ความคิดเห็นที่ 15 |
ถอดรหัสลับดวงดาววันพฤหัสบีดี 10 ธ.ค. 2552โดย : ยูเรสโตร
ดวงเมืองปี 2553 (1)
ถึงเวลาใกล้สิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่อีกรอบแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาลคริสต์มาส (Christmas) และปีใหม่ (New Year) อีกทั้งเป็นเทศกาลพยากรณ์ของสำนักต่างๆ ไม่ว่าจะโดยนักการเมือง นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ หรือเหล่าบรรดาหมอดูหมอเดาต่างๆ รวมทั้งนักโหราศาสตร์ ช่วงนี้จึงเห็นหนังสือและคำทำนายดวงเมืองปี 2553 เกลื่อนกลาด แฟนคอลัมน์คงไม่อยากให้ผมตกขบวนรถไฟ จึงเร่งให้รีบเขียนเรื่องนี้ จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าทำนายตามหลังหรือคัดลอกคนอื่นเขา
1. ทบทวนคำทำนายปี 2552 ดวงดาวบนท้องฟ้าในปีที่ผ่านมาพิสูจน์อีกครั้งว่าสามารถให้ข้อมูลสถานการณ์บ้านเมืองของเราได้เป็นอย่างดี โดยเป็นไปตามคำทำนายที่ให้ไว้เมื่อปลายปีก่อนและต้นปีนี้ ซึ่งขอนำข้อความบางส่วนที่เคยทำนายไว้มาสรุปดังต่อไปนี้ - แม้ว่าได้เปลี่ยนขั้วการเมืองไปแล้ว
.. แต่ความขัดแย้งและแตกแยกในหมู่ชนชั้นปกครองยังไม่จบสิ้น รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยังต้องเผชิญกับการท้าทายของเหล่าสมุนและลิ่วล้อของระบอบทักษิณที่ไม่ยอมเลิกราหรือวางมือ
.. ระบอบทักษิณกำลังดิ้นรนด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ต้องการพลิกเกมการเมืองให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ส่วนนายอภิสิทธิ์ก็คงตอบโต้ด้วยการพยายามนำตัวอดีตนายกฯ ท่านนี้กลับเมืองไทยเพื่อขึ้นศาล
.. การต่อสู้กันทางด้านกฎหมายและในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งศาลสถิตยุติธรรม ยังมีให้เห็นตลอดทั้งปี 2552 อีกทั้งระดับความเข้มข้นก็ไม่ลดลง
- พฤหัสจะช่วยหนุนฐานะและเสถียรภาพของรัฐบาลในปี 2552 ทำให้รัฐบาลและผู้นำประเทศสามารถบริหารงานได้ราบรื่นขึ้นกว่ารัฐบาลชุดก่อนที่ผ่านมา อีกทั้งช่วยให้ความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมลดน้อยลงระดับหนึ่ง
- มุมกุมระหว่างมฤตยูจร (Uranus Transit) กับศุกร์ (Venus) ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้
.. มุมนี้บอกถึงอุบัติเหตุ การพลิกผัน หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบฉับพลันหรือคาดไม่ถึง รวมทั้งการประท้วงต่างๆ นานาทางการเมือง โดยมุมนี้จะแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 4 พฤษภาคม 2552 (ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา)
- รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะเผชิญกับความเคลื่อนไหวหรือแรงกระเพื่อมต่างๆ ในปี 2552 อีกทั้งไม่มีเวลาให้ตั้งตัว เพราะหลังรับตำแหน่งได้เพียงเดือนเศษๆ ก็จะเผชิญกับการท้าทายของเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทำให้อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ โดยความเคลื่อนไหวค่อนข้างสูงในช่วงกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม
- การเมืองในปี 2552 ยังขาดเสถียรภาพ มีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างถึงพริกถึงขิง ความขัดแย้งและแตกแยกในหมู่ชนชั้นปกครองยังไม่เจือจางหรือหายไปไหน อีกทั้งการต่อสู้ระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์กับอดีตนายกฯ ทักษิณจะเผ็ดร้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม บุคลิกนิสัยใจคอที่เยือกเย็นกว่า นายสมัคร สุนทรเวช ของนายกฯ คนใหม่ ประกอบกับการโคจรของดาวพฤหัสในเรือนชะตาที่ 10 น่าจะช่วยลดอุณหภูมิทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง
2. เสถียรภาพทางการเมืองปี 2553 ดวงดาวให้ข้อมูลว่าการเมืองไทยปลายปีนี้จนถึงช่วงแรกของปีหน้ามีการเคลื่อนไหวกันคึกคัก เพราะไม่เพียงเสาร์ (Saturn) กำลังโคจรเข้าเล็ง (oppose) หรือทำมุม 180 องศาแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) กับพุธ (Mercury) ในเรือนชะตาที่ 11 ของดวงเมือง (อันเกี่ยวกับเรื่องการเมือง รัฐธรรมนูญ รัฐสภา และ/หรือการเลือกตั้ง) แต่พลูโต (Pluto) ก็กำลังโคจรเข้าตั้งฉาก (square) หรือทำมุม 90 องศาแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) กับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ช่วงนี้จึงมีข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีปรากฏ
มุมตั้งฉากพุธของพลูโตจรอยู่กับเรานานพอสมควร เพราะจะแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) ระหว่างวันที่ 14 มกราคม - 9 กรกฎาคม 2553 และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 - 14 มกราคม 2554 บอกถึงความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองและ/หรือความคิดเห็นทางการเมืองตลอดครึ่งแรกของปีหน้า อีกทั้งพลูโตจรก็จะตั้งฉากแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) กับเนปจูน (Neptune) ซึ่งเป็นดาวครอง (ruler) เรือนชะตาที่ 11 ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 17 พฤษภาคม 2553 และวันที่ 23 ธันวาคม 2553 - 26 กุมภาพันธ์ 2554 ตอกย้ำถึงความขัดแย้งและสับสนวุ่นวายทางการเมือง
มุมตั้งฉากของพลูโตจรกับพุธให้ความหมายที่คล้ายกับมุมตั้งฉากของพลูโตจรกับศุกร์ (Venus) ในเรือนชะตาที่ 11 ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 2548 - 2549 เพราะทั้งพุธและศุกร์ต่างตั้งอยู่ในเรือนชะตาเดียวกัน ในขณะที่ศุกร์หมายถึงความสมานฉันท์หรือความปรองดอง พุธหมายถึงความคิดเห็นและการเจรจา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความแตกแยกในรอบนี้จึงเน้นเรื่องอุดมการณ์หรือความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน ซึ่งเห็นได้จากความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเมืองของไทย เพราะกรอบและโครงสร้างการเมืองไม่เหมาะสมอีกต่อไป เป็นต้นตอแห่งความแตกแยกในสังคมที่กว้างขวาง รุนแรง และต่อเนื่อง จนยากจะหาทางออก
หากจำกันได้ มุมพลูโตจรตั้งฉากกับศุกร์ระหว่างปี 2548 - 2549 ทำให้การเมืองไทยร้อนแรง แม้ว่าพรรคไทยรักไทยได้ชนะการเลือกตั้งขาดลอยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ก็ตาม การต่อต้านรัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เล่นพรรคเล่นพวกและฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวางและโจ๋งครึ่มเริ่มขึ้นหลังเลือกตั้งได้ไม่นาน ความไม่พอใจขยายวงกว้างขึ้นตามลำดับโดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐบาล จนกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคการเมืองใหม่ในปัจจุบัน
การประกาศขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปให้แก่กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษีเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนระอุขึ้นแบบเอาไม่อยู่ ทั้งในและนอกรัฐสภา จนอดีตนายกฯ ทักษิณต้องแก้เกมด้วยการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็ถูกพรรคการเมืองฝ่ายค้านต่อต้านด้วยการคว่ำบาตรหรือไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะเห็นว่าระยะเวลาเตรียมตัวนั้นกระชั้นชิด เป็นการเอารัดเอาเปรียบ อีกทั้งปัญหาก็ไม่ได้เกิดจากรัฐสภา แต่เป็นความผิดพลาดและปัญหาส่วนตัวของอดีตนายกฯ ทักษิณเอง
การเลือกตั้งที่ตามมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 จึงถูกประชาชนจำนวนมากคว่ำบาตรด้วยการไม่ลงคะแนนเสียงโดยการกาช่อง ไม่เลือกใคร ที่เรียกว่า โนโหวต ทำให้หลายสิบเขตไม่มีผู้แทนราษฎร จนต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่ แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) ก็ถูกสังคมเพ่งเล็งถึงการขาดความเป็นกลางในการจัดการเลือกตั้งซ่อมของวันที่ 23 เมษายน 2549 รวมทั้งการเลือกตั้งที่ผ่านไป เพราะเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทยชัดเจน
พรรคฝ่ายค้าน รวมทั้งประชาชนที่ไม่พอใจจำนวนมาก จึงได้รวมตัวกันนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลต่างๆ รวมทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา จนศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ให้ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะและกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ส่วนกรรมการกกต. 3 คนก็ถูกศาลอาญาพิพากษาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โดยการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 แต่ยังไม่ทันถึงวันเลือกตั้ง ก็เกิดการปฏิวัติรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งอีกครั้ง ประเด็นจึงมีว่ามุมตั้งฉากระหว่างพลูโตจรกับพุธในรอบนี้จะทำให้อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงเหมือนปี 2549 หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมหมายถึงกาลอวสานของรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ
ก่อนจะถึงช่วงที่พลูโตจรเล็งพุธแนบแน่นในปีหน้า มรสุมทางการเมืองคงก่อตัวขึ้นแล้ว เพราะเส่าร์จรจะชิงเล็งพุธแนบแน่น (ภายใน 1 องศา) ก่อน หรือตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคมศกนี้ หรือเหลือเวลาอีกเพียง 3 วันเท่านั้น ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ปีหน้า บอกถึงปัญหา แรงกดดัน และความท้าทายทางการเมืองที่กำลังตามมา โดยเสาร์จรจะมนต์สนิท (stations) ที่ 4:39 องศาราศีตุลย์ (Libra) ในวันที่ 13 มกราคมปีหน้า ห่างจากการทำมุมเล็งพุธเพียง 8 ลิปดาเท่านั้น นอกจากนี้ ตอนที่เสาร์จรมนต์สนิท ก็ทำมุมกุม (conjunct) หรือ 0 องศากับเนปจูน (Neptune) ซึ่งเป็นดาวครอง (ruler) เรือนชะตาที่ 11 ห่าง 1:22 องศา ตอกย้ำถึงแรงกดดันทางการเมือง
ดาวอีกดวงหนึ่งที่ร่วมวงก่อกวนการเมืองในต้นปีหน้า คือ มฤตยู (Uranus) โดยมฤตยูจรจะกุมศุกร์แนบแน่น (ภายใน 1 องศา) ระหว่างวันที่ 9 มกราคม - 23 กุมภาพันธ์ 2553 มุมเดียวกันนี้ได้สร้างความปั่นปวนและโกลาหลให้บ้านเมืองมาแล้วตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซี่ยน (ASEAN Summit) ได้สำเร็จ รวมทั้งปิดกั้นถนนและก่อกวนประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ส่วนรัฐบาลก็ต้องแก้เกมด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติในสถานการณ์ฉุกเฉินและส่งกองกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์
มฤตยูจรจึงทำให้การเมืองขาดเสถียรภาพได้อีกในปีหน้า รวมทั้งเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองแบบไม่คาดคิด ส่วนทหารก็อาจมีส่วนร่วมในรอบนี้ด้วยเช่นกัน เหมือนตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เพียงแต่ครั้งนี้จะเป็นการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่หลายคนเป็นห่วงกันหรือไม่ ? ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเป็นไปได้ เพราะศุกร์เป็นดาวครองเรือนชะตาที่ 6 นอกจากนี้ มฤตยูยังหมายถึงการก่อกวน การประท้วง และความปั่นป่วนต่างๆ นานา
เนื้อที่หมดแล้ว จึงขอต่อส่วนที่เหลือในครั้งหน้า.
จากคุณ |
:
หมูหันตัวอ้วนกลม
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ธ.ค. 52 18:12:45
|
|
|
|