PANTIP.COM : A8609761 "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" เรื่องดีๆ ในเสี้ยวประวัติศาสตร์ ที่คนไทยภายใต้ร่มพระบารมีเคารพ และรักพระองค์ท่านตลอดมา [ภาพยนตร์]

ความคิดเห็นที่ 11

เรื่องที่ห้า

ความจริงที่แท้เรื่อง หลอดยาสีพระทนต์

(เจ้าของกระทู้ พยายามหาความเป็นมาที่แท้จริงของเรื่องนี้ หลังจากที่มีเรื่องนี้อยู่ในฟอร์เวิรด์เมล์ โดยที่หลายๆ คนไม่ทราบว่า มีต้นเรื่องมาจากที่ใด)--ดังนี้ครับ

................................................................................................

บทความนี้อาจะเป็นที่ส่งต่อเป็น ฟอร์เวิรด์ เมล ในโลกของอินเตอร์เนต มามากมายหลายครั้ง โดยไม่มีการให้เครดิตแก่ผู้ที่เขียนบทความ จนทำให้เกิดข้อกังขาว่า บทความนี้คือเรื่องจริงหรือไม่ และใครเป็นผู้เขียนขึ้นมากันแน่

เนื้อความที่ไม่ว่าผู้ใดได้อ่าน ก็จะเกิดความปลื้มปิติ ในหลักความประหยัด มัธยัสถ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนของชาติได้เป็นอย่างดี

…ดังต่อไปนี้ (อันนี้คือในฟอร์เวิรด์เมล์)

ภาพหลอดยาสีฟันที่เห็นนี้ต้องเรียกว่าเป็นหลอดยาสีพระทนต์ประวัติศาสตร์ เพราะนี่คือหลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นแล้วรู้สึกเหมือนผมไหมครับความฉ่ำเย็นจากที่ไหนก็ไม่รู้อาบลงมากลางกระหม่อมเลย

ภาพนี้ถูกตีพิมพ์เป็นโปสเตอร์โดยคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ ครูที่โรงเรียนของลูกผมไปพบเข้าเลยนำมาถ่ายสำเนาติดบอร์ดให้เด็กนักเรียนได้ เรียนรู้และเข้าใจคำว่า "ประหยัด" ศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจำพระองค์อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนเล่าให้ฟังว่า

"ครั้งหนึ่งทันตแพทย์ประจำพระองค์กราบถวายบังคมทูลเรื่องศิษย์ทันตแพทย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางคนมีค่านิยม ในการใช้ของต่างประเทศและมีราคาแพง

รายที่ไม่มีทรัพย์พอซื้อหาก็ยังขวนขวายเช่ามาใช้เป็นการชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเท่าที่ทราบมามีความแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋าที่ผลิตภายในประเทศเช่นสามัญชนทั่วไป ทรงใช้ดินสอสั้นจนต้องต่อด้าม แม้จนยาสีพระทนต์ของพระองค์ท่านก็ทรงใช้ด้ามแปรงพระทนต์รีดหลอดยาจนแบน จนแน่ใจว่าไม่มียาสีพระทนต์หลงเหลืออยู่ในหลอดจริงๆ

เมื่อกราบบังคมทูลเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า ของพระองค์ท่านก็เหมือนกัน และยังทรงรับสั่งต่อไปด้วยอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้เองมหาดเล็กห้องสรงเห็นว่ายาสีพระทนต์ของพระองค์คงใช้หมดแล้ว จึงได้นำหลอดใหม่มาเปลี่ยนให้แทน เมื่อพระองค์ได้ทรงทราบก็ได้ขอให้เขานำยาสีพระทนต์หลอดเก่ามาคืน และพระองค์ท่านยังทรงสามารถใช้ต่อไปได้อีกถึง ๕ วัน

จะเห็นได้ว่าในส่วนของพระองค์ท่านเองนั้นทรงประหยัดอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงพระราชทานเพื่อราษฎรผู้ยากไร้อยู่เป็นนิจ พระจริยาวัตรของพระองค์ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึง พระวิริยะ อุตสาหะ ตลอดจนความประหยัดในการใช้ของอย่างคุ้มค่า”

หลังจากนั้น ทันตแพทย์ประจำพระองค์ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทาน หลอดยาสีพระทนต์หลอดนั้นเพื่อนำไปให้ศิษย์ได้เห็นและรับใส่เกล้าเป็นตัวอย่าง เพื่อประพฤติปฏิบัติในโอกาสต่อๆ ไป

ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทาน ส่งหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นมาให้ ถึงบ้าน

ทันตแพทย์ประจำพระองค์รู้สึกซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้ายิ่ง เมื่อได้พิจารณาถึงลักษณะของหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นแล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่า

เหตุใดหลอดยาสีพระทนต์หลอดนี้จึงแบนราบเรียบโดยตลอด คล้ายแผ่นกระดาษโดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด

เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอีกครั้งในเวลาต่อมาจึงได้รับคำอธิบายจากพระองค์ว่า หลอดยาสีพระทนต์ที่เห็นแบนเรียบนั้นเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกด จนเป็นรอยบุ๋มที่เห็นนั่นเองและเพื่อที่จะขอนำไปแสดงให้ศิษย์ทันตแพทย์ได้เห็น เป็นอุทาหรณ์จึงได้ขอพระราชาอนุญาตซึ่งพระองค์ท่านก็ได้ทรงพระเมตตาด้วยความเต็มพระทัย

........................................

จากเนื้อความจากฟิร์เวิรด์ เมล์ เรื่องของหลอดยาสีฟันทำให้คนไทยจำนวนมากที่ได้อ่าน และรับรู้ โดยเฉพาะเยาวชนของชาติ ได้เห็นคุณค่าของข้าวของเครื่องใช้ ที่ต้องใช้อย่างประหยัด ใช้อย่างมีคุณค่า ใช้จนถึงยาสีฟันหยดสุดท้ายที่ถูกบีบออกมา

ย้ำเตือนถึงวิถีชีวิตของคุณปัจจุบันไม่ค่อยมีความประหยัด อยากได้อะไรก็ซื้อ พอเบื่อหรือใช้ยังไม่หมดแต่เห็นว่าเหลือน้อยก็ทิ้ง ทั้งๆ ที่ยังสามารถพอจะใช้ได้อยู่บ้าง

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีความประหยัด มัธยัสถ์ เป็นตัวอย่างอันดีแก่พระสกนิกร ซึ่งควรยึดถือเป็นแบบอย่างและนำไปประพฤติปฏิบัติ

ทั้งที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริ เรื่อง เรื่องพอมีพอกิน เศรษฐกิจพอเพียง ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยนัยยะที่ว่า

"ผู้ผลิตอาหารคือผู้มีอำนาจ ต่อให้มีน้ำมันแต่กินไม่ได้ สุดท้ายต้องเอาน้ำมันมาแลกอาหาร"

.....................................

อย่างไรก็ตามความจริงแล้ว ฟอร์เวิรด์ เมล์นี้ หากได้ถูกแต่งขึ้นมาลอยๆ เมื่อสืบเสาะต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่าบทความนี้มีสองท่านได้แก่คุณ

ประภาส ชลศรานนท์ นักคิดนักเขียน และหนึ่งในผู้บริหารบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)

คุณประภาสได้เขียนบทความนี้ลงคอลัมน์ประจำ “คุยกับประภาส” ในหนังสือพิมพ์ มติชนฉบับวันอาทิตย์ เมื่อประมาณ ๔ ถึง ๕ ปีที่ผ่านมา

สำหรับศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจำพระองค์อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒ สมัย ผู้เล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจนี้ ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้มากมาย ซึ่งรางวัลรางวัลบุคคลดีเด่นของชาติ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี พ.ศ ๒๕๔๒ คงจะยืนยันความดี และความสามารถของท่าน เอาไว้ได้เป็นอย่างดี

ผลงานที่โดดเด่นของท่านคือ เป็นผู้ริเริ่มวิทยาการ "ครอบฟันพอร์ซเลน" ขึ้นที่ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นแห่งแรกในประเทศไทยจนเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน

ด้านการวิจัย ท่านเป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนให้มีโครงการวิจัยครบวงจรในคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ สนับสนุนให้มี หน่วยงานเพาะเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อ หน่วยวิจัยทันตวัสดุ และหน่วยวิจัยอิมมูโนเพื่อรับรองงานบัณฑิตศึกษา จัดตั้งศูนย์ทันตสารสนเทศเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างคณะทันตยแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กับคณะทันตแพทยศาสตร์อื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ด้านการบริหารท่านได้ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการการบริหารโครงการพัฒนาอาจารย์ สาขาทันตแพทย์ของทบวงมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นต้นแบบของโครงการที่มุ่งเน้นการรักษามาตรฐานทางวิชาการ

ที่สำคัญท่านได้ริเริ่มและดำเนินการขอพระราชทานทุน "อานันทมหิดล" ให้แก่วิชาชีพทันตแพทย์ อีกทั้งยังได้สืบทอดโครงการทันตกรรมพระราชทานในฐานะผู้อำนวยการโครงการ ซึ่งเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่นทุรกันดาร

จนกระทั่งโครงการทันตกรรมพระราชทานได้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ จนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหน่วย ทันตกรรมเคลื่อนที่ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกและเกิดผลสำเร็จนำไปสู่การพัฒนาชุดเก้าอี้ทำฟันที่เคลื่อนย้ายได้สะดวกและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์ของสภาวิจัยแห่งชาติ ปี ๒๕๓๙

นอกจากนี้ท่านยังริเริ่มจัดตั้ง โรงพยาบาลคณะทันตแพทยศาสตร์ขึ้นในคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินการให้มีการก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาล ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามอาคารหลังนี้ว่า "อาคารสมเด็จย่า ๙๓

............................................

ดังนั้น ได้อ่าน ฟอร์ เวิรด์ เมล์ แล้ว แต่ไม่พยายามศึกษาค้นคว้า หรือหาที่มารวมทั้ง ไม่ทำการสืบเสาะว่าใครคือผู้เขียน และศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช คือใคร ก็คงจะพลาดโอกาสที่จะเกิดความรู้ในเชิงบูรณาการที่ว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ก่อกำเนิดโครงการทันตกรรมพระราชทาน อันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพี่น้องชาวไทยผู้ทุกข์ทนและยากจนในชนบทได้รับการดูแลรักษาสุขภาพปากและฟัน เพราะพระบารมีของซึ่งเกี่ยวพันด้วยความประหยัด ที่สอนจากหลอดยาสีฟันของพ่อ เพียงหลอดเดียว

แต่สิ่งที่สำคัญคือเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับ พระทนต์ ที่สร้างความเคารพและปลื้มปิติแก่ประชาชนชาวไทย นั่นก็คือเรื่องราวหนึ่ง

ในปี พ.ศ ๒๕๒๘ พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน

พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน

เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า จะใช้เวลานานเท่าใด ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา ๑-๒ ชม.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"

จากคุณ : เอ๋taxiครับผม

เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 17:20:41

ความคิดเห็นที่ 16

เรื่องที่เจ็ด

รักพ่อ อย่าให้พ่อเสียพระทัย (ของคนที่มองในมุมหนึ่ง)

................................................................................................

ช่วงเวลา สองสามปีที่ผ่านมา หลังจากเสร็จสิ้นงานอันเป็นมหางานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ (The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's Accession to the Throne) เนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติเป็นปีที่ ๖๐ ผ่านพ้นไปไม่นาน ชาวไทยต่างพบกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซึ่งไม่ต้องกล่าว ก็คงจะรู้ว่าคือสภาวการณ์ใด

ลองพิจารณาให้ดีว่า ความขัดแย้งเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีต่อบ้านเมืองเลย โดยเฉพาะต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ท่านทรงต้องเสียพระหฤทัยครั้งแล้วครั้งเล่า จากการกระทำของประชาชนชาวไทยที่พระองค์รักเสมือนลูก ที่ได้แบ่งสีกัน

จุดประสงค์สำคัญหัวข้อนี้ ก็เพื่อให้คนไทยที่ปากบอกว่ารักพ่อ รักในหลวง แต่จริงๆ แล้ว ได้ทำอะไรเพื่อพ่อ หรือทำให้พ่อหายจากเสียพระหฤทัยหรือไม่ ดังเนื้อหาที่ขอนำเสนอต่อไปนี้

#####

ในหลวงทุกข์พระทัย ข้าราชบริพารน้ำตาไหล ๓ ผู้นำเหล่าทัพทนไม่ไหวขอเข้าเฝ้าฯ

ผบ.ทบ.เผยการเมืองทำให้ในหลวงทรงทุกข์พระราชหฤทัย ผบ.๓ เหล่าทัพพร้อมใจขอเข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานแนวทางปฏิบัติหน้าที่

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหาร ๓ เหล่าทัพ ประกอบด้วย พล.อ.สนธิ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เข้าเฝ้าฯ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อรายงานเรื่องปัญหาความมั่นคงต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วง

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารทั้ง ๓ เหล่าทัพ จะถวายรายงานเรื่องจุดยืนและการทำหน้าที่ของทหาร ต่อสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ แต่ถึงขณะนี้ยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ ลงมาว่าจะให้เข้าเฝ้าฯ เมื่อใด

พล.อ.สนธิ กล่าวถึงสาเหตุที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง ๓ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เข้าเฝ้าฯ เป็นกรณีพิเศษในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะทั้งหมดไม่สบายใจและเป็นทุกข์ต่อสถานการณ์ทางการเมือง ที่ยังไม่มีรัฐบาล ไม่มีการเลือกตั้ง ที่ส่งผลกระทบต่อกองทัพหลายด้าน ที่สำคัญที่สุดกว่านั้นคือ เห็นว่าปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุกข์พระราชหฤทัยอย่างมาก

“เพื่อนสนิทผมที่ติดตามเสด็จ เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ที่วังไกลกังวล หัวหิน ต่างพากันน้ำตาไหลพราก เมื่อได้เห็นภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจูง คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ไปเดินที่ชายทะเลหัวหิน
แต่ทรงยืนเหม่อมองไกลออกไปในทะเล เป็นเวลานานมาก และทรงประทับยืนอยู่อย่างนั้น โดยไม่ตรัสกับใครเลย ปัญหาบ้านเมืองในเวลานั้นจนถึงเวลานี้ ทำให้พระองค์ทรงเป็นทุกข์มาก ผมเสียใจ ไม่สบายใจอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่าปัญหาเหล่านี้ ทำให้พระองค์ทรงเป็นทุกข์ขนาดนี้”

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เดิมเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ทบ.นั้น ไม่สบายใจกับปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ จึงได้เร่งแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นอันดับแรก แต่มาถึงขณะนี้ ปัญหาที่ทำให้หนักใจที่สุดในเวลานี้และทุกข์มากที่สุดในเวลานี้ คือ ปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบจากวันที่เกิดเหตุการณ์นั้น จนถึงปัจจุบัน ซึ่งแท้เหตุการณ์จะดูบรรเทาเบาลางลงไป แต่ก็เหมือนกับคลื่นใต้น้ำ ประชาชนบางกลุ่มยังคงแบ่งสี ต่างฝ่ายต่างบอกทำเพื่อบ้านเมือง เปล่าเลยทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น

ส่วนประชาชนที่เป็นกลางและอยากเห็นบ้างเมืองสงบสุขโดยไม่ได้ต้องการชัยชนะของสีใดทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าปัญหาเหล่านี้ ทำให้พระองค์ทรงเป็นทุกข์ ก็ควรทำอะไรด้วยการคิดถึงพระองค์ท่านบ้าง ทำไมจึงต้องทำร้ายพระองค์ด้วยการอ้างว่ารักชาติ

…เชื่อว่าสิ่งที่พระองค์ท่านต้องการมากที่สุดคือความสงบสุขของบ้านเมือง ถือว่าเป็นความดีแด่แด่พระองค์ท่านด้วยเถิด (ตัดทอนและเรียบเรียงใหม่ เพื่อความเหมาะสม จากโพสต์ทูเดย์newsdet.php?sec=news&id=๙๗๕๑๔)

จากคุณ : เอ๋taxiครับผม

เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 17:36:01