 |
เพิ่งได้ดูหนีตามกาลิเลโอ... ถึงเวลาพาหัวใจหนีไปเที่ยว
|
|
ใครอยากไปเที่ยวยกมือขึ้น?
ด้วยคำถามข้างบนผมเชื่อว่าคนปกติส่วนใหญ่เมื่อได้ยินแล้วคงจะยกมือขึ้นมาให้ผม หากไม่ยกก็คงเพราะอาจจะเขิน หรือไม่ก็เป็นคนติดบ้านจริงๆ แต่สำหรับผม ผมชอบการท่องเที่ยวครับ แม้ว่าจริงๆแล้วจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวมากนักก็ตาม แล้วสำหรับคุณล่ะครับ ได้ท่องเที่ยวกันจริงๆครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน หรือบางคนอาจะไปท่องเที่ยวด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
เช่นเดียวกับ เชอรี่ (ต่าย) และ นุ่น สองสาวเพื่อนซี้จากเรื่อง หนีตามกาลิเลโอ ที่ได้มีโอกาสออกท่องเที่ยว และเปิดหัวใจสู่โลกกว้าง เนื่องจากอาการผิดหวังในชีวิตของแต่ละคน เชอรี่ สาวมั่นแนวห้าว อกหักจากการเรียนที่ต้องถูกพักการเรียนเนื่องจากไปปลอมลายเซ็นอาจารย์เข้า ทำให้อนาคตที่สดใสมาตลอดในการศึกษา อีกทั้งยังเป็นความหวังของครอบครัวต้องสะดุดลง ประจวบเหมาะกับเพื่อนซี้สาวสวยอย่าง นุ่น ก็เกิดอกหักรักคุดกับแฟนขึ้นมา ด้วยความไม่เข้าใจกันตามเหตุผลยอดนิยมในการเลิกกันส่วนใหญ่ของวัยรุ่นยุคนี้ ทั้งสองคนจึงจับมือกัน หนีจากความผิดหวังที่ได้เจอ ออกเดินทางสู่ลอนดอน เพื่อไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย แน่นอนครับเรื่องราวเดินผ่านชีวิตของทั้งสองคนไปตามแนวของภาพยนตร์ในรูปแบบนี้อย่างน่ารักน่าชัง แม้จะไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นมากมายนัก แต่ก็ทำให้คนที่มักออกไปเที่ยวได้เพียงแค่ตั๋วเดินทางตอนหลับฝันอย่างผม ได้เพลิดเพลินไปกับวิวสวยๆของประเทศต่างๆเป็นอย่างดี
ครั้งแรกทีได้ยินข่าวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งแรกที่ผมคาดหวังที่จะได้เจอก็ไม่พ้นวิวสวยๆของประเทศฝั่งยุโรป (อังกฤษ , ฝรั่งเศส , อิตาลี) บวกกับการถ่ายภาพสวยๆที่เป็นเหมือนโลโก้ของทาง GTH อยู่แล้ว และก็ไม่ผิดหวังครับ แต่ขอบอกอย่างจริงๆใจว่ายังนึกไม่ออกจริงๆตอนที่เห็นหนังตัวอย่างเรื่องนี้ว่านอกจากที่พูดมาแล้ว เขาจะนำเสนออะไรอีกบ้าง ซึ่งพอได้ชมแล้วผลปรากฏว่า ด้วยการแสดงที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติของนักแสดง (เนื่องจากรู้สึกจะเล่นเป็นตัวเองกันหมดเลย) การเดินเรื่องที่สอดแทรกเรื่องราวของมุมมองชีวิตผ่านตัวละครหลัก และ มิตรภาพที่ลึกซึ้งมากขึ้นของทั้งสอง มันเหมือนน้ำล้างอารมณ์ผมจากหนังฟอร์มยักษ์ประเภททำลายล้างของฝั่งฮอลลีวู้ดได้อย่างมากมายเลยล่ะครับ
แปลกดีไหมล่ะครับ คนเรามักจะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวตามที่ใจเราต้องการสักเท่าไหร่ อาจจะด้วยภาระหน้าที่ที่เราแบกรับกันอยู่ แม้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นการมอบรางวัลให้กับชีวิตเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตก็ตาม เช่นเดียวกับ เชอรี่ และ นุ่น ที่หากไม่เจอกับความผิดหวังก็คงไม่คิดที่จะหาพื้นที่ใหม่ในชีวิตให้กับตัวเองหรอก ด้วยเหตุผลในการเดินทางของทั้งสองเป็นเหมือนการหลบไปเลียแผลใจเสียมากกว่า ผมว่าหลายคนคงเคยมีอารมณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการอกหัก จนอยากจะหนีจากที่เดิมๆแทบไม่ทัน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม สิ่งที่เปลี่ยนไปก็เป็นเพียงสถานที่เท่านั้น ต้นเหตุจริงๆก็คือใจของเราที่ยังคอยหลอกหลอนติดตัวเราไปทุกที่อย่างหนีไม่พ้นนั่นเอง แต่การได้หนีออกไปอยู่ยังที่ใหม่ๆสักพัก อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้พบกับสิ่งใหม่ๆได้เช่นกัน สิ่งที่ตัวละครทั้งสองทำ นั่นคือการนำตัวเองออกจากกะลาแห่งชีวิตที่จำเจ อย่างน้อยมันก็คือการเริ่มต้นที่จะวิ่งเข้าหาสิ่งใหม่ แต่หากเรานำพาไปแต่ร่างกายของเราเท่านั้น ปัญหาต่างๆก็ยังคงจะติดตามเราไปได้ตลอด สังเกตได้จาก เชอรี่ และ นุ่น ที่แม้ว่าในช่วงแรกจะสนุกไปกับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่เข้ามา แต่พออยู่ไปนานเข้าก็ยังหลุดไม่พ้นวังวนของปัญหาที่แต่ละคนได้เจอ ในบางช่วงเวลา แม้ว่าจะหนีมันมาไกลถึงคนละซีกโลกแล้วก็ตาม นั่นอาจเป็นเพราะไม่ได้ให้หัวใจได้หนีตามมาด้วยนั่นเอง
บางครั้งการที่เราหนีจากบางสิ่งไปไกลแสนไกล แต่ก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์เสียที แต่หากบางครั้งแม้ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม หากได้ลองค้นหาที่อยู่ที่แท้จริงของหัวใจให้เจอ ทำความรู้จักกับความทุกข์นั้น และสุดท้ายให้ลองพาหัวใจหนีเที่ยวดู อาจจะเป็นการออกไปจากความทุกข์ได้ดีกว่าก็ได้ หลายคนถามว่าแล้วเราจะพาหัวใจหนีเที่ยวได้อย่างไร และ หนีไปไหนล่ะ... เคยไหมครับที่บางครั้งชีวิตประจำวันของเรา กักขังหัวใจของตัวเราเองไว้ ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราได้เจออยู่ทุกวัน คือสิ่งที่ดีที่สุด การได้กินข้าวกับคนรู้ใจทุกมื้อทำให้กับข้าวอร่อยขึ้น การได้ใช้เวลากับการทำงานอย่างเต็มที่คือชีวิตที่จะประสบความสำเร็จและมีค่า การเดินทางอยู่บนเส้นทางเดิมๆทุกวันจะเป็นชีวิตที่ปลอดภัย ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้เรารู้จักกับชีวิตในแง่มุมเดิมๆที่ดูเหมือนปลอดภัย จนกลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพียงชีวิตในแง่มุมเดียวที่หัวใจของเรารู้จัก หลายครั้งที่เราไปเที่ยวแต่ก็ยังกังวลอยู่กับงาน หลายครั้งที่เราไปกินข้าวที่ร้านแสนอร่อยแต่ก็ยังขมขื่นกับความรู้สึกที่ไม่มีใครคนนั้นได้กินเป็นเพื่อน ...เชื่อไหมครับ พลิกความคิดนิดเดียว หัวใจของคุณก็ได้ไปเที่ยวแล้วครับ
ความรู้สึกของนุ่นในเรื่อง ติดกับดักความคิดที่จะต้องมี ตั้ม แฟนเก่าอยู่ข้างๆตลอด เป็นห่วงกับความสัมพันธ์ที่ต้องเป็นเจ้าของโดยไม่ได้มองถึงที่ว่างระหว่างกันอันอาจเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ที่สร้างความไม่เข้าใจ จนนำมาซึ่งความทุกข์ที่ล็อคกุญแจหัวใจไม่ให้ความสุขได้เข้ามาเยี่ยมแม้ว่าการเดินทางไกลจะทำให้เธอออกจากที่ตรงนั้น แต่ก็ไม่มีประโยชน์เวลาที่แอบดูภาพของ ตั้ม อยู่บ่อยๆ จนกระทั่งได้เจอกับ พิสิทธิ์ หนุ่มเซอร์นิสัยแปลก แต่ลงตัวกับชีวิต หัวใจของเธอก็ได้หลุดออกมาจากกรงขังจนได้
เช่นเดียวกบ เชอรี่ ที่แม้ว่าจะถึงขั้นไม่ยอมกลับบ้าน เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่ต้องเจอในการพักการเรียน แต่ก็ปวดใจทุกครั้งที่ได้เจอกับเพื่อนที่ประสบความสำเร็จแทนที่จะเป็นตัวเอง นั่นเป็นเพราะการยึดติดกับตัวเอง เชื่อเอาเองว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่ใช่สิ่งผิด แต่ลืมให้หัวใจได้ออกมาดูว่าสังคมด้านนอกที่ยังไม่ได้สัมผัสนั้น สิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ถูกอย่างที่คิด แต่เมื่อได้ลองไขกุญแจหัวใจ และ เปิดรับความคิดใหม่ๆ การได้พาหัวใจไปในดินแดนที่แตกต่าง ก็ทำให้มุมมองนั้นเปลี่ยนไป ชีวิตได้มีความสุขมากขึ้น แยกขาดจากการยึดติด เพียงแค่นี้ ไม่เพียงแต่ เชอรี่ จะสบายใจ แต่ชีวิตยังได้พบกับสิ่งที่ดีขึ้นอีกด้วย
ฉากที่ผมชอบมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ตอนที่ พิสิทธิ์ พา นุ่น ออกเที่ยวชมเมืองฝรั่งเศสในมุมมองที่ไม่เคยมาก่อนโดยไม่มีแผนที่มาคอยกำหนด และปิดท้ายด้วยการไปในที่ธรรมดาที่สุด ก็คือบนถนนทั่วไปที่มีคนอยู่มากมาย ก่อนที่จะชูป้ายภาษาไทยที่ไม่มีใครอ่านออก นั่นทำให้เห็นว่าแม้สถานที่ธรรมดาที่สุดซึ่งเดินผ่านทุกวัน แต่สิ่งที่ทั้งสองได้ทำมากกว่าที่แตกต่างออกไป และทำให้มีความสุขมากกว่าทุกวัน เมื่อ นุ่น ถามพิสิทธิ์ว่าการใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ใช้น้ำใช้ไฟฟ้านั้นทำได้จริงหรือ แต่พิสิทธิ์ตอบว่า คนไม่เคยอยู่ก็คิดว่ามันอยู่ไม่ได้ เอาเข้าจริงๆอยู่กันได้ทั้งนั้นแหละ บางทีเราอาจจะคิดจากมุมมองที่เราเจออยู่อย่างเดียว จนลืมไปว่าเส้นทางอื่นๆสำหรับทางเดินของหัวใจยังมีอยู่ ถ้าหากคุณเจอกับความทุกข์ ไม่สบายใจ หรือปัญหาใดๆก็ตาม ลองไขกุญแจให้หัวใจได้หนีเที่ยวดูบ้างสิครับ ไม่แน่นะครับว่าการไปเที่ยวที่ไหนไกลๆเพื่อเป็นการหลบหนี อาจไม่จำเป็นก็ได้ ลองยืนนิ่งอยู่กับที่ หลับตา ค้นหากรงขังที่ลั่นกลอนหัวใจเอาไว้ แล้วปลดล็อคมันเสีย พอหัวใจได้แอบหนีออกมาแล้ว เราอาจจะพบกับความสุขที่แตกต่างจนวิ่งไล่ตามจับหัวใจกลับมาใส่ที่เดิมไม่ได้อีกก็ได้นะครับ
อีกอย่างที่ผมได้รู้สึกจากหนังเรื่องนี้ ก็คือ แม้ว่าประเทศอื่นๆจะสวยงามเพียงใด หอไอเฟลอาจเป็นความฝันให้ได้ไปเห็น แต่ความรู้สึกที่แท้จริงคือ นั่นไม่ใช่บ้านครับ เหมือนสิ่งต่างๆที่ นุ่น และ เชอรี่เจอกับการอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่แต่เหงาโคตรๆ อย่างที่บอกกันในเรื่อง ทำให้ผมดีใจและอบอุ่นใจทุกครั้งที่อยู่ใต้ที่นอนอุ่นๆที่บ้านเราครับ เอาล่ะ ! ผมว่าได้เวลาปล่อยให้หัวใจผมออกไปเที่ยวบ้างแล้ว ถ้าหากไปเจอที่ไหนสนุกๆ สวยงาม แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ เจอกันที่อีกฝั่งของความสุขครับ... ทุกคน!!!.
จากคุณ |
:
คนขี่แผ่น
|
เขียนเมื่อ |
:
17 พ.ย. 52 03:41:19
|
|
|
|  |