|
ความคิดเห็นที่ 82 |
เงินเก็บ ผันเป็นกองทุน
กว่าจะได้ใจจากเพื่อนๆ ก็เหนื่อยไม่น้อย เพราะไหนจะต้องแบกความเป็น ลูกชายนายกฯ ไปโรงเรียนด้วย ทว่าเขาก็สามารถพิชิตใจชาวรากหญ้าได้ เมื่อมุ่งมั่นตั้ง กองทุนอาหารกลางวันเพื่อเพื่อนด้อยโอกาส โดยชายหนุ่มเล่าว่า กองทุนนี้เกิดขึ้นช่วงไปเรียนต่อ ม.4 ที่ทุกคนเลือกให้เป็นประธานนักเรียน
กระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนคนที่เป็นลูกชาวนาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทุกครั้งที่พักเที่ยง เพื่อนคนนี้จะแยกตัวออกไปกินข้าวตามลำพังประจำปลื้มก็งง! มันเป็นอะไรของมัน (ทำท่าเกาศีรษะ) จนวันหนึ่งทนไม่ไหว จึงถามทำไมชอบเลี่ยงไม่กินข้าวกับเพื่อน คราวนี้เพื่อนยอมพูดเปิดใจ เพราะไม่มีตังค์กินข้าว ต้องแอบไปกินน้ำเปล่าแทน ฟังแล้วสะเทือนใจมาก ตอนนั้นก็คิด เฮ้ย! อะไรมันขนาดนั้น นึกถึงคำสอนของพ่อทันที กินข้าวต้องกินให้หมด ให้นึกถึงคนที่ไม่มีเงินกินข้าว
แต่พอย้ายมาเรียนที่นี่ก็ทำให้เข้าใจคำสอนของคุณพ่อ กับคนที่ไม่มีจะกินเขามีอยู่จริงๆ จากนั้นปลื้มจึงเริ่มต้นสำรวจนักเรียนในโรงเรียน พบว่า มีนักเรียนที่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงไม่เฉพาะเพื่อนเท่านั้น แต่ยังมีรุ่นน้องรุ่นพี่เป็นร้อยคน ตรงนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตั้งกองทุนอาหารกลางวันขึ้นมาด้วยเงินเก็บส่วนตัว
เป็นเงิน ที่วางแผนเอาไว้ว่าพอโตขึ้นอยากเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อรถที่ชอบ (น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกว่าเสียดายกับเงินก้อนนี้)
พอคิดทบทวนไปมาในจุดนี้ ถ้าปลื้มเอาเงิน 10 บาท ไปหยอดตู้เกมได้เล่นเกมประมาณ 1 นาที แต่เงิน 10 บาทของเด็กที่นี่เขาสามารถกินอาหารกลางวันได้ 1 มื้อ ดีใจที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา
รถมินิออสติน มรดกจากพ่อ
ชีวิตของชายหนุ่มที่ผ่านมา มีทั้งร้องเล่นตามประสาวัยรุ่น แต่ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะมีสาระ อาจเพราะเขาเป็นลูกนักการเมืองที่เห็นความรับผิดชอบในการช่วยเหลือชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นภาพกิจกรรมระหว่างพ่อลูกตามสถานที่ต่างๆ จึงปรากฏให้เห็นเสมอ
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ค่อยเป็นข่าวเท่านั้นเอง ทั้งนี้ หนุ่มปลื้มบอกว่า คุณพ่อจะมาหาที่บ้านพัฒนาการบ้าง หรือบางครั้งก็ให้เขาไปหาพ่อที่บ้านหมอเหล็ง ย่านดินแดง เพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน 3 คนพ่อแม่ลูก
เมื่อครั้งไปเรียนที่เชียงใหม่ พ่อก็จะเดินทางไปหาค่อนข้างบ่อย และบางครั้งก็จะไปดูหนังกัน แล้วแต่เวลาจะอำนวย
ไม่นานมานี้พ่อชวนได้ให้รถมินิออสตินที่ท่านเคยใช้มากว่า 30 ปี ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นมรดก ชิ้นหนึ่งที่คุณพ่อรักมาก
แต่เอามาให้ปลื้มใช้ ทุกวันนี้ปลื้มก็จะขับไปเรียนที่รามเป็นประจำ แล้วคุณพ่อจะชอบโทร.มาถามว่า ขับรถไปเรียนบ้างหรือเปล่า ปลื้มก็บอกว่าขับไปครับ
แต่จริงๆ ขับได้ไม่เร็วมากหรอกครับ (หัวเราะ) ต้องถนอมหน่อย เพราะเป็นรถที่คุณพ่อรักมาก แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาหากไม่ได้ไปเรียน หรือเป็นวันหยุดปลื้มก็จะคอยดูแลแม่
ในบางครั้งก็จะขับรถพาแม่ไปซื้อของที่ห้างมาบุญครองเป็นประจำ และบางครั้งก็จะไปรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ที่ซีคอน ใครเห็นผมก็เข้ามาทักทายแล้วก็พูดคุยด้วย ผมก็ดีใจที่เขายังจำปลื้มได้ แต่ใครๆ ที่เห็นทรงผมของปลื้มทรงนี้ ปลื้มก็ไม่ได้คิดว่าเป็นกระแสของเกาหลีอะไร แต่ตัดให้มันดูดีเท่านั้นมากกว่า แต่ไม่แน่เร็วๆ นี้ ปลื้มอาจจะตัดผมเป็นสกินเฮดเลยก็ได้ (หัวเราะ)
บางส่วนจาก
http://www.oknation.net/blog/sutku/2009/03/25/entry-3
ลงวันที่ วันพุธ ที่ 25 มีนาคม 2552
คือที่ยกมาให้อ่าน เพราะเคยได้อ่านสัมภาษณ์น้องเค้ามาบ้าง และคิดว่าน้องเค้าเป็นเด็กใช้ได้ ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยการตามใจเลย
จำได้น้องเค้าเคยเล่าว่า ตอนมัธยม น้องเค้าเล่นบอลอยากได้ร้องเท้าสตัท (รองเท้าเตะบอล ไม่รู้เขียนยังไง) คู่ละ 3,000 กว่าบาท แต่พ่อชวนพาไปซื้อคู่ละ 500 บาท และอธิบายเหตุผลว่าทำไม ไม่ซื้อคู่ละ 3,000 ให้
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า น้องเข้าใจ ซึ่งเราก็แปลกใจว่า สามารถยอมรับและเข้าใจได้ยังไง เพราะลองนึกถึงเด็กคนหนึ่งที่พ่อมีชื่อเสียง แม้ว่าพ่อไม่ตามใจ แต่สังคมน่าจะยกย่องและตามใจ แต่น้องเค้ายอมรับได้ ก็ชื่นชมนะ
ถ้าอ่านจากที่ยกมาให้อ่านข้างบน เราไม่รู้หรอกว่า รถคันนี้ ของใคร และไม่เห็นว่า ทรงผมหน้าตา น้องเค้าจะทำลายพ่อหรือไม่
คำถาม..........
คุณไม่เคยเป็นเด็กเหรอคะ เคยไหม ทำตัว แปลก ๆ แต่ตอนนั้นคุณคิดว่า มันเท่ห์มาก เราเห็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่โตขึ้นมาตามยุคตามสมัย
การหลงลืมตัว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มันก็คงมีบ้าง แต่ถึงขั้นไปต่อว่าบิดามารดาเค้า เพียงแค่รูปไม่กี่ใบ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ
และสมมุติว่า เป็นรถปลื้มจริง มันแปลกตรงไหน ถ้ามันคือรางวัลที่พ่อแม่อยากมอบให้ลูก เงินของเค้า อย่าอิจฉา
จากคุณ |
:
รำเจียก
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.ย. 52 16:09:29
|
|
|
|
|