Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[REVIEW ดีเลย์สุด ๆ เพราะเพิ่งได้ดู - ไม่สปอย] AVATAR (อวตาร) : เหล้าเก่า (รสเลิศ) ในขวดใหม่ (สุดหรู)  

สิ้นปีทีไรงานมาเยอะทุกครา กว่าจะได้ดูก็เกือบวันสุดท้ายของปีเสียแล้ว อาจจะช้าไปสำหรับกระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ได้รับชมมาสด ๆ ในวันนี้ ก็อดไม่ได้ที่ อยากจะขอมีส่วนร่วมในการวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้หน่อยนะครับ



การกลับมาอีกครั้งของ เจมส์ คาเมรอน เจ้าของผลงานอันลือลั่นอย่าง ไททานิค ที่สร้างปรากฎการณ์ความหลงใหลให้ทั้งโลกมาแล้ว ผ่านไป 12 ปี เขาก็กลับมาอีกครั้ง กับภาพยนตร์ไซไฟแฟนตาซีสุดอลังการในชื่อ อวตาร

ไม่เกริ่นอะไรดีกว่าเดี๋ยวยืดยาวเลอะเทอะ หนังเรื่องนี้ บอกตามตรงว่าผมพยายามเข้าไปจับผิดเต็มที่ ตามนิสัยที่อาจจะติดเกรียนเล็ก ๆ คือเมื่อหนังเรื่องไหนใครอวย ใครชมกันมากมาย ความรู้สึกที่ผมไปดู ผมก็จะตั้งความหวังและคอยจับผิดมากกว่าปกติไปโดยไม่รู้ตัว

แต่เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมคิดว่า "แม้จะจ้องหาจับผิด แต่ก็ยอมทิ้งคำตำหนิต่าง ๆ นา ๆ ได้แทบทั้งหมด" ครับ





(ต่อไปนี้เป็นส่วนของการรีวิวในด้านดีล้วน ๆ ครับ อาจจะเขียนตามอารมณ์ มีวกวนยืดเยื้อบ้าง ถ้าอยากอ่านเฉพาะข้อสรุปรวม ๆ ขอให้ข้ามไปที่ คห.1 เลยครับ)






หากเทียบภาพยนตร์เป็นเครื่องดื่มสำหรับรับประทาน อิมเมจของเรื่องนั้น ๆ ก็คงแทนได้กับแพคเกจบรรจุ หรือขวด กล่อง สีของเครื่องดื่ม ที่แทนภาพภายนอกของเครื่องดื่มนั้น ๆ และมีผลต่อการตัดสินใจเลือกดื่มของผู้ซื้อเป็นอย่างดี และจุดนี้เอง ทำให้เครื่องดื่มที่มียี่ห้อว่า "อวตาร" เป็นเครื่องดื่มที่มีขวดบรรจุที่สวยงามหรูหราอลังการ ชวนคว้ามาลิ้มลองรสชาติยิ่งนัก ก็คงเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิด

แต่รสชาติเนี่ยสิ สำหรับตัวผม ผมก็ต้องบอกว่า
"เอ๊ะ นี่มันเครื่องดื่มที่เราเคยซดไปเมื่อนานมาแล้วนี่"

ความหมายของผมก็คือ ภาพยนตร์อวตารนี้ มีการนำเสนอในเรื่องของบท กำกับ มุมมอง สไตล์ ไม่ได้แตกต่างไปจากภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาเท่าใดนัก ยังคงยืนพื้นของผู้เข้มแข็งรังแกผู้อ่อนแอกว่า และส่วนหนึ่งของผู้เข้มแข็งนั้นก็คิดได้ และเอาตัวเข้าปกป้องผู้อ่อนแอด้วยสาเหตุต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งถ้าว่าตามตรง พล็อตแบบนี้ก็เล่นมาพอสมควรแล้ว อย่างหนังดังเช่น โพคาฮอนทัส หรือ The Last Samurai เป็นต้น ก็ถือว่า อวตารไม่ใช่หนังที่พล็อตเรื่องแปลกใหม่พิสดารไปมากมายอะไรนัก

แต่สิ่งที่ผมต้องขอชื่นชมจริง ๆ ก็เพราะว่า ถึงพล็อตมันจะเดิม ๆ แค่ไหน แต่การนำเสนอ ในทุก ๆ ด้าน ถือว่ามีชั้นเชิง สนุก และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนเลยทีเดียว ดังนั้นถึงแม้มันจะเป็นเหล้าเก่าในขวดหรู ๆ แต่มันก็เป็นเหล้าเก่าที่ผ่านการปรุง ผ่านการหมักมาใหม่ด้วยกรรมวิธีที่ดี แม้ว่ามันจะรสชาติเดิม แต่มันก็ย่อมอร่อยกว่าของเก่าธรรมดาแน่นอน

เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ผมลองวิเคราะห์คร่าว ๆ ดูแล้ว คิดว่าน่าจะ...

1. เป็นพล็อตที่ว่าเดิม ๆ ก็จริงแต่มันไม่ได้จำเจไปเสียทีเดียวครับ เพราะปกติในวงการภาพยนตร์ทั่วไปนั้น มีการนำพล็อตโน้นนี้มารีไซเคิลใช้ใหม่กันก็ไม่น้อย อยู่ที่การเลือกใช้ และการสร้างภาชนะให้กับพล็อตนั้น ๆ มากกว่า และจะเจ๋งไม่เจ๋ง ก็วัดกันจากตรงนั้นแหละ ซึ่งอวตารนั้น จับเอาแนวคิดปัจจุบันที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม มาต่อยอดให้ลุกลามไปถึงระดับอนาคต และระดับนอกโลก และเพราะการเอาพล็อตง่าย ๆ นี้มาเล่นเนี่ยแหละ ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความใกล้ตัว ความเป็นไปได้ และความเข้าถึง ในเค้าโครงเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยากนัก ซึ่งจุดนี้มีอะไรที่น่าสนใจมาก ขอกล่าวละเอียดอีกทีในอีก 2 ย่อหน้าข้างล่างครับ

2.เพราะ "ขวด" ของมันไม่ใช่ขวดหน้าตาจืด ๆ ใส ๆ ธรรมดา จุดขายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือข้อนี้ครับ พล็อตที่อาจจะดูง่าย ๆ แต่มีความลงตัวในระดับที่ดี เมื่อบวกกับบทที่อยู่ในระดับของการเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยแล้ว ทำให้ทั้งสองสิ่งนี้เกื้อหนุนกัน อิมเมจของหนังก็ดูดี ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติที่แปลกใหม่ สวยงามและอลังการจับใจผู้ชมอย่างมาก ถึงกับมีข่าวว่าผู้กำกับนั้นรอเวลานับสิบปีเพื่อจะให้ถึงวันที่เทคโนโลยีสามารถตอบสนองแนวคิดของเขาได้ครบถ้วนเลยทีเดียว ช่วยยกระดับของบทนั้นให้น่าเชื่อถือเข้าไปอีก ซึ่งถ้าอวตารไม่ได้มีคุณภาพงานสร้างระดับนี้ ก็อาจจะไม่ช่วยดึงประสิทธิภาพของบทให้ได้มากเท่านี้ก็เป็นได้

ทั้งหมดนี้เป็นภาพลักษณ์โดยรวมของภาพยนตร์ ที่ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบในตัวภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างยิ่งยวดครับ และผมเองก็หลงใหลในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน

แต่จุดที่ผมมองเห็นจากเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่แม้จะจำเจก็จริง แต่ผมสัมผัสแนวคิดบางอย่างได้ครับ


(จากตรงนี้จะมีการพูดถึงเนื้อหาของหนัง แต่จะพูดในขอบเขตที่เห็นในตัวอย่างภาพยนตร์เท่านั้นครับ ไม่สปอยจุดสำคัญอื่น ๆ ในหนังแน่นอน)


เอาแค่จากตัวอย่างหนัง เราน่าจะเดากันออกแล้วว่า ตัวพระเอกของเราที่ขับร่างอวตารนั้น จะต้องเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายนาวี คนป่าร่างสีฟ้าแห่งดาวแพนโดร่า ถ้าแบบนั้น ไม่ได้แปลว่าตัวเอกเรื่องนี้กำลังหักหลังเผ่าพันธุ์ของตัวเองซึ่งเป็นมนุษย์โลกอยู่หรอกหรือ

ก็ต้องถามกลับว่า แม้แต่ในโลกเราเอง ก็ยังมีผู้ที่เห็นต่าง คิดต่าง และแบ่งฝ่ายทางความคิดกันอยู่ เป็นเรื่องปกติเช่นกันไม่ใช่หรือ เช่น มีคนกลุ่มที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี ก็ต้องมีคนที่คัดค้าน และเสนอแนวคิดว่ามนุษย์ควรจะพอเพียงบ้าง ใช้เท่าที่มีให้ใช้ดีกว่าไหมเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อโลก เป็นต้น สำหรับเรื่องนี้ผมมองว่าอยู่บนพื้นฐานแนวคิดทางเดียวกันครับ การรุกรานเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่าทางวิทยาการ เพื่อผลทางการค้า และหวังผลกำไรและเงินตรา (จากภาพยนตร์ที่ชาวโลกต้องการสินแร่ที่อยู่แถวบ้านเกิดของชาวนาวี จึงต้องมีการไล่ที่) ความคิดแบบนี้ ถึงต่อให้เป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ก็คงไม่ 100% หรอกนะครับที่เห็นด้วยว่าชาวเผ่านี้จะต้องถูกไล่ที่และเกิดการสร้างความเสียหายให้กันอย่างรุนแรงจากการใช้กำลัง

เคยมีคำกล่าวที่ว่า “แม้จะดูไร้เหตุผล แต่บางครั้ง เมื่อสันติวิธีไม่ได้ผลที่ดี สุดท้ายแล้วก็คงหลีกเลี่ยงการใช้กำลังไม่ได้” เรื่องนี้ก็ยึดหลักแนวทางของเนื้อเรื่องตามคำกล่าวนี้ครับ

แต่ที่น่าสนใจคือ ก็ฝ่ายที่ร้ายกาจกว่าและรุกรานคนอื่นด้วยกำลังก็คือมนุษย์เราเองเนี่ยน่ะสิครับ

เพราะอะไรถึงน่าสนใจล่ะ เพราะในประวัติศาสตร์ มนุษย์เราเคยมีการล่าอาณานิคม จากผู้ที่คิดว่าตนเจริญกว่า เข้ายึดครองดินแดนที่ด้อยพัฒนากว่า หรือมนุษย์ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์บางชนิดอย่างเลือดเย็นในสมัยโบราณ ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาจริง ๆ และภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ยังคงนำเสนอมนุษย์ในมุมมองนั้นอยู่ หากแต่เปลี่ยนให้ตัวเอกอยู่ในกลุ่มของผู้ถูกกระทำ

ซึ่งผลจากการนำเสนอแบบย้ายข้างแบบนี้ ผมเชื่อว่าผู้ชมเกือบทั้งหมด (แม้แต่ตัวผมเอง) ก็ต้องรู้สึกว่า มนุษย์ในเรื่องนี้มันเกรียนสิ้นดี จะใจร้าย ใจดำ อะไรจะปานนั้น แต่เพราะแบบนี้นี่เองใช่ไหม เมื่อหัวใจผู้ชมเอนเอียงมาทางฝ่ายชาวนาวีแล้ว ถึงจะรู้สึกได้ว่า การเป็นผู้ถูกกระทำมันเจ็บปวดขนาดไหน ใช่หรือไม่ หากสักวัน ถ้ามนุษย์ที่คิดว่าตนเองเหนือชั้นทางเทคโนโลยีแล้ว ถูกรุกรานด้วยเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าล่ะ เราจะรู้สึกอย่างไร

จุดนี้นี่เอง ที่ผมมองว่า พล็อตง่าย ๆ เดิม ๆ นี่แหละ กลับสร้างความรู้สึกของการ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ได้อย่างละเมียดละไมทีเดียว

มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถก็จริง แต่เราใส่ใจกับชีวิตที่ด้อยกว่าแค่ไหน

มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถก็จริง แต่เรากำลังดูถูกใครเพื่อยกระดับตัวเองอยู่หรือเปล่า

มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถก็จริง แต่ความสามารถของเราเคยเบียดเบียนใครบ้างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจหรือเปล่า

เหล้าขวดนี้มันช่างกลมกล่อมและสะท้อนใจไม่น้อยจริง ๆ ครับ

ผมชื่นชมและหลงใหลในความก้าวไกลของโลกเราที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์นะครับ  ตราบใดถ้ามันยังอยู่บนพื้นฐานของสันติภาพ การร่วมแรงร่วมใจ และการไม่เบียดเบียนใคร ก็คงจะดีมาก ๆ เลยครับ แม้ปัจจุบันอาจจะยังทำไม่ได้ก็จริง แต่ก็หวังว่า สักวันพวกเราทุกคนน่าจะทำได้ครับ และโลกของเราก็จะน่าอยู่ สมบูรณ์อย่างพอเพียง และคงไม่ต้องไปล่าอาณานิคมดาวอื่น ๆ แบบในหนังล่ะนะ

แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 52 02:05:09

แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 52 02:03:17

แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 52 02:01:32

จากคุณ : นักกวีจากเงามืด
เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 01:56:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com