 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
*Spoiler Alert* มีสปอยล์บ้าง ใครไม่อยากโดนตามใจ ข้ามไปนะคะ
สัมภาษณ์เรนก่อนไปอเมริกาอีกเช่นกัน ในสัมภาษณ์นี้มีที่สื่อไทยไปตัดมาทำนอง ว่าเรนถูกเทรนเนอร์ดูถูก อันนี้เป็นสัมภาษณ์ฺตัวเต็ม ไม่มีอะไร เทรนเนอร์แค่พูด กระตุ้นกำลังใจ 5555 อย่าไปเชื่อสื่อเสี้ยมค่ะ
เรนและหนัง "Ninja Assassin" ในงาน Asia Junket Press Conference
การ แถลงข่าวหนังเรื่อง "Ninja Assassin" ของเรนจัดขึ้นที่โรงแรงลอตเต ณ กรุงโซล เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 [Chae Ki-won/10Asia]
ฐานะ ซูเปอร์สตาร์แห่งเอเชียของเรนได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากกองทัพนักข่าว เอเชียที่หลั่งไหลมาจากฮ่องกง มาเลเซีย อินเดียและฟิลิปปินส์ ซึ่งแห่มาร่วมงาน Asia Junket Press Conference เพื่อโปรโมทหนัง "Ninja Assassin" ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมลอตเตในกรุงโซลเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งมีการจัดฉายรอบสื่อมวลชนสองวันก่อนงานแถลงข่าว เรนแสดงเป็น "เครื่องจักรสังหารนักสับกระจาย" ซึ่งเป็นตัวละครที่ตัด สับ เชือด เฉือนศัตรูในหนังอย่างไม่ไว้หน้า แต่ก็ยังคงรักษาหัวใจที่อบอุ่นไว้ได้ ฉากแอ็คชั่นของเรนที่แสดงเป็นไรโซ มือสังหารระดับพระกาฬของโลก ซึ่งวา่งแผนล้างแค้นองค์กรนินจาที่ฝึกเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรเพชฌฆาต เป็นหนังที่เข้มข้นกว่าที่เห็นในวิดีโอทีเซอร์มาก ปริมาณของเลือด เนื้อและไขกระดูกที่กระเซ็นกระจายจากการเชือดเฉือนอย่างหฤโหดในหนังเรื่อง นี้ สมแล้วกับที่เป็นหนังสุดระทึกและทำให้หนังเรื่องนี้ได้เรท R ซึ่งหมายถึงไม่อนุญาตให้เยาวชนดู
หนัง "Ninja Assassin" เดินเรื่องด้วยเรนที่เป็นตัวเอก จนแม้กระทั่งผู้อำนวยการสร้างชื่อดังอย่างพี่น้องแลร์รีและแอนดี วาเชาสกี ผู้กำกับหนัง "Matrix" ไตรภาค ยังต้องออกปากว่า พวกเขา "ไม่มีทางสร้างหนังเรื่องนี้ได้ถ้าไม่มีเรน" แม้แต่ตัวเรนเอง ซึ่งได้แสดงนำในหนังฮอลลีวู้ดเรื่องแรกกับขาใหญ่ในอุตสาหกรรมหนังอเมริกัน อย่างพี่น้องวาเชาสกีและโจล ซิลเวอร์ ก็ยังแสดงความมั่นใจใน "Ninja Assassin" โดยกล่าวว่า "นี่เป็นโอกาสสำคัญ" ต่อไปนี้คือช่วงถามตอบในงานแถลงข่าวของหนังที่จะออกฉายในวันที่ 26 พฤศจิกายน
ถาม: คุณให้ดูภาพก่อนและเบื้องหลังของการเพาะกล้ามเนื้อในฟุตเทจการสร้างหนังที่ ปล่อยออกมาวันนี้ เรานึกว่าคุณมีหุ่นเยี่ยมอยู่แล้วก่อนแสดงใน "Ninja Assassin" แต่พอดูรูปพวกนี้ มันเทียบไม่ได้เลยกับรูปร่างที่คุณมีในตอนนี้ (หัวเราะ) การฝึกร่างกายและการถ่ายทำคงสาหัสมาก
เรน: ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกก่อนว่า กล้ามเนื้อที่ผมได้มาระหว่างการถ่ายทำ ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว (หัวเราะ) แต่ผมทุ่มเทอย่างหนักมากระหว่างการฝึก ถึงแม้ผมเป็นคนทำงานหนักมาแต่ไหนแต่ไร แต่การถ่ายทำหนังเรื่องนี้เปรียบได้กับความเป็นความตายสำหรับผม แม้กระทั่งในฉากที่ใช้สลิง ผมก็ใช้มันแค่พอให้พยุงตัวได้ และผมแสดงท่าผาดโผนเองถึง 90% ตราบเท่าที่มันไม่อันตรายเกินไป ดังนั้น ผมจึงพยายามทำให้ร่างกายมีน้ำหนักน้อยลง ผลก็คือ ผมขจัดไขมันออกจากร่างกายได้ทั้งหมด
ุถาม: ถ้าคุณเล่นฉากแอ็คชั่นโลดโผนเองเกือบทั้งหมด คุณคงต้องได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
เรน: ผมเจ็บตัวหลายครั้ง แต่มันก็คุ้มและผมทำงานหนัก โชคดีที่ไม่มีอะไรหัก แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมีบาดแผลติดตัวอยู่หลายรอย มันเปรียบเสมือนตราเกียรติยศสำหรับผม (หัวเราะ)
ถาม: การต้องออกกำลังกายอย่างสุดโหดแบบนั้น คงต้องมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกว่าสุดทนแล้ว คุณผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนั้นมาได้อย่างไร?
เรน: พูดกันตรง ๆ ทุกครั้งที่มันหินมาก ๆ เข้า ผมก็อยากกลับไปเกาหลี ผมอยากกลับไปเอเชีย ไปแสดงคอนเสิร์ต ไปถ่ายละครถ่ายหนังในเกา่หลี ทุกครั้งผมถามตัวเองว่า ทำไมต้องมามีชีวิตแบบนี้ด้วย? แต่ผมไม่ยอมแพ้เพราะึความทรนงในตัวเอง ทีมงานก็คอยแหย่ผมตลอด (หัวเราะ) พอผมต้องยกดัมบ์เบลหนัก 100 กก. พวกเขาก็จะพูดว่า มันเบาจะตาย พวกเขาชอบพูดทำนองว่า "ผมเคยฝึกแมทท์ เดมอน, แบรด พิตต์ แต่คุณนี่แหละแย่ที่สุด" คำพูดแบบนั้นทำให้ผมฮึด หลังจากนั้น ผมจะนั่งดูหนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ด เช่น หนังของบรู๊ซ ลีและเฉินหลง ดูนับครั้งไม่ถ้วนและศึกษาการเคลื่อนไหวคิวบู๊ ไรโซต้องมีคิวบู๊เฉพาะตัว และทุก ๆ เช้า ผมจะอ่านข่าวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์และรำพึงกับตัวเองว่า ผมต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมทำอะไรได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่พูดด้วยลมปาก ผมรู้สึกมีแรงขึ้นมาทุกครั้งเวลาที่อ่านบทความเสียดสีว่าร้ายเกี่ยวกับการ เดบิวท์ในตลาดอเมริกันของผมและคำวิจารณ์ในแง่ลบของแฟน ๆ (หัวเราะ) ต่อให้ความพยายามครั้งนี้ล้มเหลวอีก มันก็เป็นความรับผิดชอบที่ผมต้องแสดงให้พวกเขาเห็นถึงผลลัพธ์ของการทำจริง
ถาม: มีความคล้ายคลึงกันบ้างไหมระหว่างตัวละครไรโซ มือสังหารนินจาระดับพระกาฬ กับตัวคุณ
เรน: ผมไม่ได้เป็นคนเก็บตัวหรือเยือกเย็นเหมือนไรโซ (หัวเราะ) ผมชอบพูดคุยและเข้าสังคมกับผู้คน ดังนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถมีีชีัวิตสันโดษแบบไรโซได้ ผมไม่มีอะไรเหมือนไรโซมากนักและไม่คิดว่าควรมีด้วย เอ่อ อาจมีเรื่องเดียวคือ เมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้ว เราทั้งคู่ต่างทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น (หัวเราะ)
ถาม: เมื่อเปรียบเทียบกับหนังที่คุณเดบิวท์ในฮอลลีวู้ดเรื่อง "Speed Racer" คุณมีบทพูดในหนังเรื่องใหม่นี้เยอะกว่ามาก การมีบทพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยากแค่ไหน?
เรน: ผมก้าวขึ้นมาจากการแสดงบทสมทบสู่การแสดงบทนำ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ผมต้องมีบทพูดมากขึ้นและก็เป็นเรื่องที่ผมยินดี มาก ผมมีโค้ชอยู่ข้างตัวเสมอเพื่อช่วยในเรื่องบทพูดภาษาอังกฤษ อันที่จริง สิ่งที่ผู้กำกับ เจมส์ แมคทีกและพี่น้องวาเชาสกีต้องการก็คือ การแสดงที่มาจากข้างในมากกว่าแค่บทพูด เราใช้การถ่ายโคลสอัพมากเพื่อจับการเคลื่อนไหวของคิ้วหรือรายละเอียดในการ แสดงสีหน้า มันเป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับผมในการแสดงอารมณ์ความรู้สึกภายในด้วยการแสดงสี หน้าที่ซับซ้อน
[i]ถาม: การทำงานกับพี่น้องวาเชาสกีในหนังเรื่องที่สองหลังจาก "Speed Racer" เป็นอย่างไรบ้าง?
เรน: พี่น้องวาเชาสกีมีจินตนาการอย่างเหลือเชื่อ และพวกเขาเป็นคนแบบที่สามารถเปลี่ยนภาพในจินตนาการให้กลายเป็นความจริงได้ เสมอ ทุกอย่างที่เขาพูดกับผม ไม่มีอะไรเลยที่ไม่กลายเป็นความจริง พวกเขามีความสามารถในการนำจินตนาการมาสร้างลงบนแผ่นฟิล์ม และผมพบว่ามันน่าชื่นชมมากที่เขามีน้ำใจกับทุก ๆ คน ทั้งสองเป็นผู้อำนวยการสร้างเรื่องนี้ ซึ่งต่างจาก "Speed Racer" แต่สำหรับผม ทั้งสองเป็นสุดยอดผู้กำกับ
ถาม: "Speed Racer" ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ คุณคาดหวังว่า "Ninja Assassin" จะประสบความสำเร็จด้านรายได้มากแค่ไหน?
เรน: "Speed Racer" ขึ้นมาถึงอันดับ 2 ในบ๊อกซ์ออฟฟิศในสัปดาห์ที่เปิดตัว แต่ผมผิดหวังที่มันไม่ได้สร้างความฮือฮาอย่างที่ผมคาดไว้ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้มุ่งหวังอะไรมากนัก ผมพอใจแล้วแค่ได้มีชื่อในหนังฮอลลีวู้ดในฐานะส่วนหนึ่งของนักแสดง และจากหนังเรื่องนั้น คนในฮอลลีวู้ดก็เิริ่มรู้จักผมและผมได้รับโอกาสมากขึ้น นั่นทำให้ผมได้แสดงนำใน "Ninja Assassin" ผมก็หวังว่าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จในตลาด แต่คุณคงทำทุกอย่างสำเร็จไม่ได้ในการพยายามครั้งแรกหรอก จริงไหมครับ? ผมคิดว่าผมได้อะไรมากมายจากหนังเรื่องนี้ ไม่ว่ามันจะประสบความสำเร็จด้านรายได้หรือไม่ มันเป็นหนังเรท R และเป็นหนังเฉพาะทาง (genre) ผมจึงคิดว่ามันน่าจะฮิตมากในหมู่คอหนังแอ็คชั่น ถ้าผมเคาะประตูแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักสิบครั้งยี่สิบครั้ง มันคงจะมีสักวันหนึ่งที่ผมได้ขึ้นไปยืนในอันดับ 1 ของบ๊อกซ์ออฟฟิศบ้างล่ะ จริงไหมครับ? (หัวเราะ)
ถาม: อย่างที่คุณบอกว่า หนังเรื่องนี้มีฉากรุนแรงโหด ๆ มากจนได้เรท R แฟนคลับของเรนที่มีอยู่แล้วกับผู้ชมภาพยนตร์อาจขัดแย้งกันก็ได้
เรน: ตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งที่พี่น้องวาเชาสกีเรียกร้องจากผมก็คือ "จงลืมป๊อบสตาร์เรนไปซะ จงลืมคนที่ชื่อชองจีฮุนซะ นับแต่นี้ไป คุณคือนักสู้และนักฆ่าที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้" ผมมีชีวิตแบบนั้นอยู่ 8 เดือน ผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองไม่ว่าต้องเจอกับใคร ผมถึงขนาดรู้สึกว่าน่าจะลองไปเข้าแข่งขัีนศิลปะการต่อสู้หลังจากถ่ายหนัง เรื่องนี้เสร็จด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ประการแรก ผมโล่งใจที่แฟนคลับเด็กผู้หญิงของผมไม่สามารถเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ และผมคิดว่าผมคงได้แฟนคลับเป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นโขอยู่ แน่นอน แฟนคลับผู้หญิง (ที่เป็นผู้ใหญ่) ก็สามารถดู "Ninja Assassin" แก้เครีัยดได้ แทนที่จะมัวคิดถึงภาพพจน์บางอย่างที่แฟนคลับมีต่อตัวผม ผมกลับคิดว่าพวกเขาคงพบว่าผมมีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่งหลังจากดูหนังเรื่องนี้ แม้แต่ตัวผมเองยังไม่เจอแม้แต่ฉากเดียว ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ที่ผมเป็นนักร้องชื่อเรนหรือเป็นคนที่ชื่อชองจีฮุน ผมจึงพอใจมาก
[i]ถาม: ฉากสุดท้ายในหนังเรื่องนี้ทิ้งท้ายให้ชวนคิดว่าจะมีภาคต่อ คุณมีแผนจะแสดงในภาคต่อหรือเปล่า?
เรน: ฉากสุดท้ายที่ไรโซมองลงมายังโลกจากยอดกำแพง และคุณมองเห็นประกายตาในดวงตาของเขาว่า เขา่กำลังร่ำร้องอะไรบางอย่างจากข้างในอยู่เงียบ ๆ แต่ผมไม่รู้อะไรแน่นอนหรอก ผมเซ็นสัญญาอีกสองฉบับ แต่ผมคิดว่ามันคงขึ้นอยู่กับหนังเรื่องนี้ว่าจะไปได้ดีแค่ไหน ถึงอย่างไรผมก็มีความรู้สึกที่ดีกับมัน
ถาม: ผู้อำนวยการสร้าง โจล ซิลเวอร์ ชมว่า คุณจะกลายเป็น "นักแสดงที่ได้รับความชื่นชอบอย่างมาก" และทีมงานหลายคนก็พูดถึงการทุ่มเทของคุณ คุณคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้ก่อนเริ่มการถ่ายทำ และอะไรทำให้คุณทำงานอย่างทุ่มเทเต็มร้อยให้แก่มัน?
เรน: แรงบันดาลใจที่แท้จริงของผมระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือแม่ แม่เคยทำงานจากเช้าตรู่ไปจนดึกตั้งหลายปี และผมคิดว่ามันคงน่าละอายใจหากผมไม่สามารถทนเรื่องแค่นี้ได้ ตอนที่ผมไปสหรัฐฯ ครั้งแรกและได้พบเจอผู้คน พวกเขาต่างพากันพูดว่า ชาวเอเชียมีโอกาสน้อยกว่า 10% ที่จะประสบความสำเร็จในฮอลลีวู้ด แต่ในเมื่อผมมีพี่น้องวาเชาสกีอยู่เคียงข้าง ใคร ๆ ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจ แล้วพอโจล ซิลเวอร์มาหนุนหลังผมด้วยการเป็นผู้อำนวนการสร้าง ผู้อำนวยการสร้างคนอื่น ๆ ก็เริ่มจับตามองผม ในชีวิตผมมีจุดเปลี่ยนที่สว่างวาบเข้ามาอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อผมได้พบปาร์คจินยัง ครั้งที่สองเมื่อผมได้พบพี่น้องวาเชาสกี และครั้งที่สามเมื่อผมได้แสดงนำใน "Ninja Assassin" ตอนนี้ ผมมีทีมงานที่ดีที่สุดเรียงรายอยู่ข้างตัวและมันกลายเป็นเกมที่คุ้มค่าแก่ การเล่น ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมคิดว่าผมสามารถสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในฮอลลีวู้ดได้จริง ๆ สุดท้ายแล้ว ผมพร้อมแล้วสำหรับโอกาสสำคัญครั้งนี้
Reporter : Lee Ji-Hye seven@10asia.co.kr Photographer : Chae ki-won ten@10asia.co.kr Editor : Lynn Kim lynn2878@asiae.co.kr
http://www.asiae.co.kr/news/view.htm?sec=ent5&idxno=2009111014434149695
จากคุณ |
:
Zhouyuyee
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ย. 52 11:18:22
|
|
|
|
 |