Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ... เมื่อใครสักคนที่เรารัก เป็น ‘คนไม่มีเวลา’  

น่าดีใจแทนค่ายหนังดี ศรีประเทศไทย อย่าง GTH เสียจริงๆ ที่แค่ภายในปีนี้ปีเดียวก็มีหนังร้อยล้านเป็นของตัวเอง ได้ถึง 2 เรื่อง เลยทีเดียว ..ขณะที่เรื่องหนึ่งอาจจะอาศัยบุญเก่า มาช่วยสงเคราะห์กันบ้างตามสมควร ส่วนเรื่องล่าสุด ถ้าจะอาศัยบารมีใดๆแล้ว คงไม่พ้นจะต้องยกชื่อของ ชายหนุ่มที่สาว(ทุกประเภท)กรี๊ดกร๊าดชื่นชมมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย มากล่าวอ้าง

แต่อย่าไปว่า ว่าหนังขายได้แค่เฉพาะ ความหล่อของพระเอกเท่ห์ตัวพ่อ(ของแม่หน่อย และน้องคุณ) “เคน-ธีรเดช” เลยเชียวล่ะ ..เพราะเอาเข้าจริง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ก็ยังต้องการความน่าสนใจจากสิ่งรอบข้างตัวพระเอกประกอบกันด้วย ตัวอย่าง อาทิเช่น ความน่าดูจากพลอตเรื่อง ความน่ารักของตัวนางเอก และความน่าประทับใจเพียงเสี้ยวสั้นๆจากตัวอย่างแบบแซมเปิลๆ

ซึ่งให้พอดีที่ว่า ประการหลัง มันเข้าทาง มือตัดต่อตัวอย่างชั้นเซียนของ GTH อยู่แล้ว ..จึงไม่น่าตกใจเท่าไหร่ ที่เมื่อมันได้โผล่ออกมา จะพบว่าใครต่อใครรอบกายผม ต่างก็มีอาการหลงเคลิ้ม อยากดูอยากชม หนังฟีลกู้ดเรื่องใหม่เรื่องนี้ กันเป็นแถบ

ผมไม่นึกสงสัยอะไรหรอก ที่ได้รับรู้ว่ามีปฏิกิริยาจากผู้คนที่ผมรู้จักมากมาย ต่างสรรเสริญเยินยอในหนังเรื่องนี้ ..ยิ่งใกล้เข้าวันฉาย กระแสเสียงชักชวน ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงจนเมื่อหนังเข้าแต่วันแรกแล้ว ผมก็มิอาจทนเสียงรบเร้าของเพื่อนฝูงได้ไหวอีกต่อไป ...ทั้งๆที่ใจจริง ก็วางแผนว่าจะไปดูกับคนรู้ใจในอีกสองสามวันให้หลัง (แล้วมันก็ผิดแผนจนกู่ไม่กลับ ถึงขั้นคนรู้ใจหนีไปดูเอง ด้วยประการฉะนี้)

แต่ถึงกระนั้นเอง ก่อนหน้าที่ผมจะได้ดู รถไฟฟ้าฯ ..ผมไม่ได้นึกคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้เอาไว้มากมายเลย เพราะเชื่อว่าตัวเอง คงมีภูมิคุ้มกันความฟีลกู้ดของหนังค่ายนี้ อยู่เยอะพอ ที่จะไม่รู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่อะไรที่ชวนให้ประทับใจได้อีกแล้ว ..หากจะขออย่างมาก แค่รู้สึกดีแบบเพลินๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หนังมันควรจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด

แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ก่อนดู มันก็ได้กลายเป็นความพลาดผิดขึ้นมาในทันที ระหว่างที่ได้ดูหนัง ..ผมได้พบแล้วกับการเป็นหนังไทยอีกเรื่องในรอบปีนี้ ที่พูดได้เต็มปากเลยว่า เป็นหนังดี และพร้อมๆกันนั้น ยังเป็นหนังที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ เกินจากที่คาดเอาไว้เยอะเลย




หลังจากผลงานชิ้นก่อนหน้า “หมากเตะ” ได้ทำแป้กสนั่นลั่นประเทศ แถมยังมีบางเสี้ยวล่อแหลมหวุดหวิดจะก่อปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กะเพื่อนบ้านอีกต่างหาก ..การกลับมาครั้งใหม่ของผู้กำกับ “ปิ๊ง-อดิสรณ์” เลือกที่จะลดความเสี่ยงให้กับตัวเอง ด้วยการทำหนังรอมคอมสบายๆ ตามสไตล์ถนัดเข้าทาง GTH ที่งานนี้ ไม่เน้นขายวัยรุ่นตอนต้น หรือตอนปลายกันโต้งๆ เหมือนเรื่องที่ผ่านๆมา แต่คิดการใหญ่หวังเจาะตลาดคนผู้ใหญ่วัยทำงาน และโดยเฉพาะกับใครที่ยังโสดสนิท เตรียมจองที่ไปสิงสู่หมู่บ้านคานทองนิเวศน์ ..ครานี้ คงโดนความฟีลกู้ดเล่นงานกันเต็มๆ

เรื่องราวของ รถไฟฟ้าฯ ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก มิหนำซ้ำยังออกจะคล้ายๆคลึงๆกับพลอตของหนังเกาหลีอะไรเทือกนั้น ที่นางเอกจะเป็นคนที่ไม่เข้าตาใครเขา ทำอะไรก็ดูตลกๆ ไม่เข้าท่าไปหมด ..หากกระนั้นแล้ว คนที่ดูท่าน่าจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตอย่างเธอ ก็ยังอุตส่าห์มีผู้ชายบางคนมาตกหลุมรักได้ลง ถึงต่อให้เขาคนนั้นจะ Perfect, Handsome & Smart แม้น..แมน เสียขนาดไหนก็ตามเถอะ

แต่ก็ใช่ว่า เราจะลอกพลอตเขามาแล้วไม่ทำการดัดแปลงอะไรหรอกนะ ..เพราะถ้าว่ากันด้วยรสชาติของหนังไทยสักเรื่องแล้ว (โดยเฉพาะกับหนังไทยในแบบ GTH ด้วยกัน) รถไฟฟ้าฯ ยังคงแอบใส่เสน่ห์ของสังคมไทยลงไปได้อย่างน่ารักน่าหยิก อีกบางฉากก็กัดๆขบๆให้มันส์ปากใช่เล่น ..และจะอินมากๆ สำหรับใครก็ตามที่ใช้ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว(จริงหรือ?) อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ด้วยแล้ว

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ได้ยกบทให้ กรุงเทพ เป็นดังตัวประกอบตัวหนึ่งของเรื่องราวในหนัง ..และกรุงเทพ ในรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ก็ยังคงเป็นสถานที่เดิมๆ ที่เราคุ้นเคยจนชาชิน มาแต่ไหนแต่ไรอยู่ร่ำไป

แต่ในครานี้ สิ่งที่เรารู้จักในหนังเรื่องนี้ ได้รับโอกาสปรับปรุงวิสัยทัศน์ของตัวเองเสียใหม่ (เมืองเดิมๆ ดูขึ้นกล้อง ชวนให้น่าอยู่ซะงั้น  ) ..และขณะเดียวกันในหนังเรื่องเดียวกัน ก็ยังเป็นโอกาส ทำให้ใครบางคนที่ดูหนังเรื่องนี้ ได้รู้จัก และปรับปรุง วิธีคิดในเรื่องของความรักของตัวเองเสียใหม่

ซึ่งใครคนที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นคนเขียนรีวิวคนนี้ ที่เพิ่งจะได้รู้ว่า ..การมี “แฟน” ไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่มีไว้ให้รู้ว่ายังมีใครสักคนที่รักเรา




แต่เดิม ผมเคยคิดว่า การมีแฟนสักคนนั้น มันคือการทำให้เราได้พบกับความสุข ..เป็นสุขที่ได้เห็นหน้าค่าตากัน ได้ไปไหนต่อไหนด้วยกัน ได้แบ่งปันเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเจอในแต่ละวัน พูดคุยกัน จับมือกัน หรือกระทั่งได้โบกมือบ๊ายบายกัน ทุกครั้งที่ต้องจากลา ..ผมว่า สิ่งเหล่านี้ คือเรื่องที่ต้องทำ สำหรับคนเป็นแฟนกัน

และผมก็ไม่เชื่อด้วยว่า การเป็นแฟนกัน แล้วไม่เจอหน้ากันเลย จะเป็นความรักที่ยั่งยืนในภายภาคหน้า ..ผมมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อผมก็มีเพื่อนของผมคนหนึ่งที่เคยเป็นแฟนกับรุ่นน้องที่ได้เจอกันในอินเตอร์เน็ต แล้วต่อมาไม่นาน ทั้งสองก็ต้องเลิกรา ด้วยความไม่เข้าใจกันอย่างหนึ่ง และอีกอย่างก็คือ ปัญหาของการสื่อสาร ..ที่ถึงต่อจะมีโทรศัพท์ไว้คอยช่วยย่นระยะให้ แต่ด้วยความที่ไกล และห่างจากกันหลายร้อยกิโล จึงไม่แปลกที่การไม่เคยเจอตัวจริงกันเลยสักครั้ง จะไม่สามารถให้ความไว้ใจกันได้เต็มที่

ขณะที่เพื่อนผม ก็ซื่อสัตย์ในความรักกับสาวเจ้า แต่รุ่นน้องคนที่ว่า ก็ยังแอบไปกิ๊กกั๊กกับคนอื่นในเวลาเดียวกัน ...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลที่เบื่อกับการต้องทนรอจะมีโอกาสได้เจอหน้าสักที หรือว่าเบื่อกับการต้องคุยผ่านทางโทรศัพท์ทุกวี่ทุกวันจนกลายเป็นการสิ้นเปลือง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงความจริงใจ(เวลาไม่เห็นหน้า)ได้มากขนาดไหน ..แต่ถึงยังไงผมก็แน่ใจ(คุยกับเพื่อนไปตรงๆ)ว่า ความรักแบบนี้ มันไม่มีทางเป็นรักแท้ได้แน่นอน

ซึ่งแม้ในที่สุดแล้ว เพื่อนผมจะยังไม่เข็ดหลาบ และยังอาจอยากมีรักแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดในเชิงอุดมคติของมันเอง ..แต่ผมก็ขอแค่เก็บเรื่องนี้ เอาไว้เป็นประสบการณ์ ที่สอนให้รู้ว่า ความรักที่จริงแท้ คือ การได้มองสบตา และเผยความในใจ อย่างไม่ซ่อนเร้นอารมณ์ใดๆบนใบหน้า ..นี่สิ ที่จะสามารถพัฒนาคำว่า แฟน ให้กลายเป็น คู่ชีวิต ได้ในที่สุด

แต่จนแล้วจนรอด เมื่อผมได้มาพานประสบพบ ประสบการณ์ความรักแบบจัดฉาก ใน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เรื่องนี้ เข้าให้อย่างจัง ..ผมก็เพิ่งจะมาคิดออกว่า ผมได้เผลอสบประมาทความรักในอุดมคติของคุณเพื่อนไปแล้วเรียบร้อย

ถึงประโยคเด็ดเพียงประโยคเดียวที่สาวโอปอล์(มาขโมยซีนเป็น เพื่อนนางเอก ในงวดนี้) เอื้อนเอ่ยออกไป ว่า “แฟนไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่มีไว้ให้รู้ว่ายังมีใครสักคนที่รักเรา” คงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นบทสรุปของชีวิตคู่ได้เลย ..แต่หากมองว่ามันเป็นคาถาบทหนึ่งแล้ว นี่ก็คงเป็นคาถาดีๆที่จะช่วยประคับประคองความรักของคนสองคนให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน หากเลือกจะปฏิบัติมัน อย่างมีเหตุมีผล

เหตุผลของมัน ไม่ได้อยู่ตรงที่ เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้เป็นปกติ โดยไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าแฟนจะเป็นอะไร อย่างไรเลย ..แต่มันควรจะเป็นที่ เราต้องแคร์ความรู้สึกของแฟนเป็นใหญ่ กระทั่งสามารถเข้าใจในสถานะที่แตกต่างของคนสองคน ระหว่างเวลาๆหนึ่งที่จำเป็นต้องไกลห่างให้จนได้

และที่สำคัญ เมื่อเราเข้าใจมัน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ด้วย ...ต้องยอมรับในสถานะขณะนั้น ที่ทำให้เราต้องมีสภาพในแบบที่ใครๆ(คนนอก)เขามองว่า เราไม่มีใครเคียงคู่

ระหว่างที่ผมดูหนังเรื่องนี้ไป ผมก็ได้คิดถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาในขณะนั้น ..มันเป็นเพลงที่ผมกำลังชอบมากๆอยู่ในตอนนี้ และเมื่อนึกๆไปเรื่อย มันก็แอบตลก(ร้าย)ในใจ ตรงที่ เนื้อหาของเพลง กับจุดประสงค์ของเพลง มันช่างดูขัดแย้ง แตกต่างกันเหลือเกิน หากเอามันมาเทียบกับเรื่องราวในหนัง

เพราะในขณะที่ตัวเนื้อหากับหนัง มันช่างมีความคล้ายคลึงกัน ..แต่จุดประสงค์ที่เพลงอยากจะนำเสนอจริงๆ กลับพูดถึง คนๆหนึ่งที่อยู่ห่างไกลกันลิบลับอย่างคนละโลกกับคนที่ตัวเองรัก (ผู้ชายยังอยู่ในโลกของคนเป็น ..ส่วนผู้หญิงคล้ายก้ำกึ่งจะอยู่ในโลกของคนตายไปแล้ว)

เพลงที่ผมว่านี้ คือ เพลง “คนไม่มีเวลา” ของ “ว่าน-ธนกฤต”


------- อ่านต่อความเห็นถัดไปครับ -------

จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN
เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 16:51:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com