Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (spoilมั้ง)...ในอีกแง่มุมที่ไม่ใช่แค่ความหล่อของพี่เคน  

“รถไฟฟ้ามาหานะเธอ”
... พรหมลิขิต  ที่ไม่ติดอยู่บนรางรถไฟ...

         “โปรดส่งใครมารักช้านนนนที.....” เพลงเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ คงบอกสิ่งที่แทนอยู่ในใจของ “เหมยลี่” (คริส  หอวัง)  นางเอกของเรื่องได้เป็นอย่างดี  กับการเป็นสาวโสดมาตลอดชีวิตที่ติดอยู่กับคำสอนของแม่ว่า “เป็นผู้หญิงห้ามจีบผู้ชายก่อน”  แต่แล้วฟ้าก็ได้ส่งเทพบุตรที่หยุดฝันของสาวๆทุกคน (รวมถึงสาวๆที่ไปกรี๊ดพี่เคนอยู่ในโรงด้วย) มาให้เหมยลี่ต้องแหกทุกกฎที่เคยยึดถือมาตลอด ด้วยการชิงจีบ “ลุง” (เคน-ธีรเดช) เทพบุตรในฝันให้มาอยู่ในชีวิตจริงให้ได้  เพราะคงจะเป็นรถไฟเที่ยวสุดท้ายของเธอแล้วล่ะ แถมรถไฟขบวนนี้ยังเป็นรถไฟฟ้าที่มาเร็วไปเร็ว และ ยังมีสาวๆมาแย่งกันขึ้นแบบใครดีใครได้กันอีกด้วย  ความสนุกของหนังจะเป็นอย่างไร “ลุง” จะตกเป็นของ “เหมยลี่” หรือไม่  ผมว่าไปดูเอาเองในโรงหนังดีกว่า  เพราะสิ่งที่จะได้จากหนังเรื่องนี้  ไม่ใช่บทหนังระดับออสการ์  ไม่ใช่ภาพสวยเพลงเพราะแบบหนังเกาหลี  แต่ความน่ารักของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งเรื่องจนกลับมาถึงบ้าน  แม้จะไปนั่งดูแค่คนเดียวก็ตามครับ

        แต่ที่ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงหนังเรื่องนี้  คงจะเป็นการนั่งหาคำตอบแบบส่วนตัวมากกว่าว่า อะไรที่ทำให้ผมยิ้มไปกับความรักของทั้งสองคนนี้ได้ตลอดเรื่องบ้าง  คำตอบคงจะหนีไม่พ้นว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงตอนจีบแฟนใหม่ๆครับ หนังเรื่องนี้ในสายตาผมพูดถึง ‘พรหมลิขิต’  เรื่องราวของคนที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้  คนนึงใช้ชีวิตตอนกลางวัน   คนนึงใช้ชีวิตตอนกลางคืน ต่างคนไม่รู้จักกัน  ต่างคนมีนิสัยต่างกัน แถมไม่น่าเชื่อว่าพระเอกที่เพอร์เฟคได้ขนาดนั้น จะมาลงเอยกับสาวค้างเติ่งเวิ้นเว้ออยู่บนคานขนาดนั้นได้อย่างไร แต่พรหมลิขิตเท่านั้นที่ทำได้  พรหมลิขิตทำให้เราได้เห็นในสิ่งที่มากกว่าตาเห็น  และพรหมลิขิตทำให้เราไม่เห็นในบางอย่างที่คนอื่นมองเห็น เหมือนกับที่ ลุง มองเห็นเสน่ห์ของความเป็นธรรมชาติของเหมยลี่ แต่กลับมองข้ามความเวิ่นเว้อของเธอแบบที่คนอื่นมองเห็น ...นี่ไงครับ พรหมลิขิต!  นึกถึงตัวเองครับ ตอนคบกับแฟนใหม่ๆ ใครบอกว่าแฟนเราไม่ดีเราก็ว่าเขาตาไม่ถึง แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ  ไหงพรหมลิขิตมันเริ่มจางลงซะงั้น อะไรต่ออะไรมันชัดเจนขึ้นมาซะหมด  พรหมลิขิตมันถึงได้ชอบจางลงไปตอนที่ดวงตาเราทำงานได้มากกว่าใจไงครับ ผมเลยอยากตั้งคำถามต่อว่า “จริงๆแล้วพรหมลิขิตเกิดขึ้นจากฟากฟ้า หรือ ลิขิตมาจากจิตใจของเรากันแน่?”  ถ้ามาจากจิตใจของเรา แล้วเราจะทำลายพรหมลิขิตด้วยดวงตาของเราเองทำไมล่ะครับ…

         เรื่องราวที่ผมชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้  ก็คงจะเป็นสิ่งที่หนังพยายามเสนอว่า “คนเราถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน  แล้วเราจะรักกันได้ยังไง?”  ซึ่งเป็ดเพื่อนของลี่  ก็ได้ให้แง่มุมที่น่าสนใจครับว่า “แฟนน่ะเขาไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอด แต่เขามีไว้ให้เรารู้ว่ายังมีคนรักเราอยู่อีกคนบนโลกใบนี้”  ใช่ครับ  บางครั้งเราอาจจะห่างกันแสนไกล คนละฟากฟ้า  แต่สิ่งที่เราลืมก็คือ เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน ดวงจันทร์ที่เรามองเห็นก็เป็นดวงเดียวกัน สุดท้ายเราก็ไม่ได้อยู่ห่างกันเลยหากเรามีจิตใจที่เชื่อมโยงถึงกัน เราถึงได้ยินตลอดเมื่อเวลาที่เห็นคนที่อยู่คนละซีกโลก คนละประเทศ  แต่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้  ใช่ครับ... พรหมลิขิต อีกแล้ว ที่ทำให้เรามองข้ามระยะทาง การที่คนเราต้องจากกันไกลๆตอนคบกันช่วงแรกๆ มันมีแต่ความคิดถึงครับ นี่แหละสิ่งเชื่อมโยงของผม พอได้พบกันแม้จะนานๆครั้ง แต่มันก็มีคุณค่ามากมาย  เหมือนตอนขึ้นรถไฟขบวนนี้ช่วงแรกๆครับ  ตื่นเต้นเหลือเกิน  แตกต่างกันกับบางคู่ที่แม้จะคบกันมาเป็นระยะเวลานานมาก ได้เจอกันทุกวัน กินข้าวกันทุกมื้อ แต่ทำไมมันดูห่างกันจัง จะคุยก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร สุดท้ายก็มีแต่ความเบื่อ เพราะเราเองที่ฆ่าพรหมลิขิตไปด้วยสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า สุดท้ายเราก็มองรถไฟขบวนนี้เหมือนคนอื่น มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน !!!! คุ้นๆไหมครับ

         ถ้าใครรู้สึกแบบนี้ลองเปิดโอกาสให้พรหมลิขิตอีกครั้งสิครับ ลองใช้จิตใจมองดูคู่ของเราอีกครั้ง  ลองขึ้นรถไฟขบวนนี้ใหม่  ลองรู้สึกว่ามันจะเป็นขบวนสุดท้ายเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ลองแวะลงมาเดินสูดหายใจที่สถานีระหว่างทางบ้างก็ดีครับ แล้วตอนที่คุณขึ้นรถไฟขบวนนี้ใหม่ เขาอาจจะทำให้ผู้โดยสารอย่างคุณตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ครับ  แม้จะอยู่ไกลกันแค่ไหน ได้แหงนดูบนฟ้า มันก็จะเจอดาวดวงเดียวกันแล้วครับ  สำหรับคนที่อยู่ใกล้กันมากๆ  ก็ลองพูดผ่านหัวใจกันอีกสักครั้งเหมือนตอนคบกันใหม่ๆแบบไม่ต้องเขิน  สำหรับผม คำตอบก็คงจะมีอยู่ว่า “คนเราไม่ได้เจอกัน ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ขอให้เห็นคุณค่าของการอยู่ด้วยกันเอาไว้ แม้จะมีโอกาสนั้นเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต คุณก็จะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ฟ้าส่งคนมาให้เราได้รักอยู่ตลอดเวลาครับ”
การขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายยังไม่ใช่ความสุขหรอกครับ  แต่ถ้าคุณขึ้นไปแล้วลองปล่อยใจไฟกับรถไฟขบวนนั้นดู ลองมองวิวข้างทางบ้าง อย่าเพิ่งรู้สึกเบื่อ และ อย่ารีบลงจากรถซะก่อน  เพียงเท่านี้จะรถไฟฟ้า หรือ รถไฟขบวนไหนๆ มันก็มาพร้อมกับความสุขในพรหมลิขิตแห่งความรักได้แล้วครับ....

ประโยคเด็ด (ที่ผมคิด)  :
ลี่  : “คนเป็นแฟนกันเค้าต้องกินข้าวด้วยกันทุกมื้อหรือเปล่า? นี่ชั้นกินข้าวคนเดียวมา 2 เดือนแล้วนะเว้ย!!!! ”
เป็ด  :  “ลี่!  แฟนน่ะเค้าไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลานะเว้ย  แต่เค้ามีเอาไว้ให้เรารู้ว่าโลกนี้ยังมีคนรักเราอยู่อีกหนึ่งคน ”
..........

ยาวไปหน่อย ขอโทษครับ ขอบคุณที่อ่านครับ

จากคุณ : คนขี่แผ่น
เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 02:44:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com