Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รีวิว A Christmas Carol …Give To Get…ไม่ค่อยมีใครพูดถึง(spoilนิดหน่อย)  

หนังการ์ตูน 3D เรื่องล่าสุดของ โรเบิร์ต  เซเมคิส  ผู้กำกับระดับออสการ์ที่ช่วงหลังหันมาเอาดีกับการกำกับหนังการ์ตูนช่วงคริสต์มาสอยู่บ่อยๆ  ด้วยการหยิบเอาโครงเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ด้วยการนำเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นในระบบสามมิติ  กับการบอกเล่าเรื่องราวของความรัก  การให้  และ การเสียสละ  ของเพื่อนมนุษย์  ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ในช่วงคริสต์มาสนี้  แต่ก็เป็นสูตรสำเร็จที่จำเป็นกับจิตใจของเราทุกคนนะครับ

          เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากเศรษฐีแก่ขี้งก  ใจดำ  เบื่อโลก  นาม “เอบีนีเซอร์  สกรูจ” (Jim  Carrey)  ที่เกลียดเพื่อนร่วมโลกทุกคน  แต่คบเพียงแต่เงินตราด้วยหวังว่ามันจะเป็นมิตรสหายที่นำความมั่งคั่งมาให้  การใช้ชีวิตของ ‘สกรูจ’ เหมือนอยู่ในโลกอันมืดดำ  ที่ยากต่อแสงสว่างจะส่งไปถึง  รังสีอำมหิตที่เขามีส่งคลื่นไปสู่คนรอบข้างอย่างรวดเร็ว  ไม่มีใครชอบ ‘สกรูจ’ แต่ก็ดูหาใช่สิ่งสำคัญต่อความรู้สึกของเขาไม่  กลับทำให้เขายิ่งสบายใจที่ไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขามากกว่า  จนกระทั่งค่ำคืนของวันคริสต์มาสอีฟได้มาถึง  เขาได้ถูกวิญญาณของเพื่อนเก่ามาเตือนถึงการใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัวของเขา  พร้อมกับบอกว่าเขาจะต้องถูกผี 3 ตัวมาหลอกหลอนใตแต่ละคืน

          ผีตัวแรกคือ “วิญญาณแห่งอดีต”  ที่ทำให้ ‘สกรูจ’ ได้มองเห็นถึงอดีตที่ผิดพลาดของตัวเขาเอง  ผีตัวที่สองคือ “วิญาณแห่งปัจจุบัน” ที่ทำให้เขาได้เห็นว่าใครบ้างที่เป็นมิตรที่แท้จริงๆของเขา  ผีตัวสุดท้ายที่ดูจะน่ากลัวที่สุดคือ “วิญญาณแห่งอนาคต”  ที่ทำให้เขาได้เห็นว่าคนอื่นๆในสังคมมองเขาอย่างไร  สิ่งที่เกิดกับเขาในวันนั้น  อาจจะดูน่ากลัวที่โดนวิญญาณตามหลอกหลอนถึงขนาดนั้น  แต่สิ่งที่กลับเป็นเรื่องดีที่สุดก็คือ  ได้สร้าง “สกรูจ” คนใหม่ขึ้นมาบนโลก  คงจะเดากันได้นะครับ  ‘สกรูจ’ คนใหม่ที่เปลี่ยนจาก ‘ผู้รับ’ เป็น ‘ผู้ให้’ เขากลายเป็นบุคคลที่น่ารักที่สุดในเมือง  และแน่นอนหนังเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างที่ทุกคนคาดไว้  ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร  ไปดูกันเอาเองนะครับ

          แม้ว่าการรีเมคใหม่ครั้งนี้จะทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจมากกว่าเดิมด้วยเทคนิคแบบสามมิติที่ล้ำสมัย (แต่ก็น่าเวียนหัวสำหรับบางคน)  แต่หากตัดในเรื่องของเนื้อหาที่มุ่งจะสั่งสอนให้คนมีความรักออกไป  หนังเรื่องนี้ก็ยังมีความไม่สุดอยู่หลายอย่าง  หนังดูเหมือนอยากจะทำออกมาให้เหล่าหนูน้อยเข้าไปดูอย่างสนุกสนาน  แต่เนื้อหาของหนังก็ดูจะหนัก และ ลึกล้ำเกินไปสำหรับเด็กเล็กๆอยู่ไม่น้อย  ในทางกลับกัน  สำหรับผู้ใหญ่แล้วเทคนิคในการเล่าเรื่องบางอย่างก็อาจคาดเดาได้ง่ายดาย (เนื่องจากผู้ใหญ่หลายคนอาจเคยผ่านตากับหนังเรื่องนี้มาพอสมควร)  ทำให้อาการอยากหมอนเข้ามารบกวนอยู่เป็นระยะๆ  แต่สำหรับข้อคิดหลักที่หนังต้องการจะนำเสนอซึ่งเกี่ยวกับการเป็นผู้ให้นั้น  ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับคนในยุคนี้  แบบที่เรียกว่าต่อให้ดูแล้วดูอีกจนเบื่อขนาดไหน  ก็ควรดูอีกรอบเพื่อเพิ่ม ‘ต่อมการให้’ นั้นเกิดขึ้นในตัวเราให้มากที่สุด

          ประเด็กหลักที่หนังอยากจะบอกกับทุกคน  ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘ความรัก’ ที่เราจะมอบให้ผู้อื่น  และ ‘การให้’ ด้วยการเสียสละในการให้สิ่งที่ผู้อื่นต้องการ  ตามที่คำสอนของพระเยซูได้เผยแพร่ และ บันทึกเป็นแก่นไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์  เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส  ซึ่งมีความสำคัญทางศาสนา และ ยังถือเป็นเทศกาลของการให้อีกด้วย  สิ่งที่เป็นคำถามก็คือ “แล้ววันนี้...คุณให้ความสำคัญกับการให้มากเพียงใด”

          ในสังคมปัจจุบัน  ที่ทุกคนต้องปากกัดตีนถีบมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ก็เอาแต่ตกสะเก็ด  การแข่งขันในการใช้ชีวิตที่มากขึ้น  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเริ่มที่จะใช้ชีวิตประจำวันกันได้อย่างยากขึ้นเรื่อยๆ  การมีชีวิตรอดหมายถึงการต้องเป็นผู้ชนะที่จะต้องแย่งชิงความสำเร็จมาสู่ชีวิตตัวเองให้มากที่สุด  ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จก็คือผู้ที่มั่งคั่งในโอกาส และ ทรัพย์สิน  แต่ไร้ซึ่งการพิจารณาถึงเส้นทางในการได้มา  ว่าบุคคลเหล่านั้นอาจจะประสบความสำเร็จบนครามพ่ายแพ้ของผู้อื่นก็ได้

          ชีวิตของเราเกี่ยวพันกับคำ 2 คำมากขึ้น  นั่นคือ “Give – ให้” และ “Get – รับ” ผมชอบสองคำนี้ครับ  เพราะทั้งสองคำมีทั้งความคล้ายคลึงและแตกต่างกันอยู่มาก  ล้วนเป็นคำสั้นๆที่มีความหมายยาว  เป็นคำที่มีตัวอักษรเริ่มต้นเดียวกัน  แต่กลับมีความหมายอยู่คนละขั้วเหมือนการขับรถอยู่คนละเลน  ถึงจะสวนทางกันแต่ก็เคียงข้างกันอยู่ตลอดเวลา

          ในพระคัมภีร์นั้นสอนให้เราให้ผู้อื่นก่อนที่จะรับ (Give to Get)  แต่พอผมมาลองนึกดูอีกมุมมันก็ช่างบังเอิญเหลือเกินครับ  ที่ในพจนานุกรม หรือ Dictionary ซึ่งถือเป็นคัมภีร์ทางด้านภาษาที่เราใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน  เพราะเราติดต่อระหว่างกันมากขึ้น  เนื่องด้วยโลกที่เริ่มจะถูกทำให้แคบลงในยุคโลกาภิวัฒน์นี้  ได้กำหนดให้คำว่า “Get – รับ” มาก่อนคำว่า “Give – ให้”

          หลายท่านคงบอกว่า  แน่นอนสิที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นไปตามหลักการเรียงคำตามสากลโลก  Get นั้นต้องมาก่อน Give อยู่แล้ว  แต่ผมลองตัดความจริงในข้อนี้ออกไปเล่นๆ  แล้วลองคิดแบบไม่สากลแต่ตามใจฉันดูแล้ว  พบว่าน่าคิดเหมือนกันนะครับ  ที่ทุกวันนี้เราจะรู้จักคำว่า “Get” มาก่อนคำว่า “Give” ทำไมมันช่างสะท้อนสังคมออกมาได้ตรงดีจัง...  เหมือนว่าเราถูกสั่งสอนออกมาว่า  เราจะต้องคิดก่อนว่าในการทำอะไรก็ตามเราจะได้รับผลประโยชน์ได้ขนาดไหน  ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป  การให้กลายเป็นสิ่งที่จะต้องทำหลังจากเราได้รับความสำเร็จแล้ว

          ระยะหลังนี้  เรามักจะได้รับข่าวสารของการบริจาคเงินนั่นนี่  จากกลุ่มคนชั้นบนของสังคม  ที่เราเรียกชื่อเล่นว่า ‘ไฮโซ’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จแล้ว  เรามักจะได้รับคำสัมภาษณ์ทำนองว่า “เมื่อเราได้ประสบความสำเร็จ และ ได้รับจากการประกอบอาชีพแล้ว  ถึงเวลาที่เราจะต้องตอบแทนสังคมสักที”  ทำไมเราถึงต้องคิดเรื่อง ‘การให้’ หลังจาก ‘การรับ’ ด้วย  หรือ ‘การให้’ เป็นงานอดิเรกของผู้รับแล้วเท่านั้น

          ทุกวันนี้เราเริ่มที่จะมองการให้เป็นเรื่องแปลก  เราเริ่มที่จะยิ้มให้กันยากขึ้นแม้ว่าจะไม่ต้องเสียการลงทุนใดๆ  แต่เป็นเพราะกลัวว่าเขาจะมองว่าบ้าหากยิ้มให้เขาก่อน  จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนจำนวนมากเมื่อเดินสวนกันจะต้องทำหน้าเกร็งๆ และ คอยสังเกตว่าหากเขายิ้มให้เราจะได้ยิ้มตอบ  หรือแม้กระทั่งคนที่รักกันเดี๋ยวนี้ก็ต่างสงวนท่าที่ต่อการบอกรักกันมากขึ้น  ต่างคนต่างกลัวการเสียฟอร์มต่อกัน  ต้องให้อีกคนเริ่มก่อนจึงจะหายเขิน  แต่ถ้าหากศึกนี้ไม่มีผู้ใดเริ่มล่ะครับ...เราก็คงต้องห่างหายคำว่า ‘รัก’ ไปอีกนานเลยทีเดียว

          สิ่งที่ผมบอกอาจจะดูเพ้อเจ้อในมุมมองของคนอื่น  แต่ถ้าหากเราได้ลองบัญญัติลำดับของ Dictionary ในใจของเราใหม่  ให้เป็น Do-tionary (คัมภีร์แห่งการกระทำ) ที่มีคำว่า “Give – การให้” นำหน้ามาก่อนคำว่า “Get – การรับ”  โลกเราจะมีความสุขมากขึ้นอีกสักแค่ไหนกันนะ  

          หากเราทำได้จริงๆก็คงไม่ต้องรอให้ผีทั้ง 3 ตัวมาหลอกเราเหมือนที่ “ลุงสกรูจ” โดน  บางทีเราอาจจะได้พบกับพรจากเทวดาแห่งความสุขมากกว่า  พิสูจน์ได้จากตอนจบของหนังที่แสดงให้เราเห็นว่าลุงสกรูจคนใหม่นั้น  มีความสุขจากการให้ และ การดำเนินชีวิตมากมายเพียงใด  อย่างน้อยช่วงเวลาแห่งแสงสว่างตอนจบนั้น  ก็ทำให้ผมยิ้ม และ ลืมอาการเวียนหัวจาก 3D Syndrome ไปได้สักพักหนึ่ง...  ถึงคริสต์มากจะไม่ใช่เทศกาลของเมืองเรา  แต่พรุ่งนี้เราลองทำตัวใหม่ให้ “Give” มาก่อน “Get” กันดูไหมครับ  แล้วมาแข่งกันดูว่า  “ผมกับคุณ...ใครจะเก็บก้อนความสุขได้มากกว่ากันครับ”

ป.ล.  -ยาวไปนิด แต่ขอบคุณที่อดทนอ่านจนจบครับ

 
 

จากคุณ : คนขี่แผ่น
เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 03:18:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com