอนแรกนึกว่าเค้าตั้งชื่อมั่วๆนะเนี่ย จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 15:46:59

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลดี ๆ   กิฟท์+โหวต+เซฟ จากคุณ : starlight_da-o เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 16:50:49

ความคิดเห็นที่ 86 กิฟ + โหวดครับ อ่านเพลินดีจริงๆ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : RadiorA เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 16:58:10

ความคิดเห็นที่ 87 เจ๋งมากๆๆครับ จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 17:09:51

ความคิดเห็นที่ 88   ขอบคุณคร้าบ ชอบเรื่องนี้ที่สุด จากคุณ : ilovemanga เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 19:31:27 A:115.67.251.143 X: TicketID:225795

ความคิดเห็นที่ 89 เข้ามาลงชื่อวุ้ย จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 19:34:31

ความคิดเห็นที่ 90 อะโห มีสาระจริงๆ ว่าแต่เรื่องนี้เมื่อไหร่จบเนี่ย จากคุณ : จอมยุทธหญิง (magarita30) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 19:45:58

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณทุกท่านมากครับ (^_^)  สำหรับแรงใจ โปรดอดใจรอภาคเสริม เร็วๆนี้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 22:18:42

ความคิดเห็นที่ 92   ตามมาจากกระทู้ที่แล้ว สุดยอดไปเลย~~~ จากคุณ : Balthazar เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 23:07:58

ความคิดเห็นที่ 93   การ์ตูนนี้ขั้นเมพ สุดๆเลยอ่า ตอนเราอ่านตอนที่นางเอกโดนใครที่ข่มขืนอ่ะ แล้วเป็นบ้าไป (giffithข่มขืนป่าวพอดีอ่านนานแล้ว) สุโค่ยยยยยย มากมาย ทั้งจิตใจเบื้องลึก หน้าตาตัวละคร แบบ มันสื่อออกมาผ่านลายเส้นตัวการ์ตูนได้แจ่มจำรัสมากเลย กระทุ้นี้อยุ่ยาวๆนะ สู้ๆ มดแดงblame me ปูเสื่อรอต่อ จากคุณ : biLLy_JeaN_E เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 23:08:34

ความคิดเห็นที่ 94 god hand ที่มาsci fi ไปรึป่าวครับเนี่ย จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 01:49:36

ความคิดเห็นที่ 95 ติดตามอย่างใกล้ชิด จากคุณ : iCannabiz เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 02:25:32

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณครับ จากคุณ : โควี เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 05:31:50

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณมากที่เอามานำเสนอครับ อ่านรวดเดียวปวดตามากมาย จากคุณ : สภาพไร้รักที่หนึ่งจุดศูนย์ เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 07:16:23

ความคิดเห็นที่ 98 สุดยอดในด้านการหาข้อมูลกับภาษาจริงๆครับ เอากิฟท์ผมไปมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในกระทู้เดียวเลย ที่ยังหายไป ก็เป็นพวก เออร์ไวน์ นักธนู กับ โลคุส อัศวิน ....  จขกท จะมาต่อให้ในอีกไม่นานใช่ไหมครับ เหอๆ จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 09:05:02

ความคิดเห็นที่ 99 อ่านแล้วรู้สึกคนเขียนทำการบ้านมาไม่น้อย กว่าจะเีขียนเรื่องและสรรหาชื่อตัวละครในเรื่อง ขอบคุณคับ จากคุณ : หงส์น้อยแซ่เล็ก เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 09:12:58

ความคิดเห็นที่ 100   ผมได้ตามอ่านมาหลายกระทู้แล้ว ชื่นชอบในเนื้อหา และชื่มชมในความพยายาม และไมตรีจิตที่ท่าน Blame me หยิบยื่นให้เพื่อเป็นวิทยาทานประดับความรู้ แต่ผมก็อยากทราบว่า เรื่องที่ลงมาทั้งหมดนี้ได้สอบถามกับทางผู้แต่งล้วน ๆ หรือไม่ หรือค้นหาข้อมูลมาบางส่วนเพื่อมาอธิบายประกอบเสริม จากคุณ : garnet19th เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 10:30:41

ความคิดเห็นที่ 101 รอติดตามตอนต่อไปครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ เจ้าของกระทู้ขยันค้นคว้าดีจัง จากคุณ : kruto เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 10:49:15

ความคิดเห็นที่ 102 มาลงชื่อไว้ครับ จากคุณ : sassathx เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 10:57:26

ความคิดเห็นที่ 103 สวัสดีครับ คุณ garnet19th......สำหรับที่มาทั้งหลาย ผมไม่ได้ติดต่อกับผู้เขียนครับ แต่อาศัยค้นจาก fansite ต่างๆ ที่ช่วยกันวิเคราะห์น่ะครับ แล้วก็เอามาเทียบกับข้อมูลจริงดูอีกทีว่า "มันน่าจะเป็นไปได้" มากแค่ไหนครับ แต่ข้อจำกัดของผมที่สำคัญคือ อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกครับ (>_<) เลยทำให้ต้องอาศัยข้อมูลภาษาอังกฤษเท่านั้น ขอบคุณที่ติดตามครับ (^_^)b .............................. สำหรับชื่อตัวละครอื่นๆที่ไม่ได้ลง เนื่องจาก มีที่มาที่ไม่ชัดเจนครับ (ไม่อาจฟันธงลงไปได้) และบางชื่อ ก็เป็นแค่ ชื่อที่ตั้งขึ้นมาเฉยๆ ดังนั้น ตัวละครคงไม่ครบนะครับ ต้องขออภัยด้วย แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 52 11:48:49 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 11:30:40

ความคิดเห็นที่ 104 สุดยอดครับ เอากิฟไป จากคุณ : ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 12:34:28

ความคิดเห็นที่ 105 ทำเอาเครียด จากคุณ : โครโมโซม X เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 52 13:18:46