[Review ไม่สปอย] "มังกรสร้างชาติ" - ชาร้อนรสชาติเยี่ยม แต่เสียดายที่มันมีแค่ครึ่งแก้ว...
|
|
ตั้งหัวกระทู้ซะดูดี แต่ผมคงไม่คอมเมนท์เล่นสำนวนอะไรมากหรอกครับ หนังเรื่องนี้ผมค่อนข้างคาดหวังเยอะอยู่ ไปดูมาแล้วก็อยากจะเอามารีวิวกัน
ประเทศจีนในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา วนเวียนอยู่กับสงครามฝิ่น การรบกันทั้งในและนอกประเทศ จอมเผด็จการที่ผลัดหน้ากันขึ้นมากุมอำนาจฮ่องเต้ ระบบจักรพรรดิล่มสลาย และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนหนึ่ง ก็มีเชื้อสายมาจากชาวจีนที่อพยพออกจากประเทศจีนในช่วงนั้น ที่มีแต่ความวุ่นวายไม่เว้นวัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เริ่มเรื่องด้วยการรับช่วงต่อหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นครับ ผ่านตัวเอกสองคน จอมคนแห่งยุค เหมาเจ๋อตง และ เจียงไคเชก ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คนหนึ่งคือผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ติดดินและเลือกยืนข้างความคิดเห็นของประชาชน อีกคนคือผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง (กั๋วหมินต่าง) ที่รับเอาวัฒนธรรมการบริหารเยี่ยงชาวตะวันตก แต่ทั้งสองต่างมีเป้าหมายอยากให้ประเทศจีนรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่แบ่งแยกและก้าวขึ้นสู้เวทีโลกด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่ด้วยมือของใครเท่านั้น
เกริ่นมาเยอะแล้ว ขอเข้าที่การวิจารณ์ด้วยความเห็นของผมละกันครับ
(ยาวหน่อยก็ขออภัยด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านยาว ๆ ให้ข้ามลงไปที่หัวข้อ "สรุป" เลยครับ)
จุดที่น่าสนใจอย่างแรกเลยของเรื่องนี้คือเป็น "ภาพยนตร์สารคดี" ครับ ก่อนอื่นขออธิบายนิดหน่อยก่อนว่าภาพยนตร์แนวนี้เป็นอย่างไร ภาพยนตร์สารคดีไม่ใ่ช่แบบเดียวกับสารคดีฉายโทรทัศน์ที่เราดูกันเป็นประจำนะครับ ภาพยนตร์สารคดีก็คือภาพยนตร์นั่นแหละ แต่จะมีการเล่าเรื่อง ให้ข้อมูล ในเชิงสารคดีมากกว่าการเขียนบทออกมาเพื่อความบันเทิงครับ ผ่านการเล่าเรื่องที่มีจุดเริ่ม และจุดจบ โดยจับเอาที่ subject ใด ๆ ในเรื่อง แล้วเล่าเรื่องตาม subject นั้น (อย่างเรื่องนี้ก็คือประธานเหมา และ เจียงไคเชก นั่นเอง) แล้วก็จะลดความเน้นอารมณ์ บทดราม่าต่าง ๆ เพราะความที่เป็นภาพยนตร์สารคดีด้วยนั่นเอง
จุดนี้น่าสนใจเพราะว่า ทำให้เรื่องนี้นำข้อมูลทางประวัติศาสตร์จริงมาเล่นตรงไปตรงมาเยอะทีเดียว เพราะเรียกว่านำเสนอโค้งสุดท้ายของการตั้งประเทศจีนกันล้วน ๆ เลยในสงครามชิงแผ่นดินครั้งนั้น
แต่ในจุดนี้เองก็เป็นข้อเสียของหนังด้วย ซึ่งผมขอยกไว้พูดในเรื่องข้อเสียทีเดียวข้างท้ายครับ
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือนักแสดง ส่วนตัวผมว่าถังกัวะเฉียน หรือขงเบ้งแห่งสามก๊กทีวีซีรี่ยส์ต้นตำรับที่ทุกคนชื่นชอบ ในบทประธานเหมานั้น ผมรู้สึกว่าแก "ใช่" จริง ๆ ครับ ทุกท่วงท่า และอิริยาบถ ถือว่าเข้าขั้น และราศีจอมคนจับเสียเปล่งปลั่งจนสัมผัสได้ ในขณะที่ตัวเองฝ่ายตรงกันข้ามอย่างจางกั๋วลี่ในบทของเจียงไคเชกก็ทำได้เยี่ยมยอดเช่นกันครับ แม้บทจะน้อยกว่า แต่ก็เชื่อว่ามีผู้ชมหลาย ๆ ท่านจดจำเจียงไคเชกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แน่ ๆ
ยังไม่รวมถึงบทของ โจวเอินไหล เจียงจิ้งกั๋ว มาดามซุน มาดามซ่ง ที่รู้สึกว่า "ใช่" กันทุกคนเลยนะครับ ล้วนลงตัว ไม่ขัด และไม่สะดุดว่ามีใครแสดงดรอปแต่อย่างใด ตรงนี้ผมว่าผ่านละกัน
อีกจุดหนึ่งก็คือ ภาพยนตร์มีการแทรกฉากภาพในอดีตของจริง และฉากสงครามที่จงใจทำภาพให้เหมือนภาพสมัยก่อน อยู่หลายช่วง จุดนี้ก็เสริมส่งกับความเป็นภาพยนตร์สารคดีได้ลงตัวดีครับ ผมเชื่อว่าภาพพวกนี้แหละที่ทำให้ประชาชนชาวจีนต้องน้ำตาไหลอย่างซาบซึ้งในประวัติศาสตร์ตนเอง ทำนองกับที่คนไทยได้ดูภาพประวัติศาสตร์เก่า ๆ นั่นแหละครับ แต่หนังเรื่องนี้เอง ผมว่าก็มีการนำเสนอบทพูด เหตุการณ์ หรืออะไรต่าง ๆ ที่ชวนให้นึกถึงอะไรคุ้น ๆ ในช่วงนี้เยอะเหมือนกันนะ
แต่หนังเองก็ไม่ได้ละทิ้งฉากอารมณ์ไปเสียทั้งหมด ยังคงมีการหยอดมุขตลกเล็ก ๆ หรือการใส่ฉากที่แสดงแง่มุมต่าง ๆ ของท่านผู้นำทั้งสองเป็นระยะ ๆ ก็ถือว่าเพิ่มสีสันให้หนังได้บ้างครับ
จุดเด่นรวม ๆ ของหนังก็เป็นดังที่ว่านั้น ทีนี้ขอพูดถึงจุดที่น่าจะเป็นข้อด้อยที่ทำให้ผมสะดุดบ้างครับ
มีหลายท่านบอกว่าหนังยาวสองชั่วโมงครึ่งนั้นยาวไป ส่วนตัวผมว่าหากนับกันที่เวลาแล้วมันก็ยาวครับ แต่ว่า ผมกลับรู้สึกว่าหนังนั้น "สั้นเกินไป" สำหรับเนื้อหาที่มีรายละเอียดเยอะอย่างนี้ครับ ภาพยนตร์พยายามนำเสนอมุมที่แตกต่างของสองผู้นำ และการสร้างชาติอย่างยากลำบากของประธานเหมา ส่วนตัวผมว่าระยะเวลาเท่านี้ค่อนข้างน้อยเกินไปที่จะสร้างอารมณ์ร่วมได้มากพอครับ (คือผมเชื่อว่าหนังต้องการทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งในวีรกรรมเหล่านั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่พอ น่าจะเยอะกว่านี้อีก)
และเท่าที่ผมเคยศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้มา ก็รู้ึสึกได้ว่าหนังยังปูเรื่องราวที่จะเข้าสู่เนื้อหาหลักได้ไม่มากพอเช่นกันครับ เพราะที่มาที่ไปของสงครามครั้งนี้ มันถือเป็นลูกโซ่ที่สืบเนื่องมาจากพวกสงครามฝิ่น รัฐประหารหยวนซื่อข่าย ซุนยัดเซ็นตั้งพรรค โค่นบัลลังก์ปูยี อะไรมาก่อนเยอะมาก ผมไม่แน่ใจว่า คนอื่น ๆ ที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน จะงุนงงกับที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้หรือไม่ (แต่คนที่ไปดูกับผม เขาก็บอกว่างงครับ)
ซึ่งก็ถือว่า ด้วยข้อจำกัดสองชั่วโมงครึ่งนั้น ทำให้หนังต้องตัดจุดสำคัญออกไปมากมาย แม้กระทั่งฉากสงครามในเรื่อง ก็มีแทรกมาเป็นระยะ ๆ ที่ไม่ได้มากมายอะไร ทำให้การเน้นบทในจุดต่าง ๆ ทำได้ไม่ลึกเท่าที่ควร ก็ต้องยอมรับว่าน่าเสียดายที่เสียในจุดเหล่านี้ไปมาก ๆ ส่วนตัวผมว่าถ้าจะให้ดีกว่านี้ หนังน่าจะแบ่งออกเป็นหลายภาค หรือเป็นซีรี่ยส์ คงจะได้รายละเีอียดที่ครบถ้วนและลงตัวกว่านี้อีกหลายเท่าครับ
สรุป
ข้อดี - ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เยอะ นักแสดงฝีมือเข้าขั้น บทพูดคมคายเยอะ ได้แง่คิดบางอย่างที่สอดคล้องกับการเมืองปัจจุบันอยู่ไม่น้อย ข้อเสีย - เนื้อหาเยอะ ที่แม้หนังจะมีความยาวมาก แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี บทที่มีการตั้งใจเร้าอารมณ์ ก็เลยไม่มากพอไปด้วย และยังขาดตกบกพร่องในการให้ข้อมูลอยู่หลายจุด ผู้ที่ไม่รู้จักประวัติศาสตร์อาจจะงงได้เพราะตัวละครเยอะมาก ๆ
ผมให้ 7/10 ละกัน
แต่สุดท้ายนี้ก็ขอแนะนำว่า หากไม่แอนตี้หนังประวัติศาสตร์จนเกินไป ก็อยากให้ลองไปชมกันดูครับ เพราะด้วยเนื้อหาของหนังหลาย ๆ จุด ล้วนมีส่วนที่ทำให้เรานึกถึงปัญหาการเมืองยุคปัจจุบันนี้ไม่น้อย อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราเห็นว่า ไม่ว่าจะ 60 ปีที่แล้ว หรือทุกวันนี้ ก็ยังมีคนอีกมากมายที่แม้การกระทำจะต่างกัน แต่ความคิดไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งก็มีทั้งดี และ เลว หรือกลาง ๆ ด้วยกันทั้งสิ้นครับ
แล้วก็ฝากวลีเด็ดจากประธานเหมาในเรื่อง
"ปัญหาส่วนตัวใหญ่แค่ไหนก็เรื่องเล็ก ปัญหาชาติเล็กแค่ไหนก็เรื่องใหญ่"
สวัสดีครับ
ปล1.ผมอินกับ MV นี้มากกว่าตัวหนังหน่อย ๆ แฮะ ปล2.แก้ไขข้อความ ขยับเว้นบรรทัดใหม่นิดหน่อยครับ
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 52 21:44:48
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 52 23:55:47
จากคุณ |
:
นักกวีจากเงามืด
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ธ.ค. 52 23:54:17
|
|
|
|