| ประเทศอังกฤษ - ตอนเกิด ใครๆก็นึกว่า ไม่รอดเพราะคลอดก่อนกำหนด ช่วงวัยเด็ก เขาอยากรู้ว่า ดวงจันทร์มีขนาดและห่างจากโลกเท่าไหร่ อาจจะโชคดีที่ว่า ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เกิดการระบาดของกาฬโรค เขาไม่เป็นไรจากโรคร้าย และออกจากเรียน โดยย้ายไปอยู่กับแม่ และนี่เองที่เป็นจุดพลิก เขามักจะสังเกตในสิ่งที่ไม่มีใครสนใจและขบคิดเชิงลึกมาก มีอยู่วันหนึ่ง เขาเห็นแอปเปิลหล่นจากต้นไม้ เขาสงสัยว่า ทำไมแอปเปิลต้องหล่น มีแรงลึกลับอะไรมาดูดหรือเปล่า และถ้าแรงนี้มีจริง ก็น่าจะมีผลกับทุกอย่างบนโลก เขาจึงตั้งทฤษฎีขึ้นมาใหม่และเรียกแรงนี้ว่า แรงโน้มถ่วง เขายังศึกษาด้านแสงอาทิตย์ด้วย จนพบว่า แสงสีขาว เมื่อเอาปริซึมมาแยก จะเกิดเป็นสีต่างๆได้ รวมทั้งแสงยังมีการหักเหต่างกันด้วย ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างกล้องโทรทรรศน์โดยใช้กระจกเงาสะท้อนให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ชีวิตส่วนตัวเขา ก็มักมีปัญหาและทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน โดยเฉพาะเรื่องการโต้แย้งทางความคิดและทฤษฎีกับนักวิทยาศาสตร์ จนทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขและไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ทั้งยังเคยเก็บตัวเงียบนานถึง 6 ปีหลังมารดาเสียชีวิต บั้นปลายชีวิต เขาไม่มีครอบครัวเนื่องจากไม่ได้แต่งงาน แต่ (1 คน) |
|
|
|
|  | | อยู่กับหลานสาวในช่วงท้าย ก่อนสิ้นลม มีคนเคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์คนเดียวที่โด่งดังที่สุดในโลกจากเกาะอังกฤษก็คือ เซอร์ ไอแซก นิวตัน (2 คน) |
|
|
|
| ประเทศออสเตรีย - มีพ่อที่เข้มงวดมาก เขาผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ เกิดมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนในออสเตรียติดชายแดนเยอรมนี สมัยเรียน เคยชอบวิชาศิลปะ แต่มีปากเสียงกับพ่อตลอดเนื่องจากพ่อต้องการให้เขารับราชการตามที่พ่อเป็นอยู่ แต่เขาไม่ชอบอาชีพดังกล่าวเลย พยายามค้านทุกอย่าง เคยไปสอบเข้าโรงเรียนศิลป์ แต่สถาบันในออสเตรียไม่ยอมรับ เคยต้องใช้เงินบำนาญในการยังชีพ และในบางครั้ง เขาไม่เหลือเงินเลยเมื่อพ่อและแม่เสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหาร เขาหนีไปเยอรมนีและไม่ยอมเกณฑ์ทหารให้กับกองทัพออสเตรีย อีกอย่าง ใจลึกๆของเขา ก็ปลื้มความเป็นเยอรมนีมาแต่ไหน จึงไปสมัครเป็นอาสาสมัครกองทัพเยอรมนีแทน และยังคิดโทษโกรธเคืองชาวยิวกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภาวะวิกฤตในออสเตรีย(รวมทั้งการก่อการต่างๆที่มีผลต่อชาวอารยัน) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง เขาเริ่มลงเล่นการเมือง จนในที่สุดก็ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีโดยชูนโยบายต่อต้านชาวยิว กองทัพเยอรมนีเริ่มเข้ายึดออสเตรีย ต่อด้วยเชโกสโลวาเกีย (ซึ่งฝรั่งเศสไม่ยอม แต่อังกฤษช่วยไกล่เกลี่ย) จนเมื่อได้คืบจะเอาศอก เขาเดินหน้ายึดโปแลนด์ต่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดทันที รวมทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ (0 คน) |
|
|
|
|  | | ์ชาวยิวนับล้านคนจากค่ายกักกันตามจุดต่างๆ บั้นปลายชีวิต เมื่อเขาถูกกองกำลังโซเวียตเข้ายึด เขาและภรรยายิงตัวตาย ผู้นำคนนี้ก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (1 คน) |
|
|
|
| ประเทศเยอรมนี - เกิดในตระกูลนักดนตรีชื่อดัง เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก จึงไปอยู่กับพี่ชาย ที่บ้านของพี่ชายมีเครื่องดนตรีสารพัดให้เขาได้เล่น(รวมทั้งโน้ตเพลงดังๆมากมาย) เขาขอให้พี่ชายสอนเขาเล่นเครื่องดนตรี เนื่องจากเป็นคนอัจฉริยะและมีพรสวรรค์ เพียงไม่นาน เขาเล่นเก่งกว่าพี่ชาย จนทำให้พี่ชายไม่พอใจและอิจฉา เพราะเล่นออร์แกนและคลาเวียร์ได้เป็นเลิศเกินหน้าเกินตา พี่ชายจึงเอาโน้ตเพลงดังๆไปซ่อน เขาต้องแอบลอกโน้ตเพลงที่พี่ซ่อนไว้ในคืนเดือนหงายเท่านั้น และลอกนานกว่าครึ่งปี เนื่องจากบ้านไม่มีตะเกียงและเทียนไขสักเล่ม จนพี่ชายจับได้ จึงทำลายที่จดไว้ทิ้งหมด เขาเสียใจมาก ต่อมาได้ทำงานเป็นนักดนตรีในโบสถ์ หลังจากนั้น ต้องเดินทางทำงานเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แถมมีอุปสรรคในงานตลอด บางครั้งก็ผิดหวังกับงานที่ตั้งใจไว้ แม้แต่เคยสอนดนตรีให้เจ้าชาย แต่ก็ถูกคนในตระกูลกีดกัน ช่วงชีวิตในการทำงานของเขา ได้แต่งเพลงต่างๆไว้มากมายตั้งแต่วัยเยาว์จนบั้นปลายชีวิต กระทั่งตาเริ่มพร่ามัว เขาเฝ้าพยายามหาทางรักษากับหมอ แต่ก็ไม่หาย จนในที่สุดก็บอดสนิท นับตั้งแต่วันที่เขาเสียชีวิต แม้จะมีลูกถึง 20 คนจากหลายภรรยา แต่ไม่มีคนไหนใส่ใจและเก็บผลงานที่เขาแต่ (1 คน) |
|
|
|
|  | | งไว้เลย จนงานประพันธ์ทั้งหมดกระจัดกระจายหายไป และคนแรกที่ใช้นิ้วแม่มือและนิ้วก้อยเพิ่มเข้าไปในการเล่นคลาเวียร์ก็คือ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาก (1 คน) |
|
|
|
| ประเทศอัลบาเนีย - หญิงลี้ภัยชาวอัลบาเนียที่ได้ชื่อว่าเป็น นักบุญ (ซึ่งสำนักสงฆ์โรมันคาทอลิกเป็นผู้ขนานนาม) ตอนเด็กชอบไปโบสถ์ฟังหลวงพ่อเทศน์มาก ในครั้งแรกที่เธอต้องการบวชเป็นแม่ชี ทางบ้านคัดค้าน แต่ในที่สุดก็ยอม เธอมาประเทศอินเดียเพื่อเป็นครูสอนหนังสือในสำนักชี แต่ความคิดเห็นของเธอขัดกับแม่ชีทั่วไปที่มีนักเรียนเป็นลูกคนมีฐานะ เธอจึงลาออก และอุทิศตนให้เพื่อนมนุษย์โลก ทั้งคนยากจน คนเจ็บ คนน่าสงสาร จัดตั้งกองทุนให้เด็กที่ไม่มีพ่อแม่หรือพ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ รวมทั้งคนใกล้ตาย เช่น ผู้ป่วยโรคนเอดส์ หรือแม้แต่คนใกล้หมดลมหายใจอยู่ข้างถนน ทั้งยังตั้งนิคมโรคเรื้อน เธอยังให้เหตุผลถึงการช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะสุดท้ายว่า ต้องการให้นาทีสุดท้ายของชีวิตคนเหล่านั้นจากไปอย่างสงบสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมาน แม้จะขัดกับหลักศาสนาฮินดูก็ตามที่ว่า การตายเป็นเพียงการละสังขารและปลดปล่อยตัวเองเพื่อไปเกิดใหม่ จนชาวฮินดูมองการกระทำของเธอเป็นเรื่องแปลก (อีกทั้งยังเคยมีปัญหากับชาวฮินดูเรื่องที่เธอเป็นชาวคริสต์ แต่จะมาขอใช้สถานที่ชาวฮินดู) ในที่สุดก็คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ บั้นปลายชีวิต เธอโดนโรคหัวใจรุมเร้าอยู่นานหลายปีจนร่างกายทนไม่ไห (2 คน) |
|
|
|
|  | | ว เพราะหายใจไม่ออก และเสียชีวิตในที่สุด โลกทั้งโลกเรียกเธอว่า แม่ชีเทเรซา (1 คน) |
|
|
|
| ประเทศฮอลแลนด์ - มีพ่อเป็นนักบวช ตอนหนุ่มเคยฝึกงานขายภาพศิลป์ แต่ก็ไม่ชอบชีวิตการขายภาพ อีกทั้งเคยแอบรักลูกสาวเจ้าของบ้านเช่า แต่เธอมีคู่หมั้นแล้ว พอไปขอเธอแต่งงาน ก็โดนหัวเราะใส่ จึงเริ่มมีภาวะจิตใจปั่นป่วน และเริ่มเป็นหนุ่มเจ้าอารมณ์ ในที่สุดจึงออกบวช แต่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเป็นนักบวชได้ จึงเป็นนักเทศน์แทน แต่ก็ยังมีปัญหากับนักเทศน์อาวุโสด้วยกัน ชีวิตตอนนั้น ทั้งสูญเสียความเชื่อมั่น ยากจน และผิดหวังกับชีวิต จึงได้เริ่มเขียนรูปและเรียนการวาดภาพเพิ่ม เคยใช้ชีวิตอยู่ลำพังกับธรรมชาติเพื่อวาดภาพสีน้ำมัน ภาพวาดของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บป่วยทางจิตใจและสมองผ่านสีอันร้อนแรง เช่น การปัดพู่กันแบบหยาบๆ ฝีแปรงที่สับสนอลหม่าน และภาพเขียนที่บิดเบี้ยวไปมา เป็นต้น แม้แต่ช่วงที่ตนเองประสบปัญหาชีวิตต่างๆ ทุกอย่างก็จะลงที่ภาพวาดเหล่านั้น เขาเคยโมโหจนถึงขึ้นกลืนสีน้ำมันลงท้อง ช่วงที่เขาหารายได้ด้วยการวาดภาพ แล้วฝากให้น้องชายขายนั้น ภาพวาดของเขามีราคาถูกมากจนแค่พอประทังชีวิตเท่านั้น แต่ก็มีจิตใจดีเช่นกัน เพราะเขาเคยบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวให้กับคนยากจน บั้นปลายชีวิต เคยตัดใบหูตัวเองจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าเป็นเวลา 1 ปี ท้ายที่ (0 คน) |
|
|
|
|  | | สุด ก็ยิงตัวตายเข้าที่หน้าอกในเวลาต่อมา ใครจะรู้ว่า หนึ่งในภาพวาดที่แพงที่สุดในโลกและมีอิทธิพลกับทฤษฎีการวาดภาพในรุ่นต่อมา ก็คือ วินเซนต์ แวน โกะ (4 คน) |
|
|
|
| ประเทศอเมริกา - เป็นเด็กซนจนทำให้เมือง(ที่เขาอยู่)เกือบไหม้เนื่องจากชอบทดลองไฟ และชอบตั้งคำถามนอกเรื่อง(ที่ครูไม่ได้สอน)ในโรงเรียนตลอดเวลา เริ่มหางานทำตั้งแต่อายุ 12 โดยเป็นเด็กขายลูกอมและหนังสือพิมพ์บนรถไฟ และใช้ตู้รถไฟตู้หนึ่งไว้อ่านหนังสือ เก็บอุปกรณ์และสารเคมีไว้ทดลองไปเรื่อย เขาทำงานเก็บเงินจนซื้อแท่นพิมพ์หนังสือพิมพ์ของเขา ทั้งเขียนและขายหนังสือพิมพ์เอง ซึ่งกลับขายดีมาก แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อสารเคมีที่เขาทดลองตกพื้นในตู้รถไฟและระเบิด ผลก็คือ การฟังของหูเขาแย่ลงทันที ได้ยินแต่เฉพาะเสียงดังๆ แถมโดนเชิญออกจากสถานีด้วย เคยร่วมหุ้นเปิดบริษัทกับคนรู้จัก แต่ก็ถูกเอาเปรียบ สิ่งประดิษฐ์ที่เขาภูมิใจมากก็คือ เครื่องบันทึกเสียง เขาทดลองโดยการพูดไปหนึ่งประโยค ปรากฏว่า เครื่องนั้นมีเสียงเขารอดออกมาด้วยประโยคเดิม ผู้คนตกใจว่า เสียงที่พูดไปแล้ว ออกมาจากเครื่องอีกได้ไง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นเครื่องบันทึกโทรเลข ทั้งยังสานต่อแนวคิดการผลิตหลอดไฟให้ใช้ได้นานตามบ้านเรือนจนมีชื่อเสียง เขาสร้างเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจนสามารถวางกระแสไฟฟ้าทั่วนิวยอร์กและบุกเบิกกิจการไฟฟ้าในอเมริกา และเป็นคนแรกของโลกที่ประดิษฐ์เครื่องถ่ายหนังให้มี (0 คน) |
|
|
|
|  | | ภาพเคลื่อนไหวและเสียงพูด เขาป่วยด้วยโรคภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ทั้งยังโหมงานจนเสียชีวิตในที่สุด สมญานามของพ่อมดที่ชื่อ โทมัส อัลวา เอดิสัน (0 คน) |
|
|
|
| ประเทศเยอรมนี - มีเชื้อสายชาวยิว ตอนเด็กเป็นคนเงียบขรึมและไม่ชอบเล่นกับใคร หัดพูดช้ากว่าเด็กปรกติ หลายคนเชื่อว่า เป็นเพราะกะโหลกบูดเบี้ยวของเขาที่เป็นสาเหตุ จนพ่อคิดว่า เขาโง่ ตอนเรียน เขาเบื่อโรงเรียนเพราะวิธีการสอนเป็นแบบท่องจำ ซึ่งเขาเกลียดมาก แต่กลับทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ยอดเยี่ยม ส่วนวิชาอื่น เรียนแย่ กล่าวกันว่า เขาชอบวิชาวิทยาศาสตร์เพราะตอนเด็ก พ่อเคยนำเข็มทิศมาให้ เขาสงสัยมากว่า ทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปแต่ทิศเหนือ ตอนเรียนจบ เขาเคยสมัครงานเป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่มีสถาบันไหนรับเขาเลย ช่วงที่นาซีเรืองอำนาจในเยอรมนีและกวาดล้างชาวยิว เขารอดเนื่องจากออกจากประเทศก่อน เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พบทฤษฎีสัมพัทธภาพซึ่งนำไปสู่การสร้างพลังงานปรมาณู ทฤษฎีสัมพันธภาพสร้างความงงงวยให้กับผู้คนในตอนแรก แต่เขาก็มีวิธีการอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ นั่นคือ มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวนทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจรู้สึกว่า รถไฟกำลังวิ่ง เพราะฉะนั้น อัตราเร็วและทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน เขาคว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ วันที่เขาส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีแฟรงคลินเกี่ยวกับคุณประโยช (0 คน) |
|
|
|
|  | | น์ของธาตุยูเรเนียม ประเทศญี่ปุ่นคงรู้ผลลัพธ์ดีกว่าใคร บั้นปลายชีวิตของเขาจากโลกนี้ด้วยอาการเลือดตกในช่องท้องเนื่องจากหลอดเลือดในช่องท้องโป่งพอง ทุกคนรู้จักเขาในนามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (0 คน) |
|
|
|
| ประเทศโปแลนด์ - หญิงที่สร้างความฝันต่อลมหายใจให้มวลมนุษยชาติเมื่อโรคร้ายที่ฆ่าคนตายทั่วโลกอันดับหนึ่งตลอดกาลตั้งแต่สมัยไหนยังคงเป็นมะเร็ง ช่วงวัยเรียน เธออยากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาก แต่ไม่มีเงิน จึงไม่ได้เรียน จนเมื่อพี่สาวเธอเรียนจบ เลยส่งเสียเธอต่อ เมื่อเธอแต่งงาน เธอกับสามีก็ช่วยกันค้นคว้าสองคนในโรงไม้เก่าๆแห่งหนึ่ง เธอเชื่อว่า แร่ที่เธอกำลังค้นคว้า ต้องมีธาตุใหม่ที่ซ่อนอยู่และสามารถแผ่กระจายทำลายเซลล์บางอย่างได้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง เมื่อสารสกัดจากแร่ชนิดหนึ่งในถ้วย(ที่วางไว้หลายพันใบ)เปล่งแสงสีม่วงปนสีฟ้า เป็นรัศมีเรืองออกมา และนั่นก็คือ ธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งตั้งชื่อต่อมาภายหลังว่า ธาตุเรเดียม ซึ่งมีอนุภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง จากการค้นคว้าและวิจัย ทำให้เธอเป็นหญิงในประวัติศาสตร์โลกที่คว้ารางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งทั้งสาขาเคมีและสาขาฟิสิกส์ มีคนเคยกล่าวว่า ถ้าเธอจดลิขสิทธิ์ของสารที่เธอค้นพบเป็นของตนเอง เธอจะรวยล้นฟ้าทันที แต่เธอมอบสู่สาธารณะแทน ชีวิตความรักของเธอมักจะเป็นที่พูดถึงของผู้คนทั่วไปในทางลบ แต่เธอกลับมองว่า งานกับเรื่องส่วนตัวเป็นคนละเรื่องกัน บั้นปลายชีวิต เธอล้มป่วยลงเนื่องจากโดนรังสีเรเดียมทำลายก (0 คน) |
|
|
|
|  | | ระดูกจากการทดลองกับสารดังกล่าวอยู่เป็นเวลานาน และเสียชีวิตในที่สุด หญิงที่อาสาสมัครให้หน่วยกาชาดในการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บโดยการเอกซเรย์เคลื่อนที่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือ มารี กูรี (0 คน) |
|
|
|
| ประเทศอินเดีย - มีพ่อเป็นผู้กว้างขวางทางการเมืองและมีแม่ที่เคร่งในศาสนา เป็นลูกคนเล็ก ตอนเด็กเคยขโมยของ แต่กลัวพ่อ จึงยอมรับผิด แต่แทนที่พ่อจะลงโทษ กลับกอดเขาในความกล้าที่จะยอมรับ เนื่องจากเป็นคนนับถือศาสนาฮินดู จึงไม่กินเนื้อ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งเคยยุให้เขาลองกิน โดยให้เหตุผลว่า กินแล้วร่างกายแข็งแรงและสามารถต่อสู้กับพวกอังกฤษเพื่อนำเอกราชมาสู่อินเดีย แต่ก็ต้องอาเจียนออกมา ท้ายที่สุด ก็เลิกกินไปอีกครั้งตามคำขอของแม่ เขาไม่ชอบทหารมากเพราะคิดว่า ทหารเป็นสัญลักษณ์แห่งการฆ่าและสงครามนำมาซึ่งหายนะ เคยอดอาหารอยู่หลายครั้งจากเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ เขาได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วอินเดียเพื่อส่งเสริมการปั่นด้ายด้วยมือ และยังเคยเดินทางไปภาคต่างๆของอินเดียเพื่อยกฐานะชนชั้นต่ำต้อย เขาเคยเป็นผู้นำของพรรคคองเกรสเพื่อประกาศให้อังกฤษถอนตัวจากอินเดีย และเคยเดินเท้าเปล่าไปยังเมืองที่มีการต่อสู้กันระหว่างชาวฮินดูและชาวมุสลิมเพื่อยับยั้งไม่ให้มีการประหารกัน คำสอนของเขามีอิทธิพลต่อคนในอินเดียจนสามารถรวมพลังกอบกู้เอกราชจากอังกฤษโดยการต่อสู้แบบสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง บั้นปลายชีวิต เขาเป็นคนตรงต่อเวลามาก และกล่าวในการสวดว่า เขาไม่อยากไป (0 คน) |
|
|
|
|  | | สวดมนต์สายเพียงแม้แต่นาที ก่อนถูกสังหารในการสวดมนต์ครั้งนั้นด้วยอาวุธปืน 3 นัด ผู้นำทางความคิดในแบบอหิงสาคนนี้ก็คือ มหาตมา คานธี (0 คน) |
|
|
|
| ประเทศอิตาลี - เคยเรียนวิชาแพทย์ตามที่พ่อต้องการ แต่ไม่ชอบ จึงออก อีกอย่างสนใจเรื่องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า สิ่งแรกที่เขาค้นพบก็คือ วันหนึ่งเขานั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ เขาสังเกตเห็นการแกว่งของโคมตะเกียงที่ห้อยลงมาจากเพดานว่า ใช้เวลาเท่ากันตลอด (ไม่ว่าระยะแกว่งจะสั้นหรือยาวก็ตาม) โดยใช้การเต้นของชีพจรจับเวลา(เนื่องจากเคยเรียนวิชาแพทย์มา) เขาตั้งกฎเกี่ยวกับการแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาขึ้น จนกลายเป็นเครื่องจับเวลาและนาฬิกาลูกตุ้มในเวลาต่อมา ความคิดของเขายังขัดกับทฤษฎีของอริสโตเติลที่ว่า "วัตถุน้ำหนักไม่เท่ากัน วัตถุที่หนักกว่าจะตกถึงพื้นก่อน" แต่เขาแย้งว่า "วัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกถึงพื้นพร้อมกัน" เขาพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนโดยโยนวัตถุ 2 สิ่งลงมาจากหอเอนเมืองปิซา ทฤษฎีนี้กลายเป็นข้อกล่าวหาทำนองลบหลู่ศาสนา เพราะประชาชนในยุคนั้นเชื่อแต่อริสโตเติล เขาถูกนำตัวขึ้นศาลศาสนาด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า ชอบสอนประชาชนให้มีความคิดแตกต่างจากความเชื่อเดิมที่เคยยึดกันมา และถูกหาว่า เป็นพวกนอกรีต จนเคยเกือบถูกประหารชีวิต บั้นปลายของชีวิต เขาตาบอด และทนทุกข์ทรมานกับโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ เขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในที่สุด (0 คน) |
|
|
|
|  | | นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้รับการยกย่องในสมัยนั้น เพราะเป็นคนที่ไม่เชื่อสิ่งใดๆ(ที่แม้คนทั่วไปจะเชื่อ) ก็คือ กาลิเลโอ (0 คน) |
|
|
|
| |
| | | ประเทศอังกฤษ - ตอนเกิด ใครๆก็นึกว่า ไม่รอดเพราะคลอดก่อนกำหนด ช่วงวัยเด็ก เขาอยากรู้ว่า ดวงจันทร์มีขนาดและห่างจากโลกเท่าไหร่ อาจจะโชคดีที่ว่า ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เกิดการระบาดของกาฬโรค เขาไม่เป็นไรจากโรคร้าย และออกจากเรียน โดยย้ายไปอยู่กับแม่ และนี่เองที่เป็นจุดพลิก เขามักจะสังเกตในสิ่งที่ไม่มีใครสนใจและขบคิดเชิงลึกมาก มีอยู่วันหนึ่ง เขาเห็นแอปเปิลหล่นจากต้นไม้ เขาสงสัยว่า ทำไมแอปเปิลต้องหล่น มีแรงลึกลับอะไรมาดูดหรือเปล่า และถ้าแรงนี้มีจริง ก็น่าจะมีผลกับทุกอย่างบนโลก เขาจึงตั้งทฤษฎีขึ้นมาใหม่และเรียกแรงนี้ว่า แรงโน้มถ่วง เขายังศึกษาด้านแสงอาทิตย์ด้วย จนพบว่า แสงสีขาว เมื่อเอาปริซึมมาแยก จะเกิดเป็นสีต่างๆได้ รวมทั้งแสงยังมีการหักเหต่างกันด้วย ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างกล้องโทรทรรศน์โดยใช้กระจกเงาสะท้อนให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ชีวิตส่วนตัวเขา ก็มักมีปัญหาและทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน โดยเฉพาะเรื่องการโต้แย้งทางความคิดและทฤษฎีกับนักวิทยาศาสตร์ จนทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขและไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ทั้งยังเคยเก็บตัวเงียบนานถึง 6 ปีหลังมารดาเสียชีวิต บั้นปลายชีวิต เขาไม่มีครอบครัวเนื่องจากไม่ได้แต่งงาน แต่ (1 คน) |
| | | อยู่กับหลานสาวในช่วงท้าย ก่อนสิ้นลม มีคนเคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์คนเดียวที่โด่งดังที่สุดในโลกจากเกาะอังกฤษก็คือ เซอร์ ไอแซก นิวตัน (2 คน) |
| | | ประเทศออสเตรีย - มีพ่อที่เข้มงวดมาก เขาผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ เกิดมาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนในออสเตรียติดชายแดนเยอรมนี สมัยเรียน เคยชอบวิชาศิลปะ แต่มีปากเสียงกับพ่อตลอดเนื่องจากพ่อต้องการให้เขารับราชการตามที่พ่อเป็นอยู่ แต่เขาไม่ชอบอาชีพดังกล่าวเลย พยายามค้านทุกอย่าง เคยไปสอบเข้าโรงเรียนศิลป์ แต่สถาบันในออสเตรียไม่ยอมรับ เคยต้องใช้เงินบำนาญในการยังชีพ และในบางครั้ง เขาไม่เหลือเงินเลยเมื่อพ่อและแม่เสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหาร เขาหนีไปเยอรมนีและไม่ยอมเกณฑ์ทหารให้กับกองทัพออสเตรีย อีกอย่าง ใจลึกๆของเขา ก็ปลื้มความเป็นเยอรมนีมาแต่ไหน จึงไปสมัครเป็นอาสาสมัครกองทัพเยอรมนีแทน และยังคิดโทษโกรธเคืองชาวยิวกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภาวะวิกฤตในออสเตรีย(รวมทั้งการก่อการต่างๆที่มีผลต่อชาวอารยัน) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง เขาเริ่มลงเล่นการเมือง จนในที่สุดก็ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีโดยชูนโยบายต่อต้านชาวยิว กองทัพเยอรมนีเริ่มเข้ายึดออสเตรีย ต่อด้วยเชโกสโลวาเกีย (ซึ่งฝรั่งเศสไม่ยอม แต่อังกฤษช่วยไกล่เกลี่ย) จนเมื่อได้คืบจะเอาศอก เขาเดินหน้ายึดโปแลนด์ต่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดทันที รวมทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ (0 คน) |
| | | ์ชาวยิวนับล้านคนจากค่ายกักกันตามจุดต่างๆ บั้นปลายชีวิต เมื่อเขาถูกกองกำลังโซเวียตเข้ายึด เขาและภรรยายิงตัวตาย ผู้นำคนนี้ก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (1 คน) |
| | | ประเทศเยอรมนี - เกิดในตระกูลนักดนตรีชื่อดัง เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก จึงไปอยู่กับพี่ชาย ที่บ้านของพี่ชายมีเครื่องดนตรีสารพัดให้เขาได้เล่น(รวมทั้งโน้ตเพลงดังๆมากมาย) เขาขอให้พี่ชายสอนเขาเล่นเครื่องดนตรี เนื่องจากเป็นคนอัจฉริยะและมีพรสวรรค์ เพียงไม่นาน เขาเล่นเก่งกว่าพี่ชาย จนทำให้พี่ชายไม่พอใจและอิจฉา เพราะเล่นออร์แกนและคลาเวียร์ได้เป็นเลิศเกินหน้าเกินตา พี่ชายจึงเอาโน้ตเพลงดังๆไปซ่อน เขาต้องแอบลอกโน้ตเพลงที่พี่ซ่อนไว้ในคืนเดือนหงายเท่านั้น และลอกนานกว่าครึ่งปี เนื่องจากบ้านไม่มีตะเกียงและเทียนไขสักเล่ม จนพี่ชายจับได้ จึงทำลายที่จดไว้ทิ้งหมด เขาเสียใจมาก ต่อมาได้ทำงานเป็นนักดนตรีในโบสถ์ หลังจากนั้น ต้องเดินทางทำงานเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แถมมีอุปสรรคในงานตลอด บางครั้งก็ผิดหวังกับงานที่ตั้งใจไว้ แม้แต่เคยสอนดนตรีให้เจ้าชาย แต่ก็ถูกคนในตระกูลกีดกัน ช่วงชีวิตในการทำงานของเขา ได้แต่งเพลงต่างๆไว้มากมายตั้งแต่วัยเยาว์จนบั้นปลายชีวิต กระทั่งตาเริ่มพร่ามัว เขาเฝ้าพยายามหาทางรักษากับหมอ แต่ก็ไม่หาย จนในที่สุดก็บอดสนิท นับตั้งแต่วันที่เขาเสียชีวิต แม้จะมีลูกถึง 20 คนจากหลายภรรยา แต่ไม่มีคนไหนใส่ใจและเก็บผลงานที่เขาแต่ (1 คน) |
| | | งไว้เลย จนงานประพันธ์ทั้งหมดกระจัดกระจายหายไป และคนแรกที่ใช้นิ้วแม่มือและนิ้วก้อยเพิ่มเข้าไปในการเล่นคลาเวียร์ก็คือ โยฮันน์ เซบาสเตียน บาก (1 คน) |
| | | ประเทศอัลบาเนีย - หญิงลี้ภัยชาวอัลบาเนียที่ได้ชื่อว่าเป็น นักบุญ (ซึ่งสำนักสงฆ์โรมันคาทอลิกเป็นผู้ขนานนาม) ตอนเด็กชอบไปโบสถ์ฟังหลวงพ่อเทศน์มาก ในครั้งแรกที่เธอต้องการบวชเป็นแม่ชี ทางบ้านคัดค้าน แต่ในที่สุดก็ยอม เธอมาประเทศอินเดียเพื่อเป็นครูสอนหนังสือในสำนักชี แต่ความคิดเห็นของเธอขัดกับแม่ชีทั่วไปที่มีนักเรียนเป็นลูกคนมีฐานะ เธอจึงลาออก และอุทิศตนให้เพื่อนมนุษย์โลก ทั้งคนยากจน คนเจ็บ คนน่าสงสาร จัดตั้งกองทุนให้เด็กที่ไม่มีพ่อแม่หรือพ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ รวมทั้งคนใกล้ตาย เช่น ผู้ป่วยโรคนเอดส์ หรือแม้แต่คนใกล้หมดลมหายใจอยู่ข้างถนน ทั้งยังตั้งนิคมโรคเรื้อน เธอยังให้เหตุผลถึงการช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะสุดท้ายว่า ต้องการให้นาทีสุดท้ายของชีวิตคนเหล่านั้นจากไปอย่างสงบสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมาน แม้จะขัดกับหลักศาสนาฮินดูก็ตามที่ว่า การตายเป็นเพียงการละสังขารและปลดปล่อยตัวเองเพื่อไปเกิดใหม่ จนชาวฮินดูมองการกระทำของเธอเป็นเรื่องแปลก (อีกทั้งยังเคยมีปัญหากับชาวฮินดูเรื่องที่เธอเป็นชาวคริสต์ แต่จะมาขอใช้สถานที่ชาวฮินดู) ในที่สุดก็คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ บั้นปลายชีวิต เธอโดนโรคหัวใจรุมเร้าอยู่นานหลายปีจนร่างกายทนไม่ไห (2 คน) |
| | | ว เพราะหายใจไม่ออก และเสียชีวิตในที่สุด โลกทั้งโลกเรียกเธอว่า แม่ชีเทเรซา (1 คน) |
| | | ประเทศฮอลแลนด์ - มีพ่อเป็นนักบวช ตอนหนุ่มเคยฝึกงานขายภาพศิลป์ แต่ก็ไม่ชอบชีวิตการขายภาพ อีกทั้งเคยแอบรักลูกสาวเจ้าของบ้านเช่า แต่เธอมีคู่หมั้นแล้ว พอไปขอเธอแต่งงาน ก็โดนหัวเราะใส่ จึงเริ่มมีภาวะจิตใจปั่นป่วน และเริ่มเป็นหนุ่มเจ้าอารมณ์ ในที่สุดจึงออกบวช แต่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเป็นนักบวชได้ จึงเป็นนักเทศน์แทน แต่ก็ยังมีปัญหากับนักเทศน์อาวุโสด้วยกัน ชีวิตตอนนั้น ทั้งสูญเสียความเชื่อมั่น ยากจน และผิดหวังกับชีวิต จึงได้เริ่มเขียนรูปและเรียนการวาดภาพเพิ่ม เคยใช้ชีวิตอยู่ลำพังกับธรรมชาติเพื่อวาดภาพสีน้ำมัน ภาพวาดของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บป่วยทางจิตใจและสมองผ่านสีอันร้อนแรง เช่น การปัดพู่กันแบบหยาบๆ ฝีแปรงที่สับสนอลหม่าน และภาพเขียนที่บิดเบี้ยวไปมา เป็นต้น แม้แต่ช่วงที่ตนเองประสบปัญหาชีวิตต่างๆ ทุกอย่างก็จะลงที่ภาพวาดเหล่านั้น เขาเคยโมโหจนถึงขึ้นกลืนสีน้ำมันลงท้อง ช่วงที่เขาหารายได้ด้วยการวาดภาพ แล้วฝากให้น้องชายขายนั้น ภาพวาดของเขามีราคาถูกมากจนแค่พอประทังชีวิตเท่านั้น แต่ก็มีจิตใจดีเช่นกัน เพราะเขาเคยบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวให้กับคนยากจน บั้นปลายชีวิต เคยตัดใบหูตัวเองจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าเป็นเวลา 1 ปี ท้ายที่ (0 คน) |
| | | สุด ก็ยิงตัวตายเข้าที่หน้าอกในเวลาต่อมา ใครจะรู้ว่า หนึ่งในภาพวาดที่แพงที่สุดในโลกและมีอิทธิพลกับทฤษฎีการวาดภาพในรุ่นต่อมา ก็คือ วินเซนต์ แวน โกะ (4 คน) |
| | | ประเทศอเมริกา - เป็นเด็กซนจนทำให้เมือง(ที่เขาอยู่)เกือบไหม้เนื่องจากชอบทดลองไฟ และชอบตั้งคำถามนอกเรื่อง(ที่ครูไม่ได้สอน)ในโรงเรียนตลอดเวลา เริ่มหางานทำตั้งแต่อายุ 12 โดยเป็นเด็กขายลูกอมและหนังสือพิมพ์บนรถไฟ และใช้ตู้รถไฟตู้หนึ่งไว้อ่านหนังสือ เก็บอุปกรณ์และสารเคมีไว้ทดลองไปเรื่อย เขาทำงานเก็บเงินจนซื้อแท่นพิมพ์หนังสือพิมพ์ของเขา ทั้งเขียนและขายหนังสือพิมพ์เอง ซึ่งกลับขายดีมาก แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อสารเคมีที่เขาทดลองตกพื้นในตู้รถไฟและระเบิด ผลก็คือ การฟังของหูเขาแย่ลงทันที ได้ยินแต่เฉพาะเสียงดังๆ แถมโดนเชิญออกจากสถานีด้วย เคยร่วมหุ้นเปิดบริษัทกับคนรู้จัก แต่ก็ถูกเอาเปรียบ สิ่งประดิษฐ์ที่เขาภูมิใจมากก็คือ เครื่องบันทึกเสียง เขาทดลองโดยการพูดไปหนึ่งประโยค ปรากฏว่า เครื่องนั้นมีเสียงเขารอดออกมาด้วยประโยคเดิม ผู้คนตกใจว่า เสียงที่พูดไปแล้ว ออกมาจากเครื่องอีกได้ไง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นเครื่องบันทึกโทรเลข ทั้งยังสานต่อแนวคิดการผลิตหลอดไฟให้ใช้ได้นานตามบ้านเรือนจนมีชื่อเสียง เขาสร้างเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจนสามารถวางกระแสไฟฟ้าทั่วนิวยอร์กและบุกเบิกกิจการไฟฟ้าในอเมริกา และเป็นคนแรกของโลกที่ประดิษฐ์เครื่องถ่ายหนังให้มี (0 คน) |
| | | ภาพเคลื่อนไหวและเสียงพูด เขาป่วยด้วยโรคภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ทั้งยังโหมงานจนเสียชีวิตในที่สุด สมญานามของพ่อมดที่ชื่อ โทมัส อัลวา เอดิสัน (0 คน) |
| | | ประเทศเยอรมนี - มีเชื้อสายชาวยิว ตอนเด็กเป็นคนเงียบขรึมและไม่ชอบเล่นกับใคร หัดพูดช้ากว่าเด็กปรกติ หลายคนเชื่อว่า เป็นเพราะกะโหลกบูดเบี้ยวของเขาที่เป็นสาเหตุ จนพ่อคิดว่า เขาโง่ ตอนเรียน เขาเบื่อโรงเรียนเพราะวิธีการสอนเป็นแบบท่องจำ ซึ่งเขาเกลียดมาก แต่กลับทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ยอดเยี่ยม ส่วนวิชาอื่น เรียนแย่ กล่าวกันว่า เขาชอบวิชาวิทยาศาสตร์เพราะตอนเด็ก พ่อเคยนำเข็มทิศมาให้ เขาสงสัยมากว่า ทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปแต่ทิศเหนือ ตอนเรียนจบ เขาเคยสมัครงานเป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่มีสถาบันไหนรับเขาเลย ช่วงที่นาซีเรืองอำนาจในเยอรมนีและกวาดล้างชาวยิว เขารอดเนื่องจากออกจากประเทศก่อน เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พบทฤษฎีสัมพัทธภาพซึ่งนำไปสู่การสร้างพลังงานปรมาณู ทฤษฎีสัมพันธภาพสร้างความงงงวยให้กับผู้คนในตอนแรก แต่เขาก็มีวิธีการอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ นั่นคือ มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวนทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจรู้สึกว่า รถไฟกำลังวิ่ง เพราะฉะนั้น อัตราเร็วและทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน เขาคว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ วันที่เขาส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีแฟรงคลินเกี่ยวกับคุณประโยช (0 คน) |
| | | น์ของธาตุยูเรเนียม ประเทศญี่ปุ่นคงรู้ผลลัพธ์ดีกว่าใคร บั้นปลายชีวิตของเขาจากโลกนี้ด้วยอาการเลือดตกในช่องท้องเนื่องจากหลอดเลือดในช่องท้องโป่งพอง ทุกคนรู้จักเขาในนามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (0 คน) |
| | | ประเทศโปแลนด์ - หญิงที่สร้างความฝันต่อลมหายใจให้มวลมนุษยชาติเมื่อโรคร้ายที่ฆ่าคนตายทั่วโลกอันดับหนึ่งตลอดกาลตั้งแต่สมัยไหนยังคงเป็นมะเร็ง ช่วงวัยเรียน เธออยากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาก แต่ไม่มีเงิน จึงไม่ได้เรียน จนเมื่อพี่สาวเธอเรียนจบ เลยส่งเสียเธอต่อ เมื่อเธอแต่งงาน เธอกับสามีก็ช่วยกันค้นคว้าสองคนในโรงไม้เก่าๆแห่งหนึ่ง เธอเชื่อว่า แร่ที่เธอกำลังค้นคว้า ต้องมีธาตุใหม่ที่ซ่อนอยู่และสามารถแผ่กระจายทำลายเซลล์บางอย่างได้ จนกระทั่งคืนหนึ่ง เมื่อสารสกัดจากแร่ชนิดหนึ่งในถ้วย(ที่วางไว้หลายพันใบ)เปล่งแสงสีม่วงปนสีฟ้า เป็นรัศมีเรืองออกมา และนั่นก็คือ ธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งตั้งชื่อต่อมาภายหลังว่า ธาตุเรเดียม ซึ่งมีอนุภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง จากการค้นคว้าและวิจัย ทำให้เธอเป็นหญิงในประวัติศาสตร์โลกที่คว้ารางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งทั้งสาขาเคมีและสาขาฟิสิกส์ มีคนเคยกล่าวว่า ถ้าเธอจดลิขสิทธิ์ของสารที่เธอค้นพบเป็นของตนเอง เธอจะรวยล้นฟ้าทันที แต่เธอมอบสู่สาธารณะแทน ชีวิตความรักของเธอมักจะเป็นที่พูดถึงของผู้คนทั่วไปในทางลบ แต่เธอกลับมองว่า งานกับเรื่องส่วนตัวเป็นคนละเรื่องกัน บั้นปลายชีวิต เธอล้มป่วยลงเนื่องจากโดนรังสีเรเดียมทำลายก (0 คน) |
| | | ระดูกจากการทดลองกับสารดังกล่าวอยู่เป็นเวลานาน และเสียชีวิตในที่สุด หญิงที่อาสาสมัครให้หน่วยกาชาดในการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บโดยการเอกซเรย์เคลื่อนที่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือ มารี กูรี (0 คน) |
| | | ประเทศอินเดีย - มีพ่อเป็นผู้กว้างขวางทางการเมืองและมีแม่ที่เคร่งในศาสนา เป็นลูกคนเล็ก ตอนเด็กเคยขโมยของ แต่กลัวพ่อ จึงยอมรับผิด แต่แทนที่พ่อจะลงโทษ กลับกอดเขาในความกล้าที่จะยอมรับ เนื่องจากเป็นคนนับถือศาสนาฮินดู จึงไม่กินเนื้อ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งเคยยุให้เขาลองกิน โดยให้เหตุผลว่า กินแล้วร่างกายแข็งแรงและสามารถต่อสู้กับพวกอังกฤษเพื่อนำเอกราชมาสู่อินเดีย แต่ก็ต้องอาเจียนออกมา ท้ายที่สุด ก็เลิกกินไปอีกครั้งตามคำขอของแม่ เขาไม่ชอบทหารมากเพราะคิดว่า ทหารเป็นสัญลักษณ์แห่งการฆ่าและสงครามนำมาซึ่งหายนะ เคยอดอาหารอยู่หลายครั้งจากเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ เขาได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วอินเดียเพื่อส่งเสริมการปั่นด้ายด้วยมือ และยังเคยเดินทางไปภาคต่างๆของอินเดียเพื่อยกฐานะชนชั้นต่ำต้อย เขาเคยเป็นผู้นำของพรรคคองเกรสเพื่อประกาศให้อังกฤษถอนตัวจากอินเดีย และเคยเดินเท้าเปล่าไปยังเมืองที่มีการต่อสู้กันระหว่างชาวฮินดูและชาวมุสลิมเพื่อยับยั้งไม่ให้มีการประหารกัน คำสอนของเขามีอิทธิพลต่อคนในอินเดียจนสามารถรวมพลังกอบกู้เอกราชจากอังกฤษโดยการต่อสู้แบบสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง บั้นปลายชีวิต เขาเป็นคนตรงต่อเวลามาก และกล่าวในการสวดว่า เขาไม่อยากไป (0 คน) |
| | | สวดมนต์สายเพียงแม้แต่นาที ก่อนถูกสังหารในการสวดมนต์ครั้งนั้นด้วยอาวุธปืน 3 นัด ผู้นำทางความคิดในแบบอหิงสาคนนี้ก็คือ มหาตมา คานธี (0 คน) |
| | | ประเทศอิตาลี - เคยเรียนวิชาแพทย์ตามที่พ่อต้องการ แต่ไม่ชอบ จึงออก อีกอย่างสนใจเรื่องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า สิ่งแรกที่เขาค้นพบก็คือ วันหนึ่งเขานั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ เขาสังเกตเห็นการแกว่งของโคมตะเกียงที่ห้อยลงมาจากเพดานว่า ใช้เวลาเท่ากันตลอด (ไม่ว่าระยะแกว่งจะสั้นหรือยาวก็ตาม) โดยใช้การเต้นของชีพจรจับเวลา(เนื่องจากเคยเรียนวิชาแพทย์มา) เขาตั้งกฎเกี่ยวกับการแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาขึ้น จนกลายเป็นเครื่องจับเวลาและนาฬิกาลูกตุ้มในเวลาต่อมา ความคิดของเขายังขัดกับทฤษฎีของอริสโตเติลที่ว่า "วัตถุน้ำหนักไม่เท่ากัน วัตถุที่หนักกว่าจะตกถึงพื้นก่อน" แต่เขาแย้งว่า "วัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกถึงพื้นพร้อมกัน" เขาพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนโดยโยนวัตถุ 2 สิ่งลงมาจากหอเอนเมืองปิซา ทฤษฎีนี้กลายเป็นข้อกล่าวหาทำนองลบหลู่ศาสนา เพราะประชาชนในยุคนั้นเชื่อแต่อริสโตเติล เขาถูกนำตัวขึ้นศาลศาสนาด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า ชอบสอนประชาชนให้มีความคิดแตกต่างจากความเชื่อเดิมที่เคยยึดกันมา และถูกหาว่า เป็นพวกนอกรีต จนเคยเกือบถูกประหารชีวิต บั้นปลายของชีวิต เขาตาบอด และทนทุกข์ทรมานกับโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ เขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในที่สุด (0 คน) |
| | | นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้รับการยกย่องในสมัยนั้น เพราะเป็นคนที่ไม่เชื่อสิ่งใดๆ(ที่แม้คนทั่วไปจะเชื่อ) ก็คือ กาลิเลโอ (0 คน) |
| |
จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 13 คน |