 |
ความคิดเห็นที่ 36 |
ตอบคห.22
เพราะขั้นตอนการถ่ายทำAVATAR อยู่ในแผนทุกอย่างทั้งระยะเวลาในการผลิตและงบประมาณ
ในขณะที่TITANIC ผิดแผนแทบทุกอย่างทั้งการถ่ายทำที่ล่าช้าจนหนังต้องเลื่อนฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมถึงงบประมาณที่บานปลายไม่สิ้นสุดจาก100ล้านเป็น200ล้าน นี่ยังไม่นับความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างคาเมร่อนกับผู้บริหารของฟ็อกซ์
ตอนนั้นฟ็อกซ์ถึงจุดที่ไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงของหนังเรื่องนี้ได้อีกต่อไปจึงขอเจรจากับพาราเมาท์เพื่อช่วยแบกรับความเสี่ยงด้วยข้อเสนอสุดพิเศษคือเงินทุน80ล้านเหรียญแลกกับให้สิทธ์พาราเมาท์ในการจัดจำหน่ายTITANIC ในอเมริการเหนือ(ข้อเสนอดีขนาดนี้มีเหรอพาราเมาท์จะไม่รีบคว้าไว้ เพราะด้วยฟอร์มหนัง ยังไงTITANICก็ทำเงินเกินร้อยล้านอยู่แล้วแถมไม่ต้องมาปวดสมองกับกระบวนการถ่ายทำเหมือนฟ็อก) ส่วนฟ็อกซ์ได้สิทธ์ในการฉายตลาดนอกอเมริกาเหนือ
ผลปรากฎว่าพาราเมาท์ยิ่งกว่าประสบความสำเร็จเพราะTITANICทำเงินไปสูงถึง600ล้านเหรียญเรียกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮอลลิวู๊ ด ส่วนฟ็อกถึงแม้ว่าจะเก็บรายได้จากTITANICนอกอเมริกาไปสูงถึง1,200ล้านเหรียญ แต่ก็คงนั่งเสียดายอยู่ลึกๆแหล่ะว่าถ้าไม่ดึงพาราเมาท์มาร่วมทุน รายได้ของTITANICทั้งหมดคงเป็นของฟ็อกซ์เต็มๆ (แต่ก็นะ ถ้าพาราเมาท์ไม่ยื่นมาช่วยปัญหาของTITANIC คงไม่จบง่าย แถมถ้าหนังเจ๊งฟ็อกต้องเจ็บหนักอยู่คนเดียว)
ครั้งนี้เมื่อโปรเจ็คAVATAR เริ่มดำเนินการสร้าง ฟ็อกจึงไม่จำเป็นต้องหาผู้ร่วมทุนเหมือนครั้งก่อนเพราะความเสี่ยงของหนังเรื่องนี้ไม่ได้สูงเหมือนTITANIC เพราะ
1.ความเชื่อมั่นที่ฟ็อกมีต่อคาเมร่อนคงสูงพอสมควร ทำให้มั่นใจได้ว่าหนังต้องออกมาดีและทำเงินแน่ๆ
2. ความคาดหวังถึงการเป็นหนังภาคต่ออันทรงคุณค่าให้กับฟ็อกซ์ได้ในอนาคต
3. รายได้จากการขายลิขสิทธ์ต่างๆเช่นของเล่น ของสะสมจากหนัง,เกมส์
4. รายได้จากการขายเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้สร้างหนังเรื่องนี้
เหตุผลแค่นี้ก็มากเพียงพอที่ฟ็อกจะกล้าลงทุนมหาศาลกับหนังเรื่องนี้เพียงผู้เดียวโดยไม่จำเป็นต้องหาผู้ร่วมทุนมาแบ่งกำไรที่ควรจะได้ไปเปล่าๆเหมือนเคย
ซึ่งดูจากรายได้หนังที่ทำได้แล้ว ต้องบอกว่าฟ็อกซ์คิดไม่ผิดเลยจริงๆ
แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 11:47:09
จากคุณ |
:
ข้าวผัดปลาเค็ม
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ธ.ค. 52 11:16:58
|
|
|
|
 |