 |
ความคิดเห็นที่ 24 |
|
เรียนมานานแล้ว....แต่ก็ยังเอามาใช้บ้างบางครั้ง... เท่าที่จำได้จะเป็นดังนี้ครับ
1.พิพัฒน์ยังไม่ตาย....ทรัพย์สินของเขายังเป็นทรัพย์สินของเขาต่อไป...ไม่เรียกว่า"มรดก"ครับ มรดกใช้เรียกทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์ตายแล้วเท่านั้น
2.ปัท(เมียพิพัฒน์)ตาย....ทรัพย์สินในนามของปัทจะถือเป็นกองมรดกของปัทซึ่งต้องถูกแบ่งตามพินัยกรรม แต่กรณีนี้คาดว่าปัทยังไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้...ดังนั้นทรัพย์สินของปัทต้องแบ่งปันให้ทายาทโดยธรรมตามกฏหมาย แต่ก่อนที่จะมีการแบ่งปันนั้น...ต้องแบ่งออกครึ่งนึงเป็นสินสมรสให้กับพิพัฒน์ก่อน ยกเว้นได้มีการจดทะเบียนสินเดิมไว้ ซึ่งปกติแล้วผู้หญิงที่หลงรักผัวมากๆอย่างปัทไม่ค่อยทำหรอก
3.สมมุติว่ากองมรดกของปัทมี100บาท ....ครึ่งนึงหรือ50บาทคือสินสมรสต้องตกเป็นของพิพัฒน์ อีกครึ่งนึงหรืออีก50บาทต้องแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามลำดับชั้น ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่ปอ ที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียว ส่วนลูกและพ่อแม่ของปัทตายหมดแล้ว.... แต่กฏหมายระบุให้คู่สมรมถือเป็นทายาทโดยธรรมด้วย ดังนั้น50บาทที่เหลือจึงต้องแบ่งปันกัน ระหว่างปอกับพิพัฒน์ ซึ่งจะได้ไปกันคนละ25บาท.... สรุปก็คือ...กองมรดกของปัทต้องตกเป็นของพิพัฒน์75%ของปอแค่25%
4.พิพัฒน์เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมา...ไม่สามารถกระทำการใดๆด้วยตนเองได้ ตามกฏหมายแล้วต้องมีการร้องขอให้ศาลสั่งให้พิพัฒน์เป็นบุคคลไร้ความสามารถ และขอแต่งตั้งผู้อนุบาลขึ้นมาดูแลทรัพย์สินแทนพิพัฒน์ ภายใต้การควบคุมดูแลของพิพัฒน์ทั้งหมด เพราะพิพัฒน์ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์....เขามีสิทธิ์จัดการทรัพย์ของตนเองได้... แต่เนื่องจากตนเองทำเองไม่ได้...จึงต้องทำผ่านผู้อนุบาล....ไม่ได้หมายความผู้อนุบาลจะฮุบสมบัติของพิพัฒน์ได้ ถ้าพิพัฒน์ตรวจสอบแล้วว่ามีการปิดบัง, ซ่อนเร้น, อำพราง, ยักยอก ฯลฯ ต่อทรัพย์สินของเขา พิพัฒน์สามารถแต่งตั้งทนายเพื่อถอดถอนผู้อนุบาลและฟ้องร้องเอาผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาได้
จากคุณ |
:
Empowering Of Love
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ธ.ค. 52 10:26:15
|
|
|
|
 |