ความคิดเห็นที่ 1 Emperor Gaiseric ลุงหัวกะโหลก นั่นเองครับ (แปะๆๆ ปรบมือต้อนรับ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:04:16

ความคิดเห็นที่ 2 ลุงหัวกะโหลก = King Gaiseric (389-477) ผู้ซึ่งปกครอง อาณาจักร Vandals ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 5 (428–477) (สามารถสะกดชื่อได้หลายแบบ ได้แก่ Genseric / Gaiseric / Geiseric) เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัญหาในจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในช่วงศตวรรษที่ 5 และสามารถนำเผ่า Germanic (ที่ในขณะนั้นยังเป็นแค่ชนเผ่า no name) กลายเป็นมหาอำนาจในแถว Mediterranean แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิต อาณาจักรของเขาก็ล่มสลายตามลงไป จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:05:24

ความคิดเห็นที่ 3 อาณาจักร Vandals ก็คืออาณาจักรวินดั้มในการ์ตูน Vandals คืออะไร? Vandals คือ ชนเผ่า East Germanic  ที่เข้ามามีบทบาทในสู่จักรวรรดิโรมัน (ตอนปลาย) ช่วงศตวรรษที่ 5         ทั้งนี้ กษัตริย์ชาว Goth-พระเจ้า Theodoric (The Goth Theodoric the Great) กษัตริย์ของพวก Ostrogoths และผู้สำเร็จราชการของพวก Visigoths ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Vandals โดยการแต่งงาน  รวมทั้งเป็นพันธมิตรกับพวก Burgundians และ Franks ภายใต้การปกครองของพระเจ้า Clovis I แม้ Vandals จะมีชื่อเสียงจากการโจมตีกรุงโรมในปี 455 (และสร้างความเสียหายไม่มากนัก)  แต่ชื่อ Vandals กลับถูกจดจำและใช้คำว่า Vandal ในความหมายของการ “โจมตีที่ไร้เหตุผล” โดยเฉพาะการทำลายสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและมีคุณค่า Vandalism : [N] การทำลายทรัพย์สินโดยเฉพาะของรัฐอย่างไร้เหตุผล, Syn. barbarism, destruction, sabogate, Ant. protection; preservation; replacement จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:06:07

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจาก Geiseric เสียชีวิต อาณาจักรแวนดัลก็เริ่มเสื่อมถอยลง จนจักรพรรดิ Justinian ที่ 1 แห่งอาณาจักร Byzantine ส่งกองทัพเข้ารุกราน นำโดย Belisarius และสามารถยึดเมือง Carthage ได้ จากการพ่ายแพ้นั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของอาณาจักรแวนดัลในเวลาต่อมา (534) กษัตริย์ที่ปกครอง Vandals ได้แก่ 1. Wisimar (d.335) 2. Godigisel (359–406) 3. Gunderic (407–428) 4. Geiseric (428–477) 5. Huneric (477–484) 6. Gunthamund (484–496) 7. Thrasamund (496–523) 8. Hilderic (523–530) 9. Gelimer (530–534) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:07:10

ความคิดเห็นที่ 5 กลับมาที่ลุงหัวกะโหลกต่อครับ Gaiseric แปลว่า "spear-king" เป็นบุตรนอกกฎหมายของ กษัตริย์ King Godigisel  ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา  เขาก็กลายเป็นบคุลที่มี่อำนาจมากที่สุดเป็นอันดับสองของ Vandals รองจากกษัตริย์พระองค์ใหม่นาม Gunderic จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:07:35

ความคิดเห็นที่ 6 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของ Gunderic ในปี 428  Gaiseric ก็ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ และเริ่มหาหนทางขยายอำนาจและความมั่งคั่งของประชากรโดยทันที  อย่างไรก็ตาม Vandals ถูกคุกคามอย่างหนักจากพวกVisigoths ทำให้ต้องละทิ้งถิ่นฐานบริเวณตอนใต้ของสเปน และเริ่มสร้างกองทัพ Vandals ขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้น Gaiseric ฉวยโอกาสจากการขัดแย้งระหว่าง Boniface ผู้ว่าการของโรมันที่ปกครองแอฟริกาเหนือ กับรัฐบาลโรมัน  ด้วยการส่งพลเมืองข้ามทะเลเข้าสู่แอฟริกาในปี 429  และทำการรบชนะศึกหลายครั้ง(ช่วงนี้พวกโรมันเกิดความแตกแยก) และเข้ายึดครองดินแดน Morocco และตอนเหนือของ Algeria Gaiseric นำทัพเข้ายึดเมือง Hippo Regius ได้ในระยะเวลา 14 เดือน  ปีต่อมา จักรพรรดิ Valentinian ที่ 3 ก็ยอมรับ Gaiseric ว่าเป็นกษัตริย์ที่ครอบครองดินแดนที่เคยเป็นของโรมัน ในปี 439  เข้ายึดเมือง Carthage ได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ   ในด้านศาสนา Gaiseric เปิดเสรีให้นับถือ Catholics ได้ แต่กับชนชั้นสูงแล้วจะต้องนับถือนิกาย Arianism ส่วนการเก็บภาษีจะเก็บในอัตราต่ำสำหรับพลเมืองทั่วไป แต่เก็บระดับสูงกับครอบครัวเศรษฐีโรมันแทน การได้เมือง Carthage ทำให้ Vandals ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม-ศัตรูของโรมัน  ดินแดนของ Algeria ที่เหลือ(เป็นส่วนใหญ่) ก็ไปเข้ากับโรมัน   ในช่วงต่อจากนี้ Gaiseric ก็ได้นำทหารออกล่องทะเลในฐานะของโจรสลัดด้วย ในปี 455 จักรพรรดิ Valentinian ที่ 3 ถูกลอบปลงพระชนม์ จากการสั่งการของ Petronius Maximus เพื่อชิงบัล   Gaiseric จึงอ้างว่าการกระทำเช่นนี้เท่ากับยกเลิกสนธิสัญญาสันติภาพที่เขาทำขึ้นกับ Valentinian ในปี 422    ในวันที่ 31 พ.ค. Gaiseric นำทัพบุกแผ่นดินอิตาเลียนและยาตราทัพเข้าสู่โรม Pope Leo ที่ 1 ร้องขอ Gaiseric ไม่ให้ทำลายเมืองโบราณและสังหารพลเมือง ซึ่ง Gaiseric ตอบรับและเข้าสู่โรมในที่สุด ทั้งนี้ ประวัติศาสตร์บันทึกว่า พวก Vandals บุกเข้าโรมอย่างโหดเหี้ยมและทำลายเมืองจนย่อยยับ  แต่ที่จริงแล้ว Vandals ไม่ได้ทำลายถึงขนาดนั้น เรียกว่าพวก Vandals ปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองจากโรม  และจับ Empress Licinia Eudoxia (ภรรยาหม้ายของ Valentinian) และลูกสาว รวมทั้งบุคคลสำคัญอีกหลายคนเป็นตัวประกัน ในปี 468 อาณาจักรของ Gaiseric ก็ตกเป็นเป้าโจมตีของจักรวรรดิโรมัน  ทว่า Gaiseric ก็สามารถต้านทานการโจมตีนั้นได้  ว่ากันว่า  ในการรบกันครั้งนี้ยอดความเสียหายทั้งสองฝ่ายประสบคือ สูญเรือรบไปกว่า 1,100 ลำ  ทหารกว่า 1 แสนนาย ในที่สุดฝ่ายโรมันยุติการโจมตี และ Gaiseric ยังรักษาความเป็นเจ้าในแถบเมดิเตอเรเนียนตะวันตกไว้ได้(ตั้งแต่ช่องแคบ Gibraltar ถึง Tripolitania) จวบจนเสียชีวิต ในปี 474  Gaiseric ทำข้อตกลงสันติภาพกับ Eastern Roman Empire. Finally และในวันที่ 25 ม.ค. 477 Gaiseric เสียชีวิต ณ เมือง Carthage จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:10:14

ความคิดเห็นที่ 7 BEHELIT จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:12:30

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะเพี้ยนมาจาก Beherith Beherit / Beherith / Berith ตามตำนาน / ปิศาจวิทยา (Demonology) Berith คือ เจ้าชายแห่งนรก “Great Duke of Hell” มีพลังอำนาจมหาศาลและน่าสะพรึงกลัว   มีกองทัพปิศาจใต้อาณัติถึง 26 กอง เป็นผู้ที่หยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต  สามารถเปลี่ยนเหล็กให้เป็นทอง เป็นผู้ที่พูดแต่ความจริง   การจะสื่อสาร-เรียกใช้ Berith  ผู้ร่ายมนต์จะต้องสวมแหวนเงินที่นิ้วกลางข้างซ้ายและยกขึ้นแสดงต่อหน้า Berith ภาพลักษณ์ของ Berith คือ ทหารสวมชุดสีแดง  มงกุฏทอง ขี่ม้าสีแดง (บางตำนานว่าผิวก็สีแดงด้วย) มีพลังขึ้นสูงที่สุดในเดือนมิถุนายน Seal of Berith จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:14:33

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นความเชื่อในศตวรรษที่ 16 ที่ว่า ปิศาจแต่ละตนจะมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นในเดือนพิเศษของตนเพื่อบรรลุภารกิจ Belial - January Leviathan - February Satan - March Belphegor - April Lucifer - May Berith - June Beelzebub - July Astaroth - August Thammuz - September Baal - October Asmodai - November Moloch - December อย่างไรก็ตาม 'Berith' ในภาษา Hebrew หมายถึง ข้อตกลง / สัญญา (covenant) คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า 'Biritu'  ของพวก Akkadian (Babylonian) หมายถึง การผูกมัด / พันธนาการ ชาวอิสราเอล เรียก Berith ว่า El-Berith ที่แปลว่า God of the Covenant (ภาษาสุเมเรียน EL แปลได้ว่าผู้ที่มาจากฟากฟ้าเบื้องบน)  นั่นคือ Berith เป็นเทพเจ้าของชาวยิว จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:15:04

ความคิดเห็นที่ 10 แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นปิศาจได้? ตามความเข้าใจของผมคือ มันขึ้นกับว่า ศาสนาใดกำลังเรืองอำนาจครับ การเอาฝ่ายตรงข้าม มาเป็นตัวร้าย ย่อมเป็นการเดินหมากที่ถูกต้องในทางการปกครองครับ ชื่ออื่นๆของ Berith ได้แก่ Berithi  / Bofry / Bolfry  / Bolfri (หรือ necromancers) ท่านที่สนใจ demonology สามารถศึกษาได้จาก The Lesser Key of Solomon http://en.wikipedia.org/wiki/The_Lesser_Key_of_Solomon http://www.esotericarchives.com/solomon/goetia.htm จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:15:46

ความคิดเห็นที่ 11 “กุญแจย่อยของโซโลมอน” (Lesser Key of Solomon) หรือ Clavicula Salomonis  เป็นตำราเวทย์ซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเป็นหนังสือที่แพร่หลายที่สุดในปิศาจวิทยา รวมถึงยังเป็นที่รู้จัดอย่างแพร่หลายในอีกชื่อคือ Lemegeton กุญแจย่อยของโซโลมอนปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่เนื้อหาภายในนั้นส่วนใหญ่เคยปรากฏในข้อเขียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เช่น Pseudomonarchia Daemonum ของ Johann Weyer และตำราเวทย์ในยุคกลางเล่มอื่นๆ บางส่วนของเนื้อหาเช่นการเรียกปิศาจนั้นมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 ในหนังสืออ้างว่าประพันธ์โดยโซโลมอน แต่ค่อนข้างเชื่อได้ว่าเป็นความเท็จเนื่องจากยศที่ใช้กับปิศาจ เช่น มาควิส หรือ เอิร์ล นั้นยังไม่ปรากฏในสมัยของโซโลมอน นอกจากนั้นยังมีคำสวดถึงพระเยซูและพระตรีเอกานุภาพปรากฏในหนังสือด้วย กุญแจย่อยของโซโลมอนมีรายละเอียดของภูตและการอัญเชิญเพื่อใช้งาน ซึ่งรายละเอียดนี้รวมถึงตราพิทักษ์และพิธีกรรมซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการควบคุมและป้องกันตัวจากภูต ในตำราที่พบเดิมนั้นรายละเอียดจะแตกต่างกันไปในหลายๆฉบับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:17:00

ความคิดเห็นที่ 12 กุญแจย่อยของโซโลมอนนั้นแบ่งเป็น 5 บท Ars Goetia ศาสตร์แห่งโกเอเทีย กล่าวถึงปิศาจ 72 ตนที่กล่าวว่าโซโลมอนเคยเรียกขึ้นมาใช้งานโดยขังไว้ในภาชนะทองเหลืองที่ผนึกด้วยตราเวท อาร์สโกเอเทียบรรยายถึงการสร้างภาชนะแบบเดียวกันและใช้เวทมนตร์เรียกปิศาจ โดยระบุถึงยศของปิศาจแต่ละตนในนรกและดวงตราผนึกที่ใช้ควบคุม ในปี 1904 Aleister Crowley ได้นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้ชื่อว่า The Book of the Goetia of Solomon the King. ซึ่งเป็นตำราสำคัญในระบบเวทมนตร์ของโครลีย์ และใน Ars Goetia  ได้มีการระบุชื่อปิศาจ พร้อมยศ ไว้ทั้งหมด 72 ตนด้วยกัน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:21:34

ความคิดเห็นที่ 13 Ars Theurgia Goetia (The art of goetic theurgy) เป็นบทที่สอง อธิบายถึงชื่อ ลักษณะ และผนึกของภูตลม (aerial spirits) 31 ตน (แต่ละตนมียศเป็น หัวหน้า, จักรพรรดิ, ราชา และ เจ้าชาย) ซึ่งโซโลมอนเคยเรียกและควบคุม วิธีการป้องกันตัวจากภูติ ชื่อของภูติรับใช้ พิธีอัญเชิญและใช้งาน ภูติเหล่านี้มีทั้งดีและเลว ภูติเหล่านี้สามารถใช้ค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ เปิดเผยความลับของบุคคล และขนย้ายวัตถุใดๆได้ตราบที่ถูกควบคุมไว้ด้วยธาตุทั้งสี่ (ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) ภูติเหล่านี้ถูกระบุถึงด้วยลำดับที่ซับซ้อนในหนังสือ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:24:19

ความคิดเห็นที่ 14 Ars Paulina (The Art of Paul) เป็นบทที่สาม ซึ่งในตำนานนั้นเป็นศาสตร์ที่นักบุญพอลเป็นผู้ค้นพบ แต่ในหนังสือเล่มนี้ระบุว่าเป็น " the Pauline Art of King Solomon" ศาสตร์แห่งพอลนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยกลาง ในหนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสองบทย่อย โดยบทแรกนั้นอธิบายถึงเทวทูตในช่วงเวลาต่างๆของวันและคืน ซึ่งรวมถึงรายละเอียดเรื่องผนึก พฤติกรรม ผู้รับใช้ (เรียกว่า Dukes) ความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์ทั้งเจ็ดที่รู้จักในขณะนั้น ตำแหน่งของดวงดาวที่เหมาะสม รายชื่อ และวิธีการอัญเชิญเทวทูตเหล่านั้น ส่วนบทย่อยที่สองกล่าวถึงเทวทูตผู้ปกครองจักรราศี ตำแหน่งทางดาราศาสตร์ ความสัมพันธ์กับธาตุทั้งสี่ ชื่อ และผนึก เทวทูตเหล่านี้เรียกว่าเทวทูตแห่งมนุษย์ เพราะมนุษย์ทั้งมวลล้วนแต่เกิดภายใต้จักรราศีทั้งสิบสอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:24:42

ความคิดเห็นที่ 15 Ars Almadel (The Art of the Almadel) เป็นบทที่สี่ ว่าด้วยการทำ Almadel ซึ่งเป็นแผ่นขี้ผึ้งที่มีตราพิทักษ์เขียนไว้และตั้งเทียนไขไว้สี่เล่ม บทนี้กล่าวถึงการเลือกสี วัสดุ และพิธีกรรมที่ใช้ในการทำ Almadel และเทียนไข Ars Almadel ยังกล่าวถึงเทวทูตที่จะเรียกมาพร้อมอธิบายวิธีอัญเชิญ ทั้งยังระบุว่าผู้อัญเชิญสามารถขอให้เทวทูตช่วยได้แต่สิ่งที่สมเหตุผลและเป็นธรรมเท่านั้น บทนี้ยังระบุเรื่องผู้ปกครองทั้งสิบสองของเทวทูต นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดของวันและตำแหน่งของดวงดาวที่เหมาะสมกับการอัญเชิญแต่ก็ไม่ยาวนัก จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:25:04

ความคิดเห็นที่ 16 Ars Notoria (The Notable Art) เป็นบทที่ห้า เป็นตำราเวทย์ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่สมัยกลาง หนังสือเล่มนี้อ้างว่าศาสตร์นี้พระเจ้าได้เผยให้แก่โซโลมอนผ่านเทวทูต บทนี้รวบรวมมนตร์ต่างๆผสมด้วยแคบบาลาห์  (kabbalistic) และเวทมนตร์ในภาษาต่างๆ วิธีการสวดมนต์เหล่านี้ และความสัมพันธ์ของพิธีกรรมเหล่านี้กับการเข้าใจศาสตร์ต่างๆ ในบทนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ของดวงจันทร์กับผู้สวดมนต์และระบุว่ามนตร์เหล่านี้เป็นการเรียกเทวทูต Ars Notoria อ้างว่าเมื่อสวดมนต์เหล่านี้อย่างถูกต้องก็จะทำให้เข้าใจศาสตร์แขนงที่สัมพันธ์กันและยังทำให้จิตใจมั่นคง ความทรงจำดี ในบทนี้ยังกล่าวถึงการที่โซโลมอนได้รับวิวรณ์ (revelation) จากเทวทูตอีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:25:26

ความคิดเห็นที่ 17 และหากสนใจจะหาภาพปิศาจมาดู แนะนำเล่มนี้ครับ Dictionnaire Infernal  (แค่ชื่อก็เท่สุดๆแล้ว) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:26:01

ความคิดเห็นที่ 18 ผู้เขียนคือ Jacques Auguste Simon Collin de Plancy  ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1818  และออกมาหลายเวอร์ชั่น แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือเวอร์ชั่นปี 1863  ซึ่งภาพปิศาจของหนังสือเล่มนี้ยังถูกนำไปประกอบ The Lesser Key of Solomon ในเวอร์ชั่นของ S. L. MacGregor Mathers อีกด้วย ภาพตัวอย่างจากหนังสือ เป็นภาพของ Belphegor (จอมปิศาจแห่งความเกียจคร้าน) เป็นหนึ่งในปิศาจที่เกี่ยวข้องกับ บาป 7 ประการ หรือ 7 deadly sins ครับ  (หนังเรื่อง se7en ไงครับ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:26:21

ความคิดเห็นที่ 19 Peter Binsfeld (German Bishop) ได้จับคู่ปิศาจกับบาปอันร้ายแรง 7 ประการเข้าด้วยกันเมื่อปี 1589 ดังนี้ Mammon: Greed (avaritia) Asmodeus: Lust (luxuria) Leviathan: Envy (invidia) Beelzebub: Gluttony (gula or gullia) Satan/Amon/Azzarox: Wrath (ira) Belphegor: Sloth (acedia) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7869282/Y7869282.html จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:29:13

ความคิดเห็นที่ 20 BEHERIT ยังเป็นชื่อของวง Black Metal (ผสมกลิ่นแนว ambient) จาก Finland (1989)  ออกมาแล้ว 5 อัลบั้ม The Oath of Black Blood (1991) Drawing Down the Moon (1993) H418ov21.C (1994) Electric Doom Synthesis (1995) Engram (2009) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:29:33

ความคิดเห็นที่ 21 Berith หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:30:03

ความคิดเห็นที่ 22 คิดว่าสัญลักษณ์ 2 อันนี้  คืออะไรครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:30:22

ความคิดเห็นที่ 23 รวมกันแล้ว คิดว่าจะออกมาเป็นอะไรดีครับ ผมว่า มันน่าจะออกมาเป็นแบบนี้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:30:55

ความคิดเห็นที่ 24 และแบบนี้ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:31:19

ความคิดเห็นที่ 25 ขอนำเสนอ The Brand of Sacrifice จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:33:59

ความคิดเห็นที่ 26 ผมว่ามันมีลักษณะคล้ายกับ Chi Rho หรือ Labarum ผสมกับ The Staff of Caduceus ครับ Chi Rho  เป็นหนึ่งในรูปลักษณ์ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแบบหนึ่งที่ถูกใช้โดยพวกคริสเตียน เป็นการผสมกันของอักษรกรีก 2 ตัวแรกที่สะกดเป็นคำว่า Christ (ΧΡΙΣΤΟΣ) Chi = ch Rho = r (ใช้แทนความหมายว่า “Good” ได้) chi ตัวอักษรกรีก เขียนคล้าย ๆ x แต่หางจะปัด ๆ หน่อย X จึงใช้แทนคำว่า Christ ได้ เช่น Xmas ผู้ที่ใช้ chi-rho cross นั้นเริ่มจากพระเจ้าคอนสแตนตินที่หนึ่ง แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ ย้อนประวัติศาสตร์เล็กน้อย หลังจากอาณาจักรโรมันเริ่มแตกเป็นโรมันตะวันตกกับโรมันตะวันออก พระเจ้าคอนสแตนตินย้ายเมืองหลวงมาที่ไบแซนติอุม (หรืออิสตัลบูลในปัจจุบัน) ที่อยู่ฝั่งโรมันตะวันออก จักรพรรดิคอนสแตนตินฝันเห็นสัญลักษณ์ดังกล่าว แล้วก็ขอให้ชนะศึกสงคราม จนสุดท้ายก็ชนะจริงๆ พระองค์เลยหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วทำให้ไบแซนไทน์เป็นศูนย์กลางคริสตศาสนาในสมัยนั้น (นิกายกรีกออโธดอกซ์) แล้วก็ยังเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากไบแซนติอุมเป็น "คอนสแตนติโนเปิล" อีกด้วย http://saintseiya.exteen.com/category/Seirei/page/2 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:34:46

ความคิดเห็นที่ 27 นอกจากเป็น chi-rho แล้ว ยังมีสัญลักษณ์ทางคริสต์ที่แทนพระเยซูได้คือ แอลฟากับโอเมก้า ตัวอักษรกรีกตัวแรกและตัวสุดท้าย ปรากฏใน Revelation Chapter 22 :13 I am the Alpha and the Omega, the first and the last, the beginning and the end." จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:35:38

ความคิดเห็นที่ 28 สัญลักษณ์ งู 2 ตัว พันไม้เท้ามีปีก ไม้เท้า หรือ คทา นี้เรียกว่า Caduceus แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 52 18:36:07 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:35:56

ความคิดเห็นที่ 29 Caduceus เป็นคทาของ Hermes เทพเจ้ากรีกแห่งการสื่อสาร เป็นคทามีปีกที่มีงูพันอยู่สองตัว มีเรื่องเล่าว่า Hermes เคยห้ามงูสองตัวที่กำลังจะสู้กันโดยโยนคทาไปขวางไว้ และงูสองตัวนั้นได้เลื้อยขึ้นไปพันคทานั้น Caduceus จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการทูต การเจรจา และสันติภาพ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแพทย์แต่อย่างใด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:37:06

ความคิดเห็นที่ 30 ซึ่งคนทั่วไปมักจะสับสนกับสัญลักษณ์ งู 1 ตัว พันไม้เท้า (the Staff of Aesculapius) อันเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ที่ถูกต้อง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:37:49

ความคิดเห็นที่ 31 ที่มาของ สัญลักษณ์ งู 1 ตัวพันไม้เท้า (จากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี) ส. พลายน้อย เล่าว่า  เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของการแพทย์ที่ใช้เป็นรูป “งูตัวเดียวพันไม้เท้า” นั้น เดิมทีเป็นเครื่องหมายหรือตราของเอสคูลาปิอุส (Aesculapius) กล่าวกันว่าในโบสถ์หลายแห่งของอิตาลียุคแรกๆ  มีรูปปั้นเป็นคนเครายาวถือไม้เท้ามีงูพัน  รูปปั้นนั้นคือรูปของเอสคูลาปิอุสที่กล่าวถึงนี่เอง เอสคูลาปิอุสผู้นี้มีประวัติตามนิยายของกรีกโบราณว่าคนเลี้ยงแพะได้ไปพบทารกคนหนึ่งนอนร้องไห้อยู่บนภูเขา  โดยมีแพะตัวหนึ่งเอานมของมันให้เด็กดูดกิน  คนเลี้ยงแพะจึงเข้าไปอุ้ม ก็เห็นรัศมีเกิดขึ้นรอบ ๆ ศีระเด็กเป็นที่น่าอัศจรรย์คนเลี้ยงแพะก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของเทพเจ้า  และความจริงนั้นก็เป็นบุตรของเทพเจ้าจริง ๆ  คือเป็นบุตรของเทพอพอลโล  (Apollo)  กับนางโคโรนิส  (Coronis)  แต่เทพอพอลโลทราบว่านางมีชู้จึงยิงด้วยธนู  แล้วผ่าเอาทารกในครรภ์ของนางโคโรนิสไปฝากคิรอน (Chiron) ไว้  ต่อมาเด็กคนนี้มีชื่อว่า  เอสคูลาปิอุส เอสคูลาปิอุสได้อยู่กับคิรอน  ซึ่งเป็นนักรบมีร่างประหลาด คือ มีร่างครึ่งม้าครึ่งคน และได้ช่วยคิรอนเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ  คิรอนก็ใด้สั่งสนอนเอสคูลาปิอุสให้รู้จักสรรพคุณของต้นหญ้าหรือสมุนไพรต่าง ๆ มีความรู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคบางแห่งว่าเอสคูลาปิอุสได้ค้นพบสรรพคุณยาบางอย่าง  ซึ่งสามารถรักษาโรคให้พวกนักรบที่ไปเอาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำของราชาออสเตรียและสเปน ซึ่งมีม้ามังกรเฝ้าอยู่นั้นมาได้  จึงทำให้ชาวเมืองพากันเลื่อมใสพากันมารักษาเป็นอันมาก ความสามารถของเอสคูลาปิอุสนั้นกล่าวตามนิยายว่า  สามารถรักษาคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ทีเดียว และยาที่รักษาก็ว่าใช้กาฝากต้นโอ๊ก แต่ว่าความสามารถอันนี้เองที่ทำใท้เอสคูลาปิอุสอายุสั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากเอสคูลาปิอุสได้ช่วยรักษาคนให้ตายน้อยลง เทพพลูโตหรือพญายมจึงขัดเคือง เพราะทำให้ยมโลกเงียบเหงา จึงไปร้องทุกข์ต่อเทพจูปีเตอร์  (บางแห่งว่าเทพพลูโตหาว่าเอสคูลาปิอุสหวังจะได้ราชบัลลังก์  จึงได้พยายามหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ประชาชนหลงรัก)  เทพจูปีเตอร์ฟังความข้างเดียวก็ส่งสายฟ้าฟาดลงมาต้องเอสคูลาปิอุสตายทันที  เทพอพอลโลโกรธมากที่ลูกของตนตาย  จึงจับยักษ์ตาเดียวของเทพพลูโตฆ่าเสียเป็นการแก้แค้น   ต่อมาเทพจูปีเตอร์ทราบความจริงรู้สึกเสียใจในความหุนหันของตน  จึงเสด็จลงมาอุ้มเอสคูลาปิอุสไปยังภูเขาโอลิมปัสเพื่อให้วิญญาณของเอสคูลาปิอุสได้ไปจุติเป็นเทพเจ้างูพิษ (ในสมัยนั้นเขามักจะรักษาโรคกันด้วยงู คือเอาพิษของงูมาทำยา  เห็นจะเป็นเซรุ่มนั่นเอง)  มีเรื่องกล่าวกันว่า  ครั้งหนึ่งในกรุงโรมได้เกิดกาฬโรค  ผู้คนล้มตายกันมากมาย  เอสคูลาปิอุสได้เอางูพิษมาซ่อนไว้ตามกอหญ้าแถวริมแม่น้ำในประเทศอิตาลี  ปรากฏว่า  ผู้ที่เป็นโรคนี้และได้มาอาบกินน้ำในแม่น้ำที่งูได้คายพิษไว้  พากันหายจากโรคร้ายอย่างน่าอัศจรรย์มาก การที่งูเข้ามาเกี่ยวข้องกับเอสคูลาปิอุส มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยก่อนคริสตกาล  ๑,๒๐๐ ปี  ขณะที่เอสคูลาปิอุสกำลังรักษาคนไข้อยู่  ก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาในคลินิกของเขา และขึ้นไปพันอยู่โดยรอบคทาของหมอ ด้วยเหตุนี้เองคนทั่ว ๆ ไปจึงเชื่อว่างูตัวนั้นได้บันดาลให้เอสคูลาปิอุสมีปัญญารักษาโรคได้เก่งกว่าหมออื่นๆ ตามเทพนิยายกล่าวว่า  เมื่อเทพจูปีเตอร์ฆ่าเอสคูลาปิอุสแล้ว  ก็ได้ทำรูปจำลองเป็นเทพปฏิมาขึ้นไว้บนสวรรค์ ตามรูปอยู่ในท่ามือถืองู แต่รูปเอสคูลาปิอุสนั้นมีต่าง ๆ กัน และสรุปได้ว่าจะต้องมีงูอยู่ด้วยเสมอ และในสมัยต่อมาถือว่าเอสคูลาปิอุสเป็นบรมครูของการเเพทย์ การที่ในวงการแพทย์ใช้งูเป็นเครื่องหมาย  ก็เพราะถือตามโบราณว่างูรักษาโรคได้  ซึ่งเรื่องนี้ชาวจีนโบราณก็เชื่อกันมาก่อนว่างูรักษาโรคได้  จึงเกิดมียาดองงูเห่า และในนิยายโบราณก็มีเรื่องคนกินเหล้าที่มีงูตกลงไปตายแล้วหายจากโรคร้ายปรากฏอยู่ นอกจากนี้ชาวกรีกยังถือกันอีกว่า  งูเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญของชีวิต  ของการเกิดใหม่ ทั้งนี้เพราะเขาถือว่าการที่งูลอกคราบนั้นเป็นการคืนชีพ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:38:33

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นได้ว่าสัญลักษณ์ของวิชาชีพแพทย์ที่ถูกต้องคือ the Staff of Aesculapius แต่ตั้งแต่ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการใช้ Caduceus เข้ามาปนด้วย อาจเนื่องจากผู้พิมพ์หนังสือในสมัยก่อนใช้ตรา Caduceus ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารและการค้า เมื่อมีการพิมพ์ตำราแพทย์ตราเหล่านี้ได้ถูกนำไปใช้และมีการสับสนกับไม้เท้าของ Aesculapius จนทำให้ได้รับการยอมรับเป็นสัญลักษณ์ ผู้ที่นำสัญลักษณ์ “งู 2 ตัวพันไม้” มาใช้ในทางการแพทย์ เป็นรายแรกๆ คือ Johann Frobenius (1460-1527) นักพิมพ์ฉลากยาชาวสวิส  โดยใช้สัญลักษณ์เป็นไม้เท้า มีงู 2 ตัวพันรอบ และมีนกพิราบเกาะที่ปลายไม้  มีความหมายว่า “ฉลาดเหมือนงูพิษ  ไม่เป็นภัยดั่งนกพิราบ” (Be ye therefore wise as serpents and harmless as doves) Sir William Butts แพทย์ประจำตัวของ พระเจ้า Henry VIII ก็ใช้สัญลักษณ์ “งู 2 ตัว” เช่นกัน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:39:47

ความคิดเห็นที่ 33 การที่กรมการแพทย์ทหารบกสหรัฐฯ นำ Caduceus มาใช้เป็นสัญลักษณ์ อาจเป็นสาเหตุสำคัญของศตวรรษที่ 20 ที่ทำให้ Caduceus ได้รับการยอมรับแพร่หลายดังเช่นในปัจจุบัน หลายคนยังไม่เห็นด้วยกับการที่สัญลักษณ์ดังกล่าวจะมาปนกัน เนื่องจาก Caduceus เป็นสัญลักษณ์ของการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกี่ยวข้องกับเป้าหมายในการปฏิบัติของแพทย์ และยิ่งไปกว่านั้น Hermes เอง เป็นผู้มีหน้าที่นำวิญญาณของผู้ตายไปสู่ Hades ด้วย http://74.125.153.132/search?q=cache:PdJK8iY11r8J:paul012.spaces.live.com/blog/cns!24C78AD7F06C617E!145.entry+%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2&cd=3&hl=th&ct=clnk&gl=th จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:41:22

ความคิดเห็นที่ 34 ลืมไป... ชื่อปิศาจ 72 ตน ใน Ars Goetia ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:42:30

ความคิดเห็นที่ 35 คทามีปีกที่มีงูพันอยู่สองตัว ยังเป็นสัญลักษณ์แทนการตื่นของ "พลังกุณฑลิณี" ด้วยครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:43:12

ความคิดเห็นที่ 36 กุณฑลิณี (Kundalini) แนวคิดของกุณฑลิณี มาจากหลักปรัชญาของโยคะ เพื่อการ “ตื่นของปัญญาและจิตวิญญาณ” (อ่านเพิ่มเติมได้จาก "Hatha Yoga Pradipika" โดย Swami Svatmarama (English translation, 1992) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:44:27

ความคิดเห็นที่ 37 ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีความพยายามค้นหาความหมายของกุณฑลิณี โดย C.W. Leadbeater (1847-1934) จาก the Theosophical Society และนักจิตวิเคราะห์ Carl Jung (1875-1961) Jung จัดงานสัมมนาเรื่อง Kundalini yoga ขึ้นใน Psychological Club ใน Zurich เมื่อปี 1932  และได้รับการยอมรับว่าเป็นเสาหลักของวิชาจิตวิทยาในการทำความเข้าใจแนวคิดตะวันออก และสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความสงบในจิตใจ Kundalini yoga ทำให้ Jung เห็นรุปแบบของการพัฒนาสภาวะจิต ในระดับสูง ปรากฏในหนังสือ C. G Jung - "The Psychology of Kundalini Yoga", 1999 (http://www.crystalinks.com/kundalini.html) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:45:01

ความคิดเห็นที่ 38 กุณฑลินี โยคะ นั้นให้ความสำคัญกับการปลุกพลังกุณฑลินีที่หลับไหลภายในตัวเราให้ตื่นขึ้น (คำว่า “กุณฑลินี” นั้นมักเปรียบเหมือนงูที่ขดตัวอยู่ที่ฐานกระดูกสันหลัง มีความเชื่อเกี่ยวกับการปลุกกุณฑลินีให้ตื่นขึ้นว่า เป็นการปลดปล่อยพลังอันมหาศาลที่แฝงอยู่ภายในตัวเราและการไปสู่ความรู้แจ้ง) โดยมีหลักว่าในร่างกายของมนุษย์เรามีพลังไฟฟ้าอยู่ พลังขั้วบวกอยู่ที่ตอนบนของศีรษะ พลังขั้วลบอยู่ที่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง ระหว่างขั้วทั้ง 2 นี้เอง ที่เกิดเป็นพลังชีวิตขึ้น ตามปรัชญาของโยคะแต่โบราณ ในกระดูกไขสันหลังมีช่องทางเดิน 3 ช่อง เรียกว่า นาฑี ช่องทางซ้ายสำหรับพลังลบ เรียกว่า อิทะ นาฑี ช่องทางขวาเป็นพลังบวก เรียกว่า บิงคละ นาฑี ตรงกลางเป็นช่องไขสันหลัง เรียกว่า สุษุมนะ นาฑี ช่องนี้เองเป็นทางเดินของพลังที่เรียกว่า กุณฑาลิณี ตามปกติ กุณฑาลิณี อยู่ตรงปลายสุดของกระดูกสันหลัง ด้วยอำนาจของการเพ่งสมาธิ โยคีจะดึงพลังกุณฑาลิณีขึ้นไปเบื้องบน ผ่านจักรต่าง ๆ ไปตามลำดับจนถึงตำแหน่งสหัลสราร เมื่อพลังกุณฑาลิณีขึ้นไปสู่จักรหนึ่ง ๆ โยคีจะมีพลังจิตสูงขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ตามลำดับ และเกิดฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น ตาทิพย์ , ปรจิตวิทยา , อดีตังสญาณ , อนาคตังสญาณ จนกระทั่งถึงตำแหน่งสหัลสราร ก็บรรลุถึงจุดสุดยอด เป็นญาณอันสูงสุดเป็นเอกภาพกับอาตมัน การเดินกำลังกุณฑาลิณีดังกล่าวนี้ เรียกว่า การบำเพ็ญสมาธิ เป็นเรื่องของการฝึกหัดอบรมจิต ซึ่งกล่าวไว้ในราชโยคะ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:45:31

ความคิดเห็นที่ 39 ... => ข้อความต่อไปนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน <= .... จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:46:00

ความคิดเห็นที่ 40 พลังต่างๆเหล่านี้นั้นเป็นแค่ทางผ่านในการเดินทางไปสู่นิพพาน พลังต่างๆเหล่านี้นั้นเป็นพลังที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วเพียงแต่ไม่รู้วิธีที่เป็นเสมือนกุญแจในการเปิดขุมพลังในกายตนแล้วรู้วิธีนำออกมาใช้เท่านั้นเอง เปรียบร่างกายคนเรานี้คือจักรวาลย่อยๆ การรวมจักรวาลย่อยให้เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล คือหลอมรวมตัวเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แล้วมีสิทธิ์ใช้พลังจักรวาลอย่างไร้ขอบเขตนั้น ทำได้โดยการปลุกพลังที่หลับใหลอยู่ที่ใต้จักระที่ 1 ให้ตื่นขึ้นมา แล้วเคลื่อนผ่านจักระแต่ละจักระ เวลาที่พลังเคลื่อนผ่านจักระแต่ละจักระจะมีอำนาจพิเศษความสามารถพิเศษตามอำนาจของจักระนั้นๆเกิดขึ้น เมื่อพลังเคลื่อนผ่านครบทุกจักระไปจนสุดจักระที่ 7 แล้วมีการหลอมรวมตัวเราเข้าเป็นหนึ่งกับจักรวาล คนผู้นั้นจะมีความรู้ความสามารถและมีอิทธิฤทธิ์ดุจเดียวกับพระเจ้า หากคนผู้นั้นเลือกที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติคนผู้นั้นก็จะสามารถควบคุมธรรมชาติให้เป็นไปตามใจปราถนาได้ไม่ยาก เมื่อสำเร็จวิชานี้แล้วเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้แล้วถ้าอารมณ์ของคนผู้นี้เสียสมดุลภัยพิบัติก็จะเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ที่เลือที่จะเป็นผู้ปกครองธรรมชาติหลังจากฝึกวิชานี้สำเร็จแล้วจึงต้องพยาม ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เพื่อคงสมดุลแห่งธรรมชาติเอาไว้ไม่ให้เกิดภัยพิบัติ ธรรมชาติแปรปรวนตามอารมณ์ของคนผู้นั้น พลังกุณฑลิณีและพลังที่หมุนเวียน พลังกุณฑลิณี ตามรากศัพท์ภาษาสันสกฤต หมายถึง “พลังที่หมุนเวียนเป็นวงกลม” เป็นพลังรากฐานของแต่ละคนคนเราเกิดมาพร้อมกับพลังกุณฑลิณีที่ไหลเวียนอยู่แล้วบางส่วน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่โง่หรือฉลาดแค่ไหนก็ตามก็สามารถพบ และนำพลังนี้มาใช้ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่า..คนเราแต่ละคนมีพลังกุณฑลิณี ที่ตื่นและรอคอยการถูกปลดปล่อยอยู่ในแอ่งแห่งพลังกุณฑลิณี ผู้ที่พัฒนาพลังกุณฑลิณีอย่างเต็มที่จะมีความสามารถพิเศษทางจิตที่กล้าแข็งและถือเป็นผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง การปลดปล่อยพลังกุณฑลิณีที่ถูกต้อง คือการเคลื่อนของพลังจากจักระที่ 1 ไปตามแนวกระดูกสันหลังไปยังจักระที่ 7 แล้วทะลุจักระที่ 7 ขึ้นไปเหนือศรีษะ พลังกุณฑลิณีที่ถูกปลดปล่อยออกมาเปรียบได้กับคลื่นจำนวนมาก ที่ถูกปลดปล่อยออกมาหมด ในครั้งหนึ่ง หากในระหว่างการปลดปล่อยนั้นกระดูกสันหลังตั้งตรงพลังก็จะไหลผ่านขึ้นสู่กระหม่อมอย่างอิสระ แต่ถ้ากระดูสันหลังคด โค้ง หรือถูกกดดันการไหลของพลังก็จะถูกกีดขวางบริเวณนั้นๆ พลังก็จะหยุดอยู่ตรงบริเวณนั้น และกระจายไปสู่บริเวณที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น ช่องท้อง เป็นต้น ก็จะทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ถ้าพลังไปหยุดอยู่ที่ช่องอก ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับหัวใจ แต่ถ้าไปจุกอยู่ที่สมอง ก็อาจจะทำให้ความจำเสื่อม หรือจิตวิปลาสได้... (http://board.ไม่ใช่ลิควิด/f2/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%91%E0%B8%93%E0%B8%B5-5911-2.html จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:46:28

ความคิดเห็นที่ 41 มาถึง ตัวรอง หรือ ตัวประกอบกันบ้างครับ (มาให้โดนฆ่าแท้ๆ) SAMSON จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:47:11

ความคิดเห็นที่ 42 SAMSON หรือ แซมซั่น กระทิงแดงยิม มีชื่อจริงว่า สมบุญ พานตะสี เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ที่ อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด โดยมีชื่อเล่นว่า จ่อย แซมซั่นเคยเป็นนักมวยไทยชื่อดัง ค่าตัวเงินแสน ในชื่อ "แสนเมืองน้อย ลูกเจ้าพ่อมเหศักดิ์" โดยเป็นมวยที่เดินหน้าชกบุกตะลุยตลอด ไม่มีถอยหลัง เป็นที่ถูกใจของแฟนมวยเป็นอย่างมาก โดยชื่อ "แซมซั่น" นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นฉายา โดยแฟนมวยตั้งให้สอดคล้องกับ "แรมโบ้" พงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี ซึ่งเป็นนักมวยที่ชกในรูปแบบเดียวกัน ที่ขณะนั้นอยู่ในช่วงปลายชีวิตของการชกมวยแล้ว การชกมวยไทยของแซมซั่น เคยผลัดกันแพ้ - ชนะกับ วีระพล สหพรหม ชนะ แสนไกล ศิษย์ครูอ๊อด ได้ครองแชมป์แบนตั้มเวต เวทีลุมพินี, ชนะ หลักหิน วสันตสิทธิ์ ได้ครองแชมป์จูเนียร์แบนตั้มเวต เวทีราชดำเนิน และในปี พ.ศ. 2537 ทาง "เสี่ยเน้า" วิรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ ผู้จัดการให้เบนเข็มมาชกมวยสากลอาชีพ และให้ใช้ชื่อว่าแซมซั่นไปเลยตามความคุ้นเคย เพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น แซมซั่นก็ได้แชมป์โลกในรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวทของสหพันธ์มวยโลก (WBF) โดยชนะน็อกยก 3 นักมวยชาวออสเตรเลียไปอย่างง่ายดาย ซึ่งภายหลังการชก นักมวยคนนี้ได้ถูกเปิดเผยว่า ชกมวยมาเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง และอดีตเคยเป็นช่างทาสีมาก่อน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:47:52

ความคิดเห็นที่ 43 แม้จะเป็นเพียงแชมป์ของสถาบันที่ไม่มีใครยอมรับ เพราะการป้องกันแต่ละครั้งเป็นไปอย่างง่ายดาย และส่วนมากจะพบกับนักมวยฟิลิปปินส์เสมอ แต่แซมซั่นก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หลายอย่างให้เกิดขึ้นกับวงการมวยไทยและวงการมวยโลก โดยสามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้ถึง 38 ครั้ง มากกว่านักมวยคนใด ๆ ในโลก ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายจากหลายหน่วยงานในประเทศไทย นับเป็นนักมวยที่ขึ้นป้องกันตำแหน่งเดือนต่อเดือน ซึ่งไม่มีนักมวยคนใดทำมาก่อน แม้จะเป็นการชกในเมืองไทยเท่านั้น แต่ก็มีบรรดาผู้ให้การสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองท้องถิ่นหรือนักการเมืองระดับประเทศก็ตาม หรือสินค้าประเภทต่าง ๆ อย่างชนิดที่นักมวยแชมป์โลกชาวไทยในสถาบันที่มีมาตรฐานกว่ายังไม่อาจจะทำได้ และเป็นนักมวยคนหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากแฟนมวย ในการชกแต่ละครั้งจะมีผู้ชมจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ แซมซั่นได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์ด้วยเรื่องหนึ่ง เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำ ถ่ายทำเพียง 3 วันเสร็จ เป็นชีวประวัติของแซมซั่นเอง ชื่อ "แซมซั่น เลือดอีสาน" ซึ่งไม่มีการฉายในกรุงเทพแต่ออกฉายตามหนังเร่ในภาคอีสานและออกเป็นวีดีโอในภายหลัง แม้จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี พ.ศ. 2541 ต้องผ่าตัดชายโครงแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการชกมวยของแซมซั่นเลย แซมซั่นยังคงเดินหน้าทำสถิติการชกต่อไป แซมซั่น แขวนนวมในปี พ.ศ. 2544 หลังการแขวนนวม แซมซั่นมีทรัพย์เงินทองไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน ซึ่งได้มาจากการชกมวยอย่างเดียว มีบ้านราคาเป็นล้านที่กรุงเทพ ฯ มีรถยนต์ราคาแพงขับ และยังมีกิจการร้านอาหารที่ จ.ร้อยเอ็ด บ้านเกิดอีกด้วย ชีวิตส่วนตัว แซมซั่น สมรสกับ ชาริปดา พานตะสี ภรรยาซึ่งรับราชการเป็นตำรวจหญิง มีบุตร 1 คน เป็นหญิง ในปลายปี พ.ศ. 2547 ในโอกาสครบ 48 ปี ของเวทีลุมพินี แซมซั่น ได้ชกโชว์ในแบบมวยไทยกับ "แรมโบ้" พงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี นักมวยต้นแบบของเขาด้วย ซึ่งเรียกเสียงปรบมือฮือฮาอย่างมากจากแฟนมวยที่เข้าชม จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:48:07

ความคิดเห็นที่ 44 ............................เอ๊ะ...............................................ไม่ใช่แซมซั่นนี้.............................. จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:48:23

ความคิดเห็นที่ 45 SAMSON ถ้าจะให้คุ้นเคยต้องบอกว่า Samson And Delilah จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:49:26

ความคิดเห็นที่ 46 ตามเรื่องเล่า...แซมซั่นเกิดในดินแดนที่เรียกว่า Israel ซึ่งมีความขัดแย้งและทำสงครามกันอย่างยืดเยื้อยาวนานกับพวก Philistines มาตลอด พ่อและแม่ของแซมซั่นซึ่งเป็นชาวอิสราเอล แต่งงานกันมาก็หลายปี แต่ยังไม่มีลูกด้วยกันซักที สองสามีภรรยาจึงพากันสวดมนต์ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย วันหนึ่ง An Angel of the Lord ก็ปรากฎกายขึ้น และบอกกับสองสามีภรรยาว่ากำลังจะได้ลูกชาย โดยมีข้อแม้ว่าลูกชายคนนี้ต้องทำงานเพื่อปกป้องรับใช้ประเทศชาติ และอุทิศชีวิตให้กับพระผู้เป็นเจ้า ต่อมาสองสามีภรรยาก็ได้ลูกชายจริงๆตามที่ An Angel of the Lord บอก และก็ได้เลี้ยงดูแซมซั่นจนเติบโตขึ้นมาโดยยึดถือในคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ตลอดมา หนึ่งในสัญญาเหล่านั้นก็คือ จะต้องไม่ตัดผม ไม่ทานผลองุ่น รวมไปถึงไม่ดื่มไวน์ และไม่แตะต้องซากศพคนตาย... ภายใต้การรักษาสัญญาที่เคร่งครัดของพ่อและแม่นั้น แซมซั่นก็เติบโตขึ้นมาด้วยร่างกายที่กำยำแข็งแรง และมีพละกำลังมากมายผิดกับมนุษย์ทั่วไป แซมซั่นได้เข้าร่วมในการทำสงครามกับชาว Philistines หลายต่อหลายครั้ง และเมื่อแซมซั่นรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้า ก็ทำให้แซมซั่นเป็นฝ่ายชนะสงครามแทบจะทุกครั้งไป... เวลาผ่านไป แซมซั่นเริ่มทะนงในความยิ่งใหญ่และชัยชนะของตน จึงผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าหลายข้อ เหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือยังไม่ตัดผม เมื่อแซมซั่นผิดสัญญา ก็แน่นอนว่าหลายต่อหลายครั้งในการรบ แซมซั่นจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ช่วงเวลาที่แซมซั่นรบชนะนั้นได้สร้างความโกรธแค้นในใจให้เกิดขึ้นกับชาว Philistines  มากมาย เพราะสงครามได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคร่าชีวิตของชาว Philistines ไปเป็นจำนวนมาก แซมซั่นมีจุดอ่อนอยู่ที่มักจะพ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรี และสาวงามที่แซมซั่นไปหลงรักก็กลับเป็นสาวชาว Philistines ชื่อว่า "เดไลล่า"  ซึ่งเป็นสตรีที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์เหลือเกิน ในขณะเดียวกัน เดไลล่าก็ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินเงินก้อนโตจากพวก Philistines ด้วยกันให้สืบหาให้ได้ว่าจุดอ่อนของแซมซั่นคืออะไร? ในทุกๆคืนเดไลล่าจึงพยายามเฝ้าเพียรถามคำถามนี้กับแซมซั่นเพื่อให้แซมซั่นยอมบอกความลับอันยิ่งใหญ่นี้กับตน หลายต่อหลายครั้งที่แซมซั่นได้หลอกเดไลล่าว่าจุดอ่อนของตนอยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เดไลล่าก็ลองทำ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แซมซั่นยังคงมีพละกำลังมากมายมหาศาลเหมือนเดิม เดไลล่าซึ่งยังคงต้องการเงินค่าจ้างก้อนโตก้อนนั้นอยู่ จึงร้องไห้อ้อนวอนตัดพ้อต่อแซมซั่นว่าเพราะแซมซั่นไม่รักเธอจริง จึงไม่ยอมบอกความลับสำคัญเกี่ยวกับตัวเองให้เธอทราบ จนมาวันหนึ่งแซมซั่นทนเห็นเดไลล่าร้องไห้คร่ำครวญไม่ไหวอีกต่อไป จึงยอมบอกว่าจุดอ่อนของตนนั้นอยู่ที่ "ผม" คือไม่สามารถตัดได้... เมื่อเดไลล่าได้ทราบดังนั้น จึงแอบตัดผมของแซมซั่นในขณะที่แซมซั่นกำลังหลับอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าแซมซั่นจึงรู้ว่าเดไลล่าได้ทรยศต่อความรักของตนเสียแล้ว จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:50:04

ความคิดเห็นที่ 47 ในสงครามครั้งต่อมาแซมซั่นจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เพราะพละกำลังที่อ่อนลงและยังถูกชาว Philistines จับไปเป็นเชลย ถูกทรมานต่างๆนานา แต่พอวันเวลาผ่านไป ผมของแซมซั่นก็ค่อยๆยาวขึ้นทีละนิดๆ และเมื่อผมยาวขึ้น แซมซั่นก็รู้สึกได้ว่าพละกำลังของตนเองก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้งเหมือนกัน วันหนึ่งแซมซั่นได้ทราบข่าวว่าจะมีการจัดงานบูชาเทพเจ้าที่ชาว Philistines นับถือขึ้นที่ Temple of Dagon และในงานนั้นจะเป็นการชุมนุมของชาว Philistines นับพัน  นักการเมือง ทหาร และผู้นำทางจิตวิญญาณ รวมทั้งประชาชนมากมาย แซมซั่นจึงสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าขอให้ยกโทษในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไปและขอให้ให้โอกาสกับตนอีกครั้ง... สำหรับมหาวิหารที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน หรือ Temple of Dagon นั้นแซมซั่นเคยรู้มาก่อนว่าในการสร้าง ได้มีการออกแบบให้เสาหินแท่งใหญ่สองแท่งถูกใช้เป็นคานในการรองรับน้ำหนักทั้งหมด และเมื่อวันงานสักการะเทพเจ้าแห่ง Dagon ของชาว Philistines มาถึง แซมซั่นจึงเข้าไปยืนระหว่างเสาทั้งสองนั้น  สวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประทับเคียงข้างเขาอีกครั้ง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:50:49

ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อสวดอ้อนวอนเสร็จแล้ว แซมซั่นจึงใช้แขนทั้งสองข้างและพละกำลังอันมหาศาลของตนที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ดึงเสาทั้งสองลงมา วิหารทั้งวิหารจึงพังทะลายลง ก้อนหินนับร้อยนับพันที่ประกอบขึ้นรวมกันเป็นมหาวิหารก็ร่วงหล่นลงมาใส่ร่างของแซมซั่นและชาว Philistines ที่มาร่วมงานในวันนั้น ผู้นำชาว Philistines นักการเมือง ทหาร ผู้นำจิตวิญญาณ และประชาชนที่มาร่วมงานกว่า 3000 คนจึงเสียชีวิตพร้อมกันหมด และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือ...แซมซั่น...นั่นเอง... http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/02/K6300413/K6300413.html จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:51:10

ความคิดเห็นที่ 49 Samson / Shimshon (Jew) /  Shamshoun (Arabic) / Samson (Greek) มีความหมายว่า "of the sun" / ทรงพลัง / "ผู้รับใช้พระเจ้า" เป็นบุตรแห่งอิสราเอลที่ถูกกล่าวถึงใน Tanakh (the Hebrew bible) เป็นลำดับที่ 3 จากสุดท้าย โดยปรากฏใน the Book of Judges chapters 13 ถึง 16 วีรกรรมของ Samson ยังปรากฏใน Josephus's Antiquities of the Jews ซึ่งถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1 ของ ศตวรรษที่ 1 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:51:40

ความคิดเห็นที่ 50 Samson มีร่างกายกำยำ ใหญ่โต  มีพละกำลังมหาศาลที่ได้รับมาจากพระเจ้า เชื่อกันว่า Samson ถูกฝังใน Tel Tzora ประเทศอิสราเอล จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:52:04

ความคิดเห็นที่ 51 SAMSON กับภาพยนตร์ ตำนาน SAMSON ถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม และลงรายละเอียดตามพระคัมภีร์มากที่สุดคือ ภาพยนตร์ปี 1949 ของ Cecil B. deMille  นำแสดงโดย Victor Mature (as Samson) และยังมีเวอร์ชั่น series ด้วย โดยถ่ายทำในอิตาลีในช่วงทศวรรษที่ 1960 ได้แก่ - Samson (1961 Italian film) portrayed by Brad Harris - Samson vs. The Pirates (1963) a/k/a Samson and the Sea Beast - Samson Challenges Hercules (1963) a/k/a Hercules, Samson and Ulysses - Samson vs. the Black Pirate (1963) a/k/a Hercules and the Black Pirate - Samson and the Mighty Challenge (1965) a semi comedy/satire co-starring Hercules, Ursus & Maciste จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:52:21

ความคิดเห็นที่ 52 JEROME จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:53:17

ความคิดเห็นที่ 53 นักบุญเจอโรม (ภาษาอังกฤษ: Jerome; ภาษาละติน: Eusebius Sophronius Hieronymus; ภาษากรีก: Ευσέβιος Σωφρόνιος Ιερώνυμος) เป็นนักบุญทางคริสต์ศาสนาเกิดเมื่อประมาณปี ค.ศ. 347 ที่หมู่บ้านสไตรดอน บริเวณดาลเมเชีย ในประเทศโครเอเชียปัจจุบัน และเสียชีวิตเมื่อประมาณวันที่ 30 กันยายน ปี ค.ศ. 420 ที่เบธเลเฮ็ม จูเดีย (ปัจจุบันประเทศอิสราเอล) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:54:07

ความคิดเห็นที่ 54 นักบุญเจอโรมเป็นที่รู้จักกันในผลงานการแปลคัมภีร์ไบเบิลจากภาษากรีกและภาษาฮิบรูเป็นภาษาละติน นอกจากนั้นนักบุญเจอโรมยังเป็นนักป้องกันคริสต์ศาสนา (Christian apologist) คัมภีร์ไบเบิลฉบับของนักบุญเจอโรม หรือที่เรียกว่า “Vulgate” ยังเป็นคัมภีร์ฉบับสำคัญของนิกายโรมันคาทอลิก นักบุญเจอโรมได้รับแต่งตั้งจากสถาบันโรมันคาทอลิกให้เป็นนักบุญและ “คริสต์ศาสนปราชญ์” นอกจากนั้นนักบุญเจอโรมก็ยังเป็นนักบุญในนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์และรู้จักกันในชื่อ “St. Jerome of Stridonium” หรือ “Blessed Jerome” (“Blessed” คนละความหมายกับ “บุญราศี”ที่ใช้กันทางตะวันตก) ในทางศิลปะของโรมันคาทอลิกนักบุญเจอโรมผู้เป็นผู้พิทักษ์ผู้ศึกษาคริสต์ศาสนวิทยา จะเป็นรูปคาร์ดินาลเคียงข้างนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป อัครบาทหลวงนักบุญแอมโบรส และ สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1 บางครั้งรูปนักบุญเจอโรมก็จะเป็นชายที่เกือบไม่มีเสี้อผ้าบนร่างกายอย่างนักบวช anchorite และมีเพียงกางเขน, หัวกระโหลก, คัมภีร์ไบเบิล และหมวกคาร์ดินาลสีแดงหรือเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงฐานะว่าเป็นคาร์ดินาล ในห้องแคบๆ ที่อาศัย บางครั้งก็จะมีสิงห์โตในรูปด้วยเพราะมีตำนานว่านักบุญเจอโรมช่วยถอนหนามที่ตำอุ้งเท้าสิงห์โตออก และบางครั้งก็จะมีนกฮูกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมีปัญญาเครื่องเขียนหรือทรัมเป็ตแห่งการตัดสินสุดท้ายก็เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนี่งที่ใช้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:54:40

ความคิดเห็นที่ 55 JOACHIM จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:55:05

ความคิดเห็นที่ 56 Saint Joachim หรือนักบุญโจอาคิม เป็นสามีของ Saint Anne และบิดาของ พระเยซู เรื่องราวของบักบุญโจอาคิมปรากฏใน the apocryphal Gospel of James (apocrypha = n. กลุ่ม 14 บทหนังสือของพระคัมภีร์เก่า Old Testment ของคริสเตียน) แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 52 22:29:21 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:55:29

ความคิดเห็นที่ 57 LOCUS จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:55:56

ความคิดเห็นที่ 58 แปลว่า  n. สถานที่,ตำแหน่ง,ตำแหน่งของ genes ในโครโมโซม, (คณิตศาสตร์) ชุดของจุดทั้งหมดเส้นทั้งหมดหรือผิวหน้าทั้งหมด ที่มีลักษณะตามที่ต้องการ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:56:13

ความคิดเห็นที่ 59 ADON จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:56:33

ความคิดเห็นที่ 60 เป็นชื่อเมืองใน Loiret, France จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:57:03

ความคิดเห็นที่ 61 และ เป็นชื่อของนักมวยไทยใน Street Fighter ลูกศิษย์ของสกัด  (^_^)b อาดอน เป็นตัวละครที่ได้ชื่อมาจากคำว่า อา ในภาษาไทยซึ่งหมายถึงน้องของพ่อ ส่วนคำว่า ดอน ได้ยืมมาจากชื่อของนักร้อง ดอน สอนระเบียบ นั่นเอง (ในสมัยนั้น ดอน สอนระเบียบ ร้องเพลงแปลงจากภาษาต่างประเทศหลายเพลงจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงซาโยนาระ และดาวประดับใจ ซึ่งมาจากทำนองเพลง Subaru ของ ชินจิ ทานิมูระ ทางญี่ปุ่นจึงได้นำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อตัวละครดังกล่าวในที่สุด) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%99 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:57:20

ความคิดเห็นที่ 62 BOSCONE จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:57:44

ความคิดเห็นที่ 63 Cesano Boscone  เป็นชื่อเขตเทศบาลใน MIan, Italy จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:57:58

ความคิดเห็นที่ 64 NIKO เป็นชื่อทั่วไปของชาวโครเอเชียและฟินแลนด์ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:58:24

ความคิดเห็นที่ 65 SONIA เป็นชื่อสตรี มาจากภาษากรีก แปลว่า “ปัญญา / WISDOM” จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:58:43

ความคิดเห็นที่ 66 MULE จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 18:59:03

ความคิดเห็นที่ 67 เอ่อ......คำนี้ แปลว่า “ล่อ” ที่เป็นพันธุ์ผสมระหว่าง ม้ากับลา ครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:01:00

ความคิดเห็นที่ 68 TROLL จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:01:28

ความคิดเห็นที่ 69 โทรล์ล (Troll) เป็นชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะน่ากลัว ตามตำนานของพวก Nordic มีรูปร่างคล้ายคนแคระแต่มีขนาดใหญ่กว่า สูงประมาณ 20 ฟุตพวกมันอาศัยอยู่ในถ้ำ มีทั้งดุร้ายและใจดี พวกนี้มีผิวหยาบ เท้าแบนและกลิ่นตัวรุนแรงมาก ความหมายดั้งเดิมของ Troll คือ supernatural / magical  บางตำราก็บอกว่า หมายถึง “ผู้ที่กระทำการอันรุนแรง” จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:01:56

ความคิดเห็นที่ 70 OGRE จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:02:36

ความคิดเห็นที่ 71 หรือ ORC เผ่าพันธุ์รูปร่างคล้ายมนุษย์ที่แข็งแกร่ง มักถูกจัดให้เป็นพวกป่าเถื่อน ดุร้าย ผู้ที่ริเริ่มคำว่า ORC ที่หมายถึง เผ่าพันธุ์ที่ดุร้าย ในยุคใหม่ คือ J.R.R.Tolkien ผู้แต่ง Lord of the Ring นั่นเอง   ORC ของเขา มีลักษณะ ตัวเล็กกว่าคนปกติ น่าเกลียด สกปรก มีเขี้ยว ขาโก่ง  แขนยาว จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:03:05

ความคิดเห็นที่ 72 KELPIE จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:03:27

ความคิดเห็นที่ 73 เป็น วิญญาณม้า (water horse) ที่สิงสู่อยู่ตามแม่น้ำ ตามตำนานของพวก Celtic ผิวหนังลื่นเหมือนแมวน้ำ แต่เย็นเหมือนศพ  มีกำลังเท่ากับม้า 10 ตัว สามารถสร้างภาพลวงตาไม่ให้คนพบเห็นได้ มันชอบหลอกคนให้มาเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะเด็ก  โดยหลอกให้ขี่หลัง แล้วพาดำน้ำลงไป จนเด็กจมน้ำตายแล้วค่อยรับประทาน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:03:49

ความคิดเห็นที่ 74 The Four Kings of the World EARTH-WIND-WATER-FIRE จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:04:13

ความคิดเห็นที่ 75 จากการค้นหา....ขอสรุปดังนี้ครับ มีการอ้างว่าในไบเบิลมีกล่าวถึง “4 Elements” และเข้าใจว่าคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งผู้รู้หลายๆท่าน เห็นว่า เป็นการเอาคำ / หาคำ ใน “ปัจจุบัน” ไปจับให้ตรงกับ “อดีต”  หรือเป็นการตีความใหม่ ด้วยความเข้าใจใหม่ ที่อาจไม่ตรงกับของเดิมก็ได้ คนโบราณคิดว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ 4 elements  ที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ซึ่งคำว่า element นิยามในปัจจุบันคือ ธาตุ (ทางเคมี) แต่ในอดีตอาจเป็นการนิยามในรูปของ “สถานะ” คือ ของแข็ง / ของเหลว / อากาศ / พลังงาน เช่น เวลาพูดถึง Earth ก็ไม่ใช่แค่ ดิน  แต่เป็น ของแข็ง ทั้งหมด  หรือ water ก็หมายถึงของเหลวทั้งหมด ไม่ใช่แค่น้ำ อ่านเพิ่มเติมได้ใน ธาตุหลักทั้งสี่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87_4 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:05:09

ความคิดเห็นที่ 76 อสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 (ตามความเชื่อจีน-ญี่ปุ่น) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87_4 เทพอสูรศักดิ์สิทธิ์ ปกครอง ทิศและธาตุทั้ง 4 (ในภาษาจีน [Ssu Ling]  ในภาษาญี่ปุ่น [ชิชิน]) เป็น อสูรทั้ง 4 ตามเทพนิยายจีนซึ่งทำหน้าที่ปกครองทิศทั้ง 4 บนสวรรค์ และเทพอสูรแต่ละองค์จะประกอบด้วยกลุ่มดาว 7 กลุ่ม นอกจากนั้นเทพทั้ง 4 ยังเป็นตัวแทนธาตุหลักตามตำราจีนด้วย ซึ่งนำเอาใช้ในตำราแพทย์ของจีน รวมถึงศิลปะการต่อสู้อีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:05:29

ความคิดเห็นที่ 77 มังกรฟ้า (ชิงหลง ในภาษาจีน เซริว ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ชุง รวอง ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันออก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ผลิ สีประจำคือสีฟ้า (หรือเขียว) เป็นอสูรธาตุไม้ แสดงถึง คุณงามความดี ความเหมาะสม ความสงบสุขและมั่นคงของบ้านเมือง (ควบคุมดินฟ้าอากาศ และ เป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ) มักถูกใช้เป็นขั้วตรงข้ามกับ หงส์แดง (ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งจักรพรรดินี ตามความเชื่อของญี่ปุ่น) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:05:48

ความคิดเห็นที่ 78 หงส์แดง (จูเชว่ ใน ภาษาจีน ซูซาคุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ จู จัก ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศใต้ ตัวแทนแห่งฤดูร้อน สีประจำคือสีแดง เป็นอสูรธาตุไฟ ถูกจับคู่กับมังกรฟ้า ในฐานะความสมดุลตามธรรมชาติความสุขในการสมรสเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ แสดงถึงความรู้ หงส์แดงถูกสื่อผ่านขนสีเพลิงที่ส่องสว่าง พร้อมกับเสียงขับขานอันน่าหลงใหล ซึ่งจะปรากฏตัวในยามมงคลเท่านั้น ซึ่งในพระราชวังของญี่ปุ่นมีรั้วที่สร้างสิริมงคลอย่าง ซูซาคุมง หรือ รั้วหงส์แดง ด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:06:03

ความคิดเห็นที่ 79 พยัคฆ์ขาว (ไป๋หู่ ในภาษาจีน เบียคโกะ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ แบค โฮ ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศตะวันตก ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นอสูรธาตุโลหะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลุมศพตามตำราจีน จากเหตุการณ์พิธีศพ ของจักรพรรดิจีน สัญลักษณ์ของธาตุโลหะถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของ เทพอสูรพยัคฆ์กำลังก้มเคารพศพของจักรพรรดิ พยัคฆ์ขาวเป็นเทพอสูรแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมถึงเป็นราชันย์แห่งขุนเขาด้วย เครื่องประดับหยกที่ทำเป็นรูปเสือก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการรบและการทหารด้วย นอกจากเสือจะเป็นเทพอสูรที่คอยขับไล่เหล่าศัตรูของจักรพรรดิจีน แล้วยังคอยขับไล่ภูตผีปีศาจไม่ให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองอีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:06:24

ความคิดเห็นที่ 80 เต่าดำ (เสวียนอู่ ในภาษาจีน เกนบุ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ ฮยุน มู ในภาษาเกาหลี) เทพอสูรแห่งทิศเหนือ ตัวแทนฤดูหนาว เป็นอสูรธาตุน้ำ (ในบางครั้งรวมธาตุดินเข้าไปด้วย) เทพอสูรตัวนี้ถูกสื่อออกมาในรูปของเต่าสีดำที่ถูกพันรอบด้วยงู เป็นสัญลักษณ์แห่งลัทธิเต๋า ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข มีความเชื่อว่าถ้าเทพอสูรเต่าอายุถึง หนึ่งพันปี จะสามารถพูดภาษาคนและทำนายเหตุการณ์อนาคตได้ กล่าวกันว่ากระดองของเต่าสื่อถึงหลังคาแห่งจักรวาล เทพอสูรตัวนี้มีสัญลักษณ์เป็น เต่า และมีสีดำ รวมถึงประจำทิศเหนือซึ่งถือว่าเป็นทิศที่ไม่ค่อยมงคลสำหรับชาวจีน ก็เพราะ คำว่าเต่าในภาษาจีน มีความหมายในแง่ลบ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:06:43

ความคิดเห็นที่ 81 มังกรทอง (หวงหลง ในภาษาจีน หรือ โอริว ในภาษาญี่ปุ่น) ในบางตำราเป็นตัวแทนของ ธาตุดิน ไม่ก็ ธาตุทองและประจำอยู่จุดศูนย์กลางของสวรรค์ ตามตำราของญี่ปุ่น เทพอสูรทั้ง 4 เป็นตัวแทนของธาตุ ใน ศาสนาพุทธ ตามตำราญี่ปุ่น โดย มังกรฟ้า - ธาตุน้ำ หงส์แดง - ธาตุไฟ พยัคฆ์ขาว - ธาตุลม เต่าดำ - ธาตุดิน จุดศูนย์กลาง - ความว่างเปล่า จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:07:11

ความคิดเห็นที่ 82 และก็......... ..........จบละครับ SERIES กระทู้ BERSERK (อ่านกันจนเมื่อยเลยทีเดียว) ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ (^_^)b จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:08:52

ความคิดเห็นที่ 83 ลงชื่อก่อนค่า เดี๋ยวมาอ่าน ^^~ จากคุณ : i am tabo เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:09:34

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากครับ ฮามุขแซมซั่ม ติดใจในหลายๆเรื่อง ขอบคุณอีกรอบครับ จากคุณ : guminzx เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:11:28

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอดมากครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ จากคุณ : BERSERK_KIT เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:11:38

ความคิดเห็นที่ 86   ขอบคุณที่เอามาให้อ่านกันนะครับ ท่าน ปล.อุสาร์แอบใส่มุขอีกนะครับ อิอิ  samson แหมคิดได้ไง จากคุณ : GunOtA เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:19:33

ความคิดเห็นที่ 87   เอาอีกน่ะครับรออยู่ จากคุณ : DEVIL PHOENIX เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 19:52:34

ความคิดเห็นที่ 88 เยี่ยม จากคุณ : badhermit เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 21:07:06

ความคิดเห็นที่ 89 เข้ามาฮา Samson... จากคุณ : Seraphinoo เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 21:19:42

ความคิดเห็นที่ 90 แซมซํ่นกับอาดอน -*- จากคุณ : ลุงรหัส เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:17:10

ความคิดเห็นที่ 91 นับถือเลยครับ ไม่ธรรมดาจริงๆกระทู้นี้ จากคุณ : MLTransform เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:32:40

ความคิดเห็นที่ 92 แซมซั่น..... จากคุณ : นักบริโภคเกี๊ยวซ่า เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:52:18

ความคิดเห็นที่ 93 Orc กับ Ogre นี่มันคนละอย่างกันนะครับ อยากให้ จขกท.แยกออกจากกันด้วยครับ จากคุณ : S1m0Ne (สวัสดีความเศร้า) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:58:29

ความคิดเห็นที่ 94   เออ...... แซมซัน.... จากคุณ : devil amature2 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 00:15:00

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณมากครับ อ่านมันส์ดีจริงๆ จากคุณ : RadiorA เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 00:37:11

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณที่หามาให้อ่านกันครับ โหวต + เก็บเข้าคลังเรียบร้อยแล้วครับ จากคุณ : นายกองกัซ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 00:51:40