 |
ความคิดเห็นที่ 24 |
ไม่เห็นด้วยในหลายแง่ครับ...
- "3 แพร่ง" เป็นคำที่ไม่เหมาะจะนำมาใช้เป็นกิมมิค เพราะเป็นคำที่มีความหมายใช้กันในสังคมอยู่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ชื่อของ "4 แพร่ง" โดดเด่นอย่างมาก เพราะเป็นการเล่นคำที่ลงตัว ยังทำให้คนนึกถึงคำว่า "สามแพร่ง" ที่คุ้นชินได้ แต่ก็มีความพิเศษในตัวเอง...
- หนังไทยที่มีความยาวสามเรื่องติดต่อกัน ถือว่ามีมากจน "เฝือ" แล้ว ทั้งผีสามบาท, Three, สังหรณ์, บ้านผีสิง ขณะที่สี่เรื่องไม่ค่อยมี (ที่นึกออกก็แค่ "หลอน" เรื่องเดียว ซึ่งก็ดันไม่ดังซะอีก) แฟรนไชส์สี่และห้าแพร่งจึงมีความดึงดูดในแง่ของความสดใหม่ที่ปริมาณสามเรื่องให้ไม่ได้
- เสน่ห์อย่างนึงของแฟรนไชส์ "สี่ห้าแพร่ง" นี้คือการเชื่อมต่อกันของแต่ละแพร่ง ซึ่งทำให้คนดูได้สนุกไปกับการหาอะไรซับซ้อนเล็กๆน้อยๆที่ผู้กำกับแอบซ่อนเอาไว้ จำนวนเรื่องแค่สามอาจจะน้อยไปสำหรับการคงเสน่ห์นี้ เพราะการเชื่อมโยงจะทำได้ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ก็อาจจะส่งผลดีในแง่ของความกลมกล่อมและกลมกลืนของจุดเชื่อมโยงที่ว่า...
- ทำให้คนดูกลุ่มไม่คิดอะไรมาก ดูเอาบันเทิง เอาปริมาณเข้าว่า รู้สึกถึงความ "ถอยหลังเข้าคลอง"
- การต้องคัดเลือกผู้กำกับให้เหลือแค่ 3 คน (จากที่แฟรนไชส์นี้มีผกก. เข้าร่วมอยู่ตั้ง 6 คนแล้ว) ถือว่ายากใช่เล่น
- ถ้าดิ้นรนทำ "สามแพร่ง" จริง เนื้อเรื่องต้องโดน ไม่มีเรื่องไหนดร็อปไปจากเรื่องอื่นเลย เพราะจำนวนที่น้อยจะถูกเปรียบเทียบได้ง่ายมาก
ผมจึงคิดว่าแฟรนไชส์ "x แพร่ง" นี้หาทางลงจากหลังเสือลำบาก โดยเฉพาะถ้าเลือก step down เหลือแค่สามแพร่ง ถ้า GTH ยังอยากขายโปรเจคท์นี้อยู่ ทางเดียวที่น่าจะเหมาะสมคือการขยับจำนวนแพร่งขึ้นไป ซึ่งก็น่าจะทำได้อีกไม่นาน อย่างมากก็ไม่เกินสองภาคแหละครับ...
จากคุณ |
:
patyawi
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ย. 52 01:55:05
|
|
|
|
 |