Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<<<<< ดูแล้วมาคุยกัน ... Avatar , 3มิติ(?) + Imax(?) + หนังดี(?) + นาวีที่รอคอย + แพนโดร่า มาหานะเธอ >>>>>  

  ชอบมาก ห้ามพลาด (732 คน)
  ชอบ (235 คน)
  เฉยๆ (95 คน)
  ไม่ชอบ (6 คน)
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (9 คน)

 67.97%
  ชอบมาก ห้ามพลาด (732 คน)
 21.82%
  ชอบ (235 คน)
 8.82%
  เฉยๆ (95 คน)
 0.56%
  ไม่ชอบ (6 คน)
 0.84%
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (9 คน)

จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 1077 คน


... เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + ชวนมาแสดงความเห็นกันต่อที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=24-12-2009&group=14&gblog=185


1. ตั้งใจว่า จะเขียน Avatar + District 9 ลง Filmax ไม่ฉบับ กุมภา ก็ มีนา แต่คิดว่าเนื้อที่ในคอลัมน์คงไม่พอ เลยเอาส่วนที่อยากจะคุยอยากจะเล่าที่ไม่ลงในนั้น มาไว้ในกระทู้/blog ส่วนที่เหลือแบบมีสาระ ขอเก็บไว้ใช้หากินเน้อ

2. ตื่นเต้นเลยต้องขอโม้ก่อน ปิดต้นฉบับหนังสือเล่มใหม่เสร็จแล้วจ้า คาดว่า ถ้าไม่ วาเลนไทน์ ก็คงเป็นช่วงงานสัปดาห์หนังสือฯเดือนมีนา หนังสือเล่มที่ 5 ของ ผมอยู่ฯ ที่ว่าด้วย concept –เจ็บเพราะรัก- จะเป็นตัวเป็นตนให้จับได้ มีความคืบหน้าอันใดจะรีบไปโม้ต่อใน Blogกับทวีตเตอร์

3. กระทู้/blog ใหม่ๆก็ไม่ค่อยได้เขียน เพราะไม่มีเวลา ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปอัพเดตสั้นๆผ่านทางทวิตเตอร์แทน เพื่อนๆสามารถตามอ่านได้ทาง http://twitter.com/ibehindu หรือ follow ได้ที่ชื่อ ibehindu เน้อ

4.กระทู้/blog หน้าจะเป็นการสรุปเรื่องหนังๆในรอบปีเหมือนที่ทำๆมาตลอดสี่ห้าปี อันประกอบไปด้วย 10 DVDหนังไม่เข้าโรงที่น่าดู , 10 ฉากหนังประทับใจ , 10 ตัวละครประทับใจ , 5หนังไม่ชอบ+50หนังชอบที่สุดของปี ใครอยากแจม ลิสต์เตรียมๆไว้เลยจ้า

5. จะผิดมั้ย(ขอใช้คำนี้เห็นว่าฮิตฮ่าฮ่าฮ่า) ที่ จขกท.จะเขียนยาวๆ แต่ขอบอกล่วงหน้าว่าไม่ใช่ กูรู(ฮ่าฮ่าฮ่า) เป็นแค่ คนดูหนังธรรมดาๆ(ฮ่าฮ่าฮ่า)ที่่เสียตังค์ซื้อตั๋วหนังเอง แล้วก็ดีแต่เขียนอีกต่างหาก ไม่มีปัญญาสร้างหนังเองแน่ๆ(ฮ่าฮ่าฮ่า)

ดังนั้น ถ้าอ่านแล้ว ไม่เชื่อ ไม่ชอบใจ หรือ ไปดูตามแล้วไม่เห็นเหมือนอย่างที่เขียน เกิดความหงุดหงิดเป็นผลตามมา โทรมาด่าจขกท.ได้ที่ 1150 แต่ จขกท.จะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น



และเนื้อหาถัดจากนี้คือ การคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับ Avatar



ของขวัญตัวละครเล่นดีสุด

... มีคนเข้าใจผิด คิดว่า ตัวสีฟ้าๆ เกิดจากการใช้คอมวาดเอาอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้ว เทคนิก Motion Capture ที่หนังใช้ก็เหมือนกับใน Polar express หรือ Beowulf คือ มี นักแสดงเล่นจริงๆ แล้วค่อยให้ CG มาทำให้ดูเป็นตัวการ์ตูน

ซึ่ง การแสดงของนักแสดง มีผลต่อ ตัวละคร ไม่ได้ขึ้นกับคอมอย่างเดียว

ใน Avatar  ตัวละครสุดแจ่ม ยกให้ น้องเนธิรี ที่เล่นโดย Zoe Saldana นางเอกที่เพิ่งผ่านตาไปจาก Star Trek   เธอเล่นดีจริงๆ เพราะจะว่าไปตัวเธอมีผลต่อ อารมณ์หลักๆ ในหนังมากกว่าตัวพระเอกเสียด้วยซ้ำ

สงสัยแค่ว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ถ้าอนาคต บังเอิญได้นักแสดงที่เล่นไม่ดี เราก็สามารถใช้ความไฮเทคปรับแต่งให้เล่นเก่งขึ้นมาได้ เช่น แววตาดูไม่เศร้าพอ ก็ไปแก้ในคอมให้หนังตาตกอีกนิด หน้าผากย่นอีกหน่อย จนกลายเป็น แอคติ้งขั้นเทพ แบบนี้ เราจะเชื่อได้อย่างไรหนอว่า ภาพที่เห็นว่าเล่นดี เพราะ ฝีมือ หรือ ถูกปั้นแต่งด้วยCG



นกดื่มชาตัวละครที่ชอบที่สุด

... ตัวละครที่ชอบที่สุด คือ ทรูดี้ หรือ Michelle Rodriguez สาวมั่นที่ผมคุ้นหน้าเธอจากซีรี่ย์ Lost มากที่สุด เธอเท่มาก

ฉากหันเครื่องบินกลับจากฝูงบินก็เท่แล้ว แต่ เธอยังเท่ได้อีก ใน ฉากรบช่วงท้าย ที่เพ้นท์หน้า ขี่เครื่องบิน ไม่พอ คุณน้องยังเอาสีมาเพ้นท์เครื่องบินอีกต่างหาก สุโค่ยยยย



กระดิ่งรางวัลที่อยากยกให้

... งานด้านเทคนิกไม่ได้เชียร์เพราะเห็นอยู่แล้วว่า โดดเด่น แต่ที่เชียร์ขาดใจคือ สาขา ผู้กำกับยอดเยี่ยม  ที่กลัวความสามารถของ เจมส์ คาเมรอน จะถูกมองข้าม เพราะเข้าใจผิดว่า งานที่เต็มไปด้วย CG แบบนี้ไม่ต้องอาศัยฝีมือการกำกับมาก ซึ่งไม่จริงเลย

ยิ่ง ได้ดูเบื้องหลังการถ่ายทำ ยิ่งชื่นชมว่า เจมส์ คาเมรอน เก่งมากกกก ทุกอย่างต้องเป๊ะในหัวเขาจริงๆ จึงจะสามารถกำกับคนและองค์ประกอบรอบตัวในความว่างเปล่า ให้ออกมาเป็นภาพใหญ่ดีได้ขนาดนี้

ผู้กำกับระดับเทพที่ทำหนังดีๆมีอยู่หยิบมือ แต่ ความสามารถในการคุมหนังสเกลยักษ์ให้ออกมาไม่ผิดหวัง ในโลกนี้ มีอยู่น้อยยิ่งกว่าเสียอีกและ อันดับต้นๆในนั้นคือ เจมส์ คาเมรอน



หลงรักโครงเรื่องธรรมดา มันช่างคุ้นๆ

... คอหนังที่อ่านเรื่องย่อ Avatar หรือ ไปดูหนังมา เกินกว่าครึ่งพูดเหมือนๆกันว่า ‘หนังมันช่างคุ้นๆ + เดาได้ง่ายๆ’

ซึ่งผมเห็นด้วยกับสองข้อข้างต้น และไม่แปลกใจเลยที่หนังจะออกมาดูง่าย เพราะ สไตล์ของเจมส์ คาเมรอนก็ไม่ได้ทำหนังที่ซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร

แต่ ‘หนังมันช่างคุ้นๆ + เดาได้ง่ายๆ’ ก็ไม่ได้เป็นบทสรุปว่า บทหนังอ่อน เพราะ ถ้าบทหนัง Avatar อ่อน บทหนังเกินกว่าครึ่งในฮอลลีวู๊ดคงมีค่าเพียงอากาศธาตุ

แต่ บทหนังเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะดีเลิศเลอ แถมเทียบกับ หนังเก่าๆของ เจมส์ คาเมรอน ผมคิดว่า ยังด้อยกว่า บทหนังเจ๋งๆแบบ T2 หรือ กระทั่งบทของ Titanic

เท่าที่ดูมา ผมคิดว่า เจมส์ คาเมรอน จงใจสร้างหนังที่ดูง่ายและขายได้วงกว้าง (อาจเข็ดจากทำหนังยากๆซักหน่อยอย่าง The Abyss แล้วไม่เวิร์ค) ดังนั้นหนังของเขาจึงไม่ค่อยมีประเด็นให้ถกหรือตีความต่อมากนัก เพราะ ประเด็นส่วนใหญ่เห็นได้ชัดอยู่ก่อนแล้ว

แต่ ความง่ายของหนังคาเมรอน เขาสอดแทรกอะไรเล็กๆน้อยๆ ไม่ให้มันง่ายแบบตื้นเขิน

เอาอย่าง Titanic ที่เราสามารถเขียนเรื่องย่อจบในสองบรรทัด และ เดาได้ตั้งแต่ดูตัวอย่างว่าน่าจะจบยังไง แต่ Titanic ไม่ใช่มีแค่แง่มุมความรักของแจ๊ค-โรส แต่รายละเอียดยิบย่อยส่วนอื่นก็น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ ชนชั้นในสังคม หรือ แง่มุมของคนตัวเล็กๆคนอื่นที่ประสบภัยพิบัติ

อย่างตัวเอง การนั่งดู Titanic อีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมซึ้งในมุมของตัวละครเล็กๆ แบบ คู่สามีภรรยาอายุมาก , นักดนตรี ฯลฯ มากเสียกว่า ชะตากรรมของแจ๊คกับโรส

Avatar ก็เช่นกัน

พล็อตหลักของ Avatar มาพร้อมแนวคิด

ผู้รุกรานที่ไปซึมซับวัฒนธรรมพื้นบ้านแล้วพบนงคราญท้องถิ่น สุดท้ายก็ได้สมรักกัน แล้วหันมาต่อสู้กับคนเมือง

แน่นอนว่าดูไปเหมือน Dances with wolves , Pocahontas แต่ข้อดีคือหนังก็ไม่ได้มีเนื้อหาอยู่แค่นั้น

ถ้าลงลึกในแง่รายละเอียดยิบย่อย หนังพยายามใส่ไอเดียดีๆไว้เยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น แนวคิด USB ที่หาง + ไซแนปส์ เชื่อมโยงทุกชีวิต , จิตวิญญาณที่มนุษย์ละเลย , การอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ การเย้ยหยันความเป็นคน

ผมรู้สึกเหมือนนั่งดูหนังที่ใส่ปรัชญาแบบ The Matrix ที่ย่อยให้ง่ายระดับประถม ผสมกับ หนังแฟนตาซีอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีเทพมาปนสไตล์สตูดิโอจิบลี จะน่าเสียดายก็ตรง หนังให้น้ำหนักของประเด็นดีๆเหล่านี้น้อยไปหน่อย ทั้งๆที่ เวลาของหนังมีมากเกินพอที่จะขยับขยายให้เล่นต่อได้ลึกกว่านี้

ดังนั้น ถึงพล็อตจะง่าย แต่ผมคิดว่า ความง่ายในหนังเจมส์ คาเมรอน ไม่มักง่ายเลย

เทียบง่ายๆ กับหนังฟอร์มยักษ์เพื่อเน้นขายเหมือนกัน ของผู้กำกับหนัง mass เรื่องอื่นๆที่สุดท้ายกลายเป็นเหยื่อคมปากกาของนักวิจารณ์ แต่ เจมส์ คาเมรอน คือ คนทำหนัง Mass ที่นักวิจารณ์หาที่สับได้ยากเย็น



เล่นพลุจะดูโรงไหนดี ?


... ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ ยังไงผมก็เชียร์ 3 มิติ เท่านั้น เพราะ 10 ปีที่รอคอยผลงานของผกก.เจมส์ คาเมรอน เขาอยากให้เรารอด้วยเหตุผลข้อนี้

เขาไม่ได้ขอเวลาเพื่อไปขัดเกลาบทหนังหรือคิดค้นภาพสวยๆงามๆ แต่ สิบปีที่เสียไป หลักๆคือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 3 มิติสำหรับคนดู ดังนั้น ถ้าดูเวอร์ชั่นสองมิติ อย่ารีบสรุปว่า ไม่เห็นจะแปลกใหม่ เพราะ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ในแง่ของ Cg สีสันหรือความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นในแง่ของ สามมิติ

Avatar  ไม่ได้เป็น บทหนังสร้างปรากฎการณ์ แต่เป็น เทคโนโลยีสร้างปรากฎการณ์ ดังนั้น หาโอกาสยล 3D จะเก็บอรรถรสสมใจอยาก10ปีของผู้กำกับ ส่วนสุดท้ายจะชอบหรือไม่ชอบ ก็แล้วแต่ตัวบุคคล

แต่สำหรับผม นี่คือ หนัง3มิติที่ทำออกมาดีที่สุดที่มีในยุคปัจจุบัน



เกล็ดหิมะ3 มิติ

... ประสบการณ์ครั้งแรกที่ดูหนังสามมิติ ถ้าจำไม่ผิด คือ Superman returns  ใน Imax มีฉากสามมิติแค่ฉากสั้นๆประมาณหกนาที ที่เฮียซุปโดดดึ๋งๆข้ามทุ่งนา ขนาดตอนนั้นดูเบลอๆบ้างมึนๆบ้างก็ยังทึ่ง ยังคิดว่า คงอีกไม่นานจะได้ดูหนังสามมิติทั้งเรื่อง

ไม่นานต่อมา ฝันก็เป็นจริง หนังสามมิติที่ไม่ใช่แว่นแบบ แดงข้าง น้ำเงินข้าง เหมือนแต่ก่อน ก็ทะยอยออกมา ผมรู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับการติดตามว่าถ้ามีหนังเรื่องไหนที่ทำมาเพื่อรองรับ 3D ก็จะไม่พลาดที่จะเลือกโรง3D เพื่อพิสูจน์เช่น Beuwolf , Journey to the Center of the Earth , Bloody valentine , Final destination4

ปัญหาของการดูหนังสามมิติ ครั้งแรกๆกับหนังยุคแรกๆ คือ ดูแล้วมึนกับปวดหัว ที่ปวดสุดๆก็ตอนดู Monster&Aliens  จำได้เพราะตอนออกจากโรงเวียนหัวหมุนๆเลน ส่วนสามมิติที่ดูแล้วเชียร์คือ Christmas carol  ที่ดูแล้วอยากเอื้อมมือไปจับหิมะ ดูแล้วชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

จากที่ดูมา เทคโนโลยี 3 มิติของหนังดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เสียดายที่ตัวหนังที่ทำออกมา มักจะให้ความสำคัญกับ 3 มิติ มากกว่าเนื้อหนัง ชนิดที่ว่า หนังบางเรื่องถ้าตัด 3D ทิ้ง ตัวหนังแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เช่น Final destination4

สามมิติของ Avatar ไม่ได้ให้ความสำคัญในการ พุ่งแทงกระแทกทิ่ม อย่างที่เราคุ้นเคย แต่เน้นในแง่ของความลึกเหมือนเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหนัง

ที่พัฒนาชัดขึ้นไปอีกคือ ความเป็นสามมิติดูเนียนตาไม่ได้ดูแบบเหลื่อมๆเหมือนเรื่องก่อนๆ ถึงขนาดดูไปเพลินๆอาจยังไม่รู้ตัวว่าเป็นสามมิติ แล้วพอตั้งสติตั้งใจดูจึงจะรู้ว่า แตกต่าง จากสองมิติทั่วไป

ป.ล. แว่วมาพักใหญ่แล้วว่า ฮ่องกงกำลังจะมี หนังโป๊3D ที่ฉายในโรงงงง



แฟรงเก้นImax

... ผมเกลียดโรง Imax เพราะ ช่องว่างระหว่างแถวแคบมากๆ สำหรับคนสูงเกิน 185 ต้องนั่งด้วยความเกร็ง ขยับนิดขยับหน่อยก็มีสิทธิโดนต่อยได้ ที่นั่งก็ต้องเลือกแถวดีๆมิเช่นนั้น บนไปก็ไม่เห็นซับล่างๆ ล่างไปก็เมื่อยคอ แถม ความเป็นจอใหญ่ยังทำให้เรามีสิทธิเก็บภาพได้ไม่ครบ และ ภาพก็ไม่ได้คมชัดเท่า Digital และข้อด้อยที่สุดคือ ซับไทยไม่ชัด

ดังนั้น เวลาหนังฮอลลีวู๊ดฟอร์มยักษ์ที่เข้าสองโรงพร้อมกัน เช่น Transformer หรือ Harry Potter ผมจะเลือกโรงธรรมดามากกว่า ยกเว้น The Dark knight ที่ดูโรงธรรมดารอบหนึ่งแล้วไปดู Imax อีกรอบ รอบสองที่ดูไม่ต้องสนใจซับหรือเนื้อหามาก พอถึงฉากที่ถ่ายทำเพื่อ Imax โดยเฉพาะจึงรู้สึก ทึ่งเต็มลานสายตา

มาถึง Avatar  

ผมเลือก Imax เพราะได้ดูตัวอย่างสามมิติตอนดู Christmas carol  แล้วพบว่า มันช่างต่างจากตอนดูตัวอย่างแบบสองมิติในโรงธรรมดาเสียเหลือเกิน มันอลังการกว่ามากกกก

ผมจึงหมายมั่นปั้นมือจะดู Imax ตั้งแต่ต้น และ หลังจากที่ได้ดู ผมเชียร์เหลือเกินว่า Imax เป็นตัวเลือกที่ห้ามพลาดจริงๆ

ถึงแม้จะไม่ได้ดูโรงdigitalมาเปรียบเทียบ แต่สำหรับหนังเรื่องนี้คิดว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง สามมิติด้วยกัน

ความชัดเจนและคมของ โรง Digital VS. ความใหญ่เป้งของจอ Imax

ผมคิดว่า

ความใหญ่เป้งของจอ Imax ช่วยสนับสนุนตัวหนังได้คุ้มค่าตั๋วกว่าเยอะ

ป.ล. ตำแหน่งที่คิดว่าดีที่สุดคือแถว D / E / F ตรงกลางๆ (โรงนี้เป็นโรงประหลาดตรงที่ ที่นั่งแพงสุดโซฟา ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีที่สุด) ส่วน แว่นสามมิติ สามารถครอบ แว่นปกติ ที่ใส่อยู่ได้ไม่มีปัญหา




(มีต่อ)

แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 10:17:36

แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 09:18:12

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 52 09:12:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com